Thai Political Tarot: วาดความหวัง ในวันที่ฤดูร้อนยังมาไม่ถึง
วันที่คุยกับ Thai Political Tarot คือวันที่เรารู้ว่า ประเทศไทยจะยังไม่มีนิรโทษกรรมประชาชน
วันที่คุยกับ Thai Political Tarot คือวันที่เรารู้ว่า ประเทศไทยจะยังไม่มีนิรโทษกรรมประชาชน
แอมเนสตี้ ประเทศไทย ชวนทุกคนย้อนกลับไปดูวงเสวนา “Unchained Voices: เมื่อศิลปะและเสรีภาพมาบรรจบกัน” ที่เราจัดขึ้นเพื่อตอกย้ำถึงความสำคัญของ ‘จดหมาย’ และ ‘โปสการ์ด’ ในฐานะเครื่องมือที่หล่อเลี้ยงความหวัง และเป็นการฟังเสียงสะท้อนจากผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและผู้ที่ใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือในการต่อสู้
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี จากนี้… ที่นี่จะไม่ได้มีเพียงบรรยากาศของการศึกษาแบบเดิมอีกต่อไป เพราะสถานศึกษาแห่งนี้อาจกลายเป็นประวัติศาสตร์ร์ลำดับต้นๆ ของแวดวงการศึกษาไทย ในเรื่องของการส่งเสริมการเรียนรู้เรื่อง “สิทธิมนุษยชนในรั้วโรงเรียนมัธยม” ตั้งแต่แรกเริ่มของการเติบโต
ความก้าวหน้าเกิดขึ้นเมื่อเรามารวมตัวกันเพื่อเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง เราควรจะสามารถทำสิ่งนี้ได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกทำร้าย ถูกทำให้บาดเจ็บ หรือแม้แต่ถูกฆ่า จากการใช้อุปกรณ์ควบคุมฝูงชนในทางที่ผิด ถึงเวลาที่ต้องช่วยกันเรียกร้องให้รัฐบาล สนับสนุนสนธิสัญญากำกับดูแลการค้าอุปกรณ์ควบคุมฝูงชน้ เพื่อป้องกันไม่ให้อุปกรณ์เหล่านี้ตกอยู่ในกำมือของกองกำลังตำรวจที่ประพฤติมิชอบ
3 กรกฎาคม 2568 – เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนางสาวชนก จันทาทอง รองประธานวิปรัฐบาล คนที่ 3 เนื่องในโอกาสเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1ในกิจกรรม “ไปบอกสภาว่าเราเอานิรโทษกรรมประชาชน” โดยมีเป้าหมายเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลผลักดันให้ประเทศไทยผลักดันนิรโทษกรรมประชาชนอย่างเร่งด่วน พร้อมย้ำ 3 ข้อเรียกร้องเพื่อคืนความยุติธรรมให้กับประชาชนที่ใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบ นับตั้งแต่หลังรัฐประหารปี 2549 เป็นต้นมา
กฎหมายสมรสเท่าเทียมของไทยที่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 มกราคม 2568 นับเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์ของการรับรองสิทธิบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTI) อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์นี้จะเจาะลึกข้อจำกัดในปัจจุบัน และเสนอแนวทางการปฏิรูปที่ครอบคลุมตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล เพื่อก้าวข้าม “ความเท่าเทียมบนกระดาษ” ไปสู่ความเสมอภาคที่แท้จริง
บรรยากาศของเดือน Pride กำลังอบอวลไปด้วยกลิ่นไอของความรัก กำลังใจ และการส่งเสริมพลังให้กันและกันของผู้คนในชุมชน LGBTI หากแต่เมื่อเราสำรวจดู เหลือสิ่งที่ต้องร่วมกันลงมือทำอีกพอสมควร และยังมีผู้คนหลากหลายกลุ่มที่กำลังส่งเสียงเรียกร้องในอีกหลายประเด็นด้วยเช่นกัน วันนี้เราจึงได้ชวนตัวแทนจากกลุ่มเยาวชน มาส่งเสียงของพวกเขากันดูว่า ในขณะที่โลกกำลังเริ่มต้นที่จะโอบรับความหลากหลาย แต่ก็ยังเผชิญกับภัยคุกคามสิทธิมนุษยชนครั้งใหญ่ โดยเฉพาะแนวโน้มของการเมืองโลกที่หันไปสู่หลักการอำนาจนิยมที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เมื่อคลื่นอำนาจนิยมฉุดรั้งสิทธิ LGBTI: จาก “ทรัมป์ 2.0” ถึงยุคสมรสเท่าเทียมในไทย ดังนั้น การรับฟังเสียงจากเยาวชน จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ซึ่งพวกเขา จะต้องเป็นผู้ที่มารับช่วงต่อไปในอนาคต
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สังคมโลกได้เผชิญกับแรงสั่นสะเทือนด้านสิทธิมนุษยชน เมื่อกระแสอำนาจนิยมกลับมาเคลื่อนไหวอย่างชัดเจนภายใต้การเรียกขานว่า “ทรัมป์ 2.0” การลดทอนความคุ้มครองและการเลือกปฏิบัติต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศในสหรัฐฯ ได้ทิ้งรอยแผลลึกต่อชุมชน LGBTI และสร้างแรงสั่นสะเทือนที่ไหลบ่าไปยังภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก เหตุการณ์เหล่านี้ไม่เพียงท้าทายความก้าวหน้าทางกฎหมาย แต่ยังกระตุ้นให้ต้องทบทวนบทบาทของภาคประชาสังคมในการผลักดันความเท่าเทียมและเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในยุคที่กระแสแบ่งแยกและกลไกเผด็จการกลับมาโหมกระพือ
“การกำหนดเพศคือสิทธิมนุษยชน”
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ส่ง “รายงานคู่ขนาน” (Shadow Report) ต่อคณะกรรมการแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) โดยการประชุมครั้งนี้จัดขึ้นสมัยที่ 91 ณ กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ นอกจากนั้นยังรายงานอีกกว่า 24 ฉบับ จากองค์กรภาคประชาสังคมต่างๆ ที่ร่วมกันส่งเสียงแทนผู้หญิงหลากหลายกลุ่มในประเทศไทย เพื่อสะท้อนสิ่งที่รัฐอาจยังไม่เห็นหรือไม่อยากเห็นจากการลงพื้นที่พูดคุยกับผู้ได้รับผลกระทบในสถานการณ์จริง
ตลอดไตรมาสแรกของปี 2568 (มกราคม–มีนาคม) การชุมนุมของประชาชนในประเทศไทยยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้จำนวนจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่หลายคนคาดหวังว่าจะนำไปสู่การเปิดพื้นที่ประชาธิปไตย กลายเป็นว่ายังถูกไม่สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในเรื่องสิทธิในการรวมตัวและการแสดงออก มีการชุมนุมทั้งหมดเกิดขึ้น 19 ครั้งทั่วประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นการชุมนุมขนาดเล็ก ตัวเลขนี้มีการชุมนุมที่ปักหลักค้างคืน 6 การชุมนุม หากนับการชุมนุมปักหลักค้างคืน 1 วันเป็น 1 ครั้งจะมีการชุมนุมที่เกิดขึ้นรวมทั้งหมด 83 ครั้งทั่วประเทศ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงเมื่อเทียบในช่วงเวลา 3 เดือนหรือ 90 วันโดยประมาณ
สถานการณ์ชุมนุมประท้วงต่อต้านนโยบายจัดการและควบคุมผู้อพยพในสหรัฐฯ เกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลสั่งลาดตระเวนเพื่อตรวจสอบและจับกุมผู้อพยพผิดกฎหมายในพื้นที่อย่างเข้มงวด ทำให้คนในพื้นที่ไม่พอใจและออกมาชุมนุมคัดค้านการดำเนินคดีต่อผู้อพยพดังกล่าว และรัฐบาลทรัมป์ส่งกองกำลังป้องกันชาติ (national guards) ออกมาปราบปรามการชุมนุมประท้วงดังกล่าว