สิทธิมนุษยชนรอบโลกประจำสัปดาห์ 26 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม 2566
6 ธันวาคม 2566
Amnesty International Thailand
ออสเตรเลีย: ผู้ชุมนุมกว่า 100 คนถูกตั้งข้อหาหลังพายเรือคายัคปิดท่าเรือถ่านหินก่อนการประชุม COP28
27 พฤศจิกายน 2566
สืบเนื่องจากรายงานข่าวว่าผู้ชุมนุมมากกว่า 100 คน ที่รวมถึงเยาวชน ถูกจับกุมในช่วงสุดสัปดาห์หลังจากชุมนุมต่อต้านรัฐบาลที่เพิกเฉยต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศก่อนการประชุมสุดยอด COP28 ที่ดูไบ
เคท ชีทเซอ นักวิจัยภูมิภาคแปซิฟิกของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า แม้จะเป็นเรื่องที่น่าท้อแท้อย่างยิ่งที่ได้เห็นผลลัพธ์เช่นนี้หลังจากการชุมนุมโดยสงบเกี่ยวกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศก่อนการประชุม COP28 แต่ก็ยังสร้างแรงบันดาลใจได้อย่างมากจากที่ได้เห็นความคิดสร้างสรรค์ ความเฉลียวฉลาด และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของผู้ชุมนุมที่ใช้เรือคายัคเพื่อต่อต้านการเพิกเฉยด้านสภาพภูมิอากาศ
“ผู้คนจำนวนมากที่เข้าร่วมการชุมนุมเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงเสียงเรียกร้องที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับการดำเนินการเร่งด่วนเกี่ยวกับภาวะฉุกเฉินด้านสภาพภูมิอากาศ รวมถึงในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งยังคงใช้ถ่านหินสูงสุด ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้ยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วโลก
“ผู้นำโลกที่เข้าร่วมการประชุม COP28 ในสัปดาห์นี้ควรทราบว่าการประท้วงครั้งใหญ่ในนิวเซาท์เวลส์ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันการเปลี่ยนแปลงทั่วโลกในขณะนี้ ผู้คนจะไม่นิ่งเงียบเมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคุกคามอนาคตของพวกเขา
“การทำอารยะขัดขืนอยู่ภายใต้ขอบเขตของสิทธิในเสรีภาพทางความคิด การแสดงออก และการชุมนุมโดยสงบ ดังนั้น การลงโทษและข้อจำกัดอื่นๆ ที่กำหนดจะต้องเป็นไปตามกฎหมาย และมีความจำเป็นและได้สัดส่วนสำหรับเป้าหมายที่ชอบด้วยกฎหมาย เราขอเรียกร้องให้ยกเลิกข้อกล่าวหาทั้งหมดที่ไม่ได้สัดส่วนและไม่จำเป็นในทันที”
อ่านต่อ: https://www.amnesty.org/en/latest/news/2023/11/australia-protesters-climate-coal/
-----
อิสราเอล/ดินแดนของชาวปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง: มีความจำเป็นเร่งด่วนในการหยุดยิงต่อไปเพื่อยุติการนองเลือดของพลเรือนและความทุกข์ทรมานของผู้คนจำนวนมาก
1 ธันวาคม 2566
สืบเนื่องจากการที่อิสราเอลเริ่มทำการโจมตีอีกครั้งในฉนวนกาซาที่ถูกยึดครอง และมีการยิงจรวดจากกลุ่มติดอาวุธไปยังตอนใต้ของอิสราเอลหลังจากการสงบศึก 7 วันสิ้นสุดลง
เอริกา เกบารา-โรซาส ผู้อำนวยการอาวุโสด้านงานวิจัย การผลักดันเชิงนโยบาย และการรณรงค์ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า เราขอย้ำอย่างเร่งด่วนต่อข้อเรียกร้องให้ทุกฝ่ายในความขัดแย้งหยุดยิงโดยทันที หากไม่มีการหยุดยิง ยอดผู้เสียชีวิตจะยิ่งพุ่งสูงขึ้น และพลเรือนในฉนวนกาซาจะถูกบังคับให้ต้องพบกับความน่าสะพรึงกลัวที่ไม่อาจจินตนาการได้ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาอีกครั้ง โดยไม่มีสถานที่ที่ปลอดภัยให้ไป ไม่มีที่พักพิง และไม่มีความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ตัวประกันที่ถูกกลุ่มฮามาสและกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ ในฉนวนกาซาจับตัวไว้จะตกอยู่ในความเสี่ยงมากขึ้น พลเรือนในอิสราเอลก็จะตกอยู่อันตรายจากการยิงจรวดอย่างไม่เลือกเป้าหมายจากฉนวนกาซา สิ่งนี้จะต้องหยุด
“ผู้นำโลกควรเพิ่มแรงกดดันต่อฝ่ายที่ทำสงครามอย่างเร่งด่วนเพื่อให้บรรลุการหยุดยิงทันทีและยั่งยืน การหยุดยิงเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อประกันว่าพลเรือนทุกคนได้รับการปกป้องทั่วอิสราเอลและดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง และเพื่อบรรเทาความทุกข์ยากด้านมนุษยธรรมของผู้คนจำนวนมากในฉนวนกาซา แต่ถึงแม้จะไม่มีการหยุดยิง อิสราเอลและฮามาสก็ต้องปกป้องพลเรือนด้วยการปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
“แม้ว่าการปล่อยตัวประกัน 113 คน ชาวอิสราเอลและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ถูกควบคุมตัวและนักโทษชาวปาเลสไตน์ 240 คน ถือเป็นความโล่งใจสำหรับครอบครัวและผู้เป็นที่รักของพวกเขา แต่นั่นยังไม่เพียงพอ กลุ่มติดอาวุธจะต้องปล่อยตัวประกันพลเรือนทั้งหมด ทางการอิสราเอลจะต้องปล่อยตัวชาวปาเลสไตน์ทั้งหมดที่ถูกควบคุมตัวโดยพลการ”
“ทุกรัฐจะต้องปฏิบัติตามพันธกรณีของตนที่จะประกันการปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ รวมถึงการเรียกร้องให้พลเรือนทั่วฉนวนกาซาเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างไม่มีข้อจำกัด การยุติการส่งอาวุธให้ฝ่ายที่ใช้ทำการละเมิด และสนับสนุนการสอบสวนอย่างเป็นกลางต่ออาชญากรรมสงครามที่กระทำโดยทุกฝ่าย”
-----
เกาหลีใต้: การพิพากษาจำคุกชายที่ยกย่องเกาหลีเหนือเป็นการโจมตีสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก
22 พฤศจิกายน 2566
สืบเนื่องจากการพิพากษาลงโทษจำคุก 14 เดือนต่อลี ยุนซอบ ชายชาวเกาหลีใต้ฐานยกย่องเกาหลีเหนือในบทกวี
โบรัม จาง นักวิจัยภูมิภาคเอเชียตะวันออกของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า ทางการเกาหลีใต้ต้องยกเลิกข้อกล่าวหาทั้งหมดต่อลี ยุนซอบ ซึ่งถูกตัดสินจำคุกเพียงเพราะใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออก การเขียนบทกวีไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง
“กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติของเกาหลีใต้ที่ใช้ดำเนินคดีและตัดสินความผิดของลี ยุนซอบ ได้ถูกนำมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำอีกในการเซ็นเซอร์ ข่มขู่ และจำคุกผู้คนที่ถูกมองว่ายกย่องเกาหลีเหนือ
“แม้ว่าจะมีสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่แตกต่างในประเทศ แต่ก็ไม่ได้เป็นเหตุผลให้มีข้อจำกัดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายสำหรับสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและละเมิดมาตรฐานสากล ข้อจำกัดดังกล่าวยังคงต้องใช้ตามความจำเป็นและได้สัดส่วนเพื่อจัดการกับภัยคุกคามที่แท้จริงต่อความมั่นคงของชาติ
“กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติไม่ควรถูกใช้โดยพลการเพื่อคุกคาม จับกุม หรือปิดปากผู้ที่ใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกโดยสงบเท่านั้น
“ทางการเกาหลีใต้จะต้องยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมายนี้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะมาตรา 7 เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ”
-----
ปากีสถาน: ทางการต้องยุติการลอยนวลพ้นผิดของสภาชนเผ่าจาก "การฆ่าเพื่อรักษาเกียรติ" ที่ยังไม่ลดลง
30 พฤศจิกายน 2566
สืบเนื่องจาก "การฆ่าเพื่อรักษาเกียรติ" ที่เกิดกับผู้หญิงคนหนึ่งในเมืองโคฮิสถาน ปากีสถาน ซึ่งคำสั่งให้ฆ่ามาจากจิรกา (สภาชนเผ่า) เนื่องจากภาพของเธอที่กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
นาเดีย ราห์มาน รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยประจำภูมิภาคเอเชียใต้ เผยว่า ความล้มเหลวอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลปากีสถานในการควบคุมอำนาจนอกเหนือกฎหมายของจิรกาหรือสภาชนเผ่าในการดำเนินระบบกฎหมายคู่ขนานที่ทำให้ความรุนแรงที่ชายเป็นใหญ่เกิดขึ้นต่อเนื่องโดยไม่ต้องรับโทษเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ ศาลฎีกาของปากีสถานได้ตัดสินว่าการดำเนินงานของสภาชนเผ่าเหล่านี้ขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศของปากีสถานภายใต้ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง และอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ
“แม้ว่า “การฆ่าเพื่อรักษาเกียรติ” ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ จะส่งผลให้เกิดการแก้ไขกฎหมายและความไม่พอใจของสังคมในประเทศ แต่สิ่งเหล่านั้นยังคงไม่ลดน้อยลง การจับกุมผู้คนหลังจากเกิดการโจมตียังไม่เพียงพอ ทางการต้องยุติการลอยนวลพ้นผิดสำหรับความรุนแรง และยกเลิกสิ่งที่เรียกว่าสภาหมู่บ้านและชนเผ่าที่สั่งการอาชญากรรมอันน่าสยดสยองดังกล่าว”
ผู้หญิงวัย 18 ปีรายหนึ่งถูกพ่อและลุงของเธอยิงเสียชีวิตเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตามคำสั่งจากผู้อาวุโสของจิรกา (สภา) ชนเผ่าในปากีสถาน สิ่งที่เรียกว่า "การฆ่าเพื่อรักษาเกียรติ" เป็นปรากฏการณ์ประจำถิ่นในปากีสถาน โดยตามรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของปากีสถาน มีการเกิดขึ้นถึง 384 กรณีในปี 2565 เพียงปีเดียว การสังหารดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากภาพที่อาจถูกตัดต่อของเหยื่อปรากฏบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งสมาชิกในครอบครัวมองว่าเป็นการทำร้าย "เกียรติของครอบครัว" กำลังกลายเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยมากขึ้น
-----
รัสเซีย: การตัดสินว่า “ขบวนการของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ” เป็น “กลุ่มหัวรุนแรง” จะส่งผลให้เกิดหายนะ
30 พฤศจิกายน 2566
สืบเนื่องจากคำตัดสินของศาลฎีกาของรัสเซียที่กำหนดให้ "ขบวนการของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศระหว่างประเทศ" เป็น "กลุ่มหัวรุนแรง" และทำให้กิจกรรมสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
มารี สตรูเทอร์ส ผู้อำนวยการประจำยุโรปตะวันออกและเอเชียกลาง แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า การตัดสินใจที่น่าอับอายและไร้สาระนี้แสดงให้เห็นถึงแนวหน้าใหม่ในการรณรงค์ต่อต้านชุมชนของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ของทางการรัสเซีย คำตัดสินดังกล่าวเสี่ยงที่จะส่งผลให้เกิดการสั่งห้ามองค์กรของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ไปถึงการละเมิดสิทธิในเสรีภาพในการสมาคม การแสดงออก และการชุมนุมโดยสงบ รวมถึงสิทธิที่จะปราศจากการเลือกปฏิบัติ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน และผลสะท้อนกลับมาจะไม่ต่างกับหายนะ
“แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้จะนำไปสู่การประหัตประหารนักกิจกรรมเพื่อผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ทำลายผลงานที่กล้าหาญและทุ่มเทมานานหลายทศวรรษ พร้อมทั้งอาจทำให้เกิดการปลุกปั่นและสร้างความชอบธรรมให้เพิ่มความรุนแรงไปสู่ระดับใหม่ต่อผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศทั่วรัสเซีย
“เราขอเรียกร้องให้ทางการรัสเซียทบทวนคำตัดสินนี้ทันที ประชาคมโลกจะต้องยืนหยัดเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับชุมชนของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ชาวรัสเซียต้องเรียกร้องให้ยุติการกระทำที่กดขี่เหล่านี้ และปกป้องหลักการของความเท่าเทียม เสรีภาพ และความยุติธรรมสำหรับทุกคน”