ผู้ลี้ภัย ผู้ขอลี้ภัยและผู้อพยพ


คนส่วนใหญ่ในโลกเคยมีประสบการณ์ในการเดินทางออกจากถิ่นฐานที่เติบโตมา บางคนอาจจะแค่ย้ายไปหมู่บ้านหรือเมืองข้างๆ แต่สำหรับบางคน พวกเขาจำเป็นต้องย้ายออกจากประเทศของตนเองไปโดยสิ้นเชิง บางครั้งอาจจะเป็นการย้ายออกเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่บางครั้งก็อาจเป็นการย้ายออกถาวรและตลอดกาล

ในทุกวันทั่วโลก ผู้คนต้องตัดสินใจในเรื่องที่ยากที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต นั่นคือการเดินทางออกจากบ้านเกิดเพื่อแสวงหาชีวิตที่ปลอดภัยและดีกว่า

มีเหตุผลมากมายที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่ในประเทศอื่น บางคนเดินทางออกจากบ้านเพื่อหางานทำหรือเพื่อศึกษาเล่าเรียน ขณะที่บางคนถูกบังคับให้หนีจากการถูกกดขี่หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การถูกทรมาน ผู้คนหลายล้านคนต้องหนีภัยจากความขัดแย้งกันด้วยอาวุธ วิกฤตการณ์หรือความรุนแรงอื่น ๆ บางคนไม่รู้สึกปลอดภัยอีกต่อไป และอาจตกเป็นเป้าหมายเพียงเพราะตัวตนของพวกเขา หรือสิ่งที่พวกเขาทำหรือเชื่อ เช่น เชื้อชาติของพวกเขา ศาสนา รสนิยมทางเพศ หรือความคิดเห็นทางการเมือง

การเดินทางเหล่านี้ ซึ่งล้วนเริ่มต้นจากความหวังว่าในอนาคตจะดีกว่า อาจเต็มไปด้วยอันตรายและความหวาดกลัว บางคนเสี่ยงที่จะตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์หรือการแสวงหาประโยชน์ในรูปแบบอื่น ๆ บางคนถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ทันทีที่เดินทางมาถึงประเทศใหม่ และเมื่อพวกเขาเริ่มตั้งหลักและสร้างชีวิตใหม่ได้แล้ว หลายคนกลับต้องเผชิญกับการเหยียดเชื้อชาติ ความเกลียดชังชาวต่างชาติ และการเลือกปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

บางคนรู้สึกโดดเดี่ยวและเปลี่ยวเหงา เพราะพวกเขาสูญเสียผู้คนที่คอยให้การสนับสนุน ซึ่งพวกเราส่วนใหญ่มักจะมองข้าม ไม่ว่าจะเป็นชุมชน เพื่อนร่วมงาน ญาติพี่น้อง หรือเพื่อนฝูง

ซาร่า อายุหกขวบ ภาพนี้ถ่ายบนเกาะไคออส ประเทศกรีซ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2559 เธอสามารถบอกชื่อเมืองหลวงของแทบทุกประเทศในโลกนี้ได้ ซาร่าและครอบครัวของเธอหนีจากการทิ้งระเบิดในเมืองโฮมส์ บ้านเกิดของพวกเขา พวกเขาเล่าให้แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลฟังว่า ขณะที่พยายามข้ามพรมแดนระหว่างซีเรียและตุรกี ตำรวจตุรกีได้ยิงปืนใส่พวกเขา ภาพโดย ©Giorgos Moutafis/Amnesty International

ทำไมผู้คนถึงต้องเดินทางออกจากประเทศของตนเอง?

มีหลายเหตุผลที่ทำให้ผู้คนไม่สามารถอยู่ในประเทศของตนเองได้ เพราะอาจเป็นเรื่องยากหรืออันตรายเกินไป ตัวอย่างเช่น เด็ก ผู้หญิง และผู้ชายต้องหนีภัยจากความรุนแรง สงคราม ความอดอยาก ความยากจนขั้นรุนแรง เพราะอัตลักษณ์ทางเพศหรือเพศสภาพของตน หรือจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่น ๆ บ่อยครั้งที่ผู้คนจะต้องเผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายเหล่านี้หลายอย่างพร้อมกัน

คนที่เดินทางออกจากประเทศของตนเองไม่จำเป็นต้องหนีภัยอันตรายเสมอไป บางคนเชื่อว่าตนเองมีโอกาสหางานทำในต่างประเทศได้มากกว่า เพราะมีการศึกษาหรือมีทุนในการแสวงหาโอกาสในที่อื่น บางคนอาจต้องการไปอยู่กับญาติหรือเพื่อนที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศอยู่แล้ว หรือบางคนอาจต้องการเริ่มต้นหรือจบการศึกษาในอีกประเทศหนึ่ง มีเหตุผลหลากหลายที่ทำให้ผู้คนเริ่มต้นการเดินทางเพื่อสร้างชีวิตใหม่ในต่างแดน

ภาพรวม

นับตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ประมาณปีพ.ศ.2488 โลกของเราก็เผชิญกับปัญหาผู้ลี้ภัยครั้งใหญ่อีกครั้งในปี 2558 เท่าที่มีการเก็บข้อมูลของสหประชาชาติพบว่า ปลายปี 2558 มีผู้คนจำนวนกว่า 65 ล้านคนที่ถูกบังคับให้ต้องพลัดพรากจากบ้านของพวกเขาด้วยเหตุแห่งความขัดแย้ง การถูกประหัตประหาร ความรุนแรงที่ทำในวงกว้าง และการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่างๆ จากข้อมูลในเดือนมิถุนายน 2567 ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (United Nations High Commissioner for Refugees หรือ UNHCR) ระบุว่า ปัจจุบัน ทั่วโลกมีผู้ที่ถูกบังคับให้ต้องพลัดพรากจากบ้านของพวกเขาอย่างน้อย 117.3 ล้านคน ในจำนวนนี้มีผู้ลี้ภัยเกือบ 43.4 ล้านคน และในจำนวนนี้ ราว 40% เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี

จำนวนผู้ลี้ภัยที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมายนี้ ถือเป็นวิกฤตของโลกที่ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศที่มีฐานะเศรษฐกิจที่ร่ำรวยต้องร่วมกันแสดงความรับผิดชอบในการให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมแก่ผู้ลี้ภัยอย่างเร่งด่วน เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าถึงสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานต่างๆ ในระหว่างการลี้ภัยได้อย่างปลอดภัยและอย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์

ภาพรวมของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย และไทย เป็นหนึ่งในประเทศที่ยังคงอนุญาตให้มีการกักขังผู้ลี้ภัยและผู้อพยพโดยพลการอย่างไม่มีกำหนดระยะเวลา ในมาเลเซีย มีความกังวลเกี่ยวกับการกักขังเด็กอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีรายงานอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้ายและการปฏิบัติมิชอบในสถานกักกันคนเข้าเมือง ในประเทศไทย องค์การสหประชาชาติพบว่า การควบคุมตัวกลุ่มผู้ขอลี้ภัยชาวอุยกูร์กว่า 40 คน ซึ่งถูกกักขังมานานกว่า 10 ปี มีสภาพที่เลวร้ายและอาจถึงขั้นที่เป็นการทรมานหรือการปฏิบัติที่โหดร้ายอื่นๆ

บุคคลที่หลบหนีจากความขัดแย้งกันด้วยอาวุธและการปราบปรามต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกบังคับส่งกลับ เจ้าหน้าที่รักษาชายแดนในบังกลาเทศได้ดำเนินการโดยมิชอบด้วยกฎหมายส่งกลับชาวโรฮิงญาที่หลบหนีจากความขัดแย้งกันด้วยอาวุธในรัฐยะไข่ของเมียนมา ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาที่อาศัยอยู่ในค่ายในบังกลาเทศยังคงทุกข์ทรมานกับสภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้าย มีผู้สงสัยว่าเจ้าหน้าที่ไทยร่วมมือกับรัฐบาลเวียดนามในการจับกุมผู้ลี้ภัยชาวมอนตานญาดหลายคน รวมถึงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหนึ่งคนซึ่งต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกเนรเทศกลับไปยังเวียดนามและเสี่ยงที่จะถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ทางการปากีสถานยังคงดำเนินนโยบายเนรเทศและได้บังคับส่งกลับผู้ลี้ภัยนับแสนคนไปยังอัฟกานิสถาน แม้จะมีเสียงเรียกร้องเพื่อให้ความคุ้มครองระหว่างประเทศแก่ชาวอัฟกันที่หลบหนีจากการเลือกปฏิบัติและการปราบปรามอย่างเป็นระบบในประเทศนั้นก็ตาม

ข้อเท็จจริงสำคัญ

43 ล้านคน

ทั่วโลกเป็นผู้ลี้ภัย


1.2 ล้านคน

อพยพไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากความขัดแย้งในซูดาน


12.8 ล้านคน

เป็นผู้ลี้ภัยจากอัฟกานสถานหรือซีเรีย พวกเขาเหล่านี้ถือเป็นสัดส่วนผู้ลี้ภัยที่มากที่สุดในโลก


75%

ของผุ้ลี้ภัย อาศัยอยู่ในประเทศที่มีรายได้น้อยหรือรายได้ปานกลาง


(แหล่งข้อมูล: UNHCR)

จากข้อมูลในปลายเดือนสิงหาคม 2567 ระบุว่าในประเทศไทยมีผู้ลี้ภัยราว 86,000 คน ในจำนวนนี้ เป็นผู้ลี้ภัยจากเมียนมาราว 81,000 คน อาศัยอยู่ในค่ายพักพิงชั่วคราวเก้าแห่งในสี่จังหวัดตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งประกอบด้วยจังหวักาญจนบุรี ตาก แม่ฮ่องสอนและราชบุรี และผู้ลี้ภัยในเขตเมืองราม 5,500 คน ราว 40 สัญชาติ อาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพและในเขตเมือง

ผู้ลี้ภัยเขตเมืองส่วนใหญ่เดินทางเข้าประเทศไทยด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวและเมื่อไม่สามารถขอสถานะทางกฎหมายอื่นๆได้ พวกเขาจะอาศัยอยู่ต่อไปจนเกินอายุวีซ่า สืบเนื่องจากค่าครองชีพที่ค่อนข้างต่ำของประเทศไทยเป็นเหตุให้ไทยมักกลายเป็นเป้าหมายปลายทางของผู้ลี้ภัย

ผู้ลี้ภัยมีการหลบหนีหรือเดินทางโดยเครื่องบิน รถยนต์ เรือ ไปจนถึงการเดินเท้าและมีทั้งที่เข้าเมืองแบบถูกกฎหมาย ผิดกฎหมายหรือตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ พวกเขาอาจพักพิงในประเทศทางผ่านชั่วคราวเพื่อขอสถานะผู้ลี้ภัย แต่ที่ผ่านมาการรับรองสถานะและส่งผู้ลี้ภัยไปประเทศที่สามล่าช้า ทำให้มีผู้ลี้ภัยตกค้างในประเทศทางผ่านจำนวนมาก

เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้อยู่ในภาคีหรืออนุสัญญาว่าด้วยเรื่องผู้ลี้ภัยใดๆ ทั้งยังไม่มีกฎหมายที่จะให้การคุ้มครองให้แก่กลุ่มคนดังกล่าว ดังนั้นสถานะของพวกเขาจึงถือว่าเป็น “คนเข้าเมืองผิดกฎหมาย” ทำให้พวกเขาต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวต่อการโดนจับกุม กักกัน หรือผลักดันกลับไปสู่ประเทศของตน อีกทั้งยังตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ ที่ต้องการแสวงหาประโยชน์จากผู้ลี้ภัย บุคคลเหล่านี้ไม่ว่าจะได้รับการยอมรับสถานะจาก UNHCR หรือไม่ก็ตาม ต่างถือว่าเป็นผู้ละเมิดพระราชบัญญัติคนเข้ามเมือง พ.ศ.2522 และอาจถูกจับกุม ควบคุมตัวและส่งออกนอกราชอาณาจักร

มีความกังวลเกี่ยวกับบทบาทของทางการไทยในการระบุตัวและบังคับส่งกลับผู้ลี้ภัยชาวมอนตานญาดไปยังเวียดนาม ทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อการถูกทรมานหรือการปฏิบัติที่โหดร้ายอื่นๆ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2567 ตำรวจไทยได้จับกุม อี ควิน เบตั๊บ (Y Quynh Bđăp) นักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวมอนตานญาดจากบ้านพักของเขาในกรุงเทพฯ หลังจากที่ทางการเวียดนามได้ร้องขอให้ส่งตัวเขาเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ในเดือนมกราคม อี ควิน เบตั๊บ ผู้ลี้ภัยซึ่งได้รับสถานะจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ถูกศาลในเวียดนามพิพากษาว่ามีความผิดในข้อหาก่อการร้ายโดยเป็นการพิจารณาคดีลับหลังจำเลย เขายังคงถูกควบคุมตัวอยู่ในประเทศไทยจนถึงสิ้นปี

คำนิยาม: ผู้ลี้ภัย ผู้ขอลี้ภัยและผู้อพยพคืออะไรกันแน่?

คำว่า “ผู้ลี้ภัย” “ผู้ขอลี้ภัย” และ “ผู้อพยพ” มักใช้เพื่ออธิบายผู้คนที่อยู่ในระหว่างการเดินทาง หรือคนที่ออกจากประเทศของตนและได้ข้ามพรมแดนมาแล้ว

คำว่า “ผู้อพยพ” และ “ผู้ลี้ภัย” มักถูกใช้แทนกัน แต่การแยกความแตกต่างระหว่างสองคำนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญเพราะมีข้อแตกต่างทางกฎหมายอย่างชัดเจน

ผู้ลี้ภัย (Refugee) คือใคร?

ผู้ลี้ภัย (Refugee) หมายถึงกลุ่มคนที่เดินทางหลบหนีออกจากประเทศของตนเนื่องจากสงคราม ความรุนแรง การประหัตประหาร ถูกกดขี่ข่มเหงหรือตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงอื่นๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางเชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนาหรือความคิดเห็นทางการเมืองหากพวกเขายังอยู่ในประเทศของตน ความเสี่ยงต่อความปลอดภัยและชีวิตของพวกเขารุนแรงจนทำให้พวกเขารู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกจากประเทศเพื่อหาความปลอดภัยในชีวิตจากต่างแดน เนื่องจากรัฐบาลของตนไม่สามารถหรือไม่เต็มใจที่จะปกป้องพวกเขาจากภยันตรายเหล่านั้น ผู้ลี้ภัยมีสิทธิในการได้รับความคุ้มครองระหว่างประเทศ ผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ไม่สามารถกลับไปยังบ้านเกิดได้เพราะหวาดหวั่นต่อภยันตรายเกินกว่าที่จะกลับไปได้

โดยในบางครั้งพวกเขาจะถูกเรียกว่าผู้ขอลี้ภัย (Asylum Seekers) จนกว่าคนๆ นั้นจะได้รับสถานะเป็น “ผู้ลี้ภัย” จาก UNHCR ทั้งนี้สถานะของบุคคลที่เป็นผู้ลี้ภัยไม่ได้ขึ้นอยู่กับการจดทะเบียนอย่างเป็นทางการกับ UNHCR หรือรัฐบาลของประเทศที่รองรับผู้ขอลี้ภัยลี้ภัย ผู้ลี้ภัยซึ่งไม่ยื่นคำร้องขอที่ลี้ภัยและบุคคลที่ยื่นเรื่องขอที่ลี้ภัยแต่ถูกปฏิเสธโดย UNHCR หรือหน่วยงานระดับชาติยังคงมีสถานะเป็นผู้ลี้ภัย

ผู้ขอลี้ภัย (Asylum seeker) คือใคร?

ผู้ขอลี้ภัยคือคนที่ออกจากประเทศของตนเองและกำลังขอรับการคุ้มครองจากการถูกกดขี่ข่มเหงและการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงในประเทศอื่น แต่ยังไม่ได้รับการรับรองการรับรองสถานะผู้ลี้ภัยอย่างเป็นทางการตามอนุสัญญาฯว่าด้วยสถานะผู้ลี้ภัย พ.ศ. 2494 และกำลังรอการตัดสินในคำร้องขอลี้ภัยของตน การขอลี้ภัยเป็นสิทธิมนุษยชน ซึ่งหมายความว่าทุกคนควรมีสิทธิในการเดินทางเข้าสู่อีกประเทศหนึ่งเพื่อยื่นขอลี้ภัย

ผู้อพยพ (Migrant) คือใคร?

ไม่มีการกำหนดคำจำกัดความทางกฎหมายที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลสำหรับคำว่า “ผู้อพยพ” เช่นเดียวกับองค์กรและหน่วยงานส่วนใหญ่ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เข้าใจว่าผู้อพยพคือผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศอื่นที่ไม่ใช่ประเทศต้นทางของตนเอง และไม่ใช่ผู้ขอลี้ภัยหรือผู้ลี้ภัย

ผู้อพยพบางคนออกจากประเทศของตนเองเพียงเพราะต้องการทำงาน ศึกษาเล่าเรียน หรือไปอยู่กับครอบครัว ผู้อพยพคนอื่นๆ อาจรู้สึกว่าต้องออกจากประเทศของตนเองเพราะความยากจน ความไม่สงบทางการเมือง ความรุนแรงจากกลุ่มอาชญากร ภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือสถานการณ์ร้ายแรงอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศของตนเอง

หลายคนอาจยังไม่เข้าข่ายคำจำกัดความทางกฎหมายในการเป็นผู้ลี้ภัย แต่ก็อาจตกอยู่ในอันตรายหากพวกเขาเดินทางกลับบ้านหรือประเทศต้นทาง

สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจคือ แม้ว่าผู้อพยพจะไม่ได้หนีภัยจากการกดขี่ข่มเหง แต่พวกเขายังคงมีสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองและเคารพในสิทธิมนุษยชนทั้งปวง โดยไม่คำนึงถึงสถานะของพวกเขาในประเทศที่พวกเขาย้ายไป รัฐบาลต้องปกป้องผู้อพยพจากความรุนแรงที่เกิดจากการเหยียดเชื้อชาติและความเกลียดชังชาวต่างชาติ การแสวงหาประโยชน์ และการบังคับใช้แรงงาน ผู้อพยพไม่ควรถูกควบคุมตัวหรือบังคับให้กลับประเทศของตนโดยไม่มีเหตุผลที่ชอบด้วยกฎหมาย

การลี้ภัยที่อันตรายต่อชีวิต

หนทางการลี้ภัยของแต่ละคนนั้นมีหลากหลายรูปแบบและวิธีการ บางคนต้องเดินเท้าเป็นเวลาหลายวันเพื่อข้ามเขตแดนไปยังประเทศอื่น บางคนต้องหนีออกจากประเทศด้วยการลงเรือร่วมกับคนอื่นๆ จำนวนมาก พวกเขาต้องตกอยู่ในความเสี่ยงต่อความปลอดภัยทางร่างกายและชีวิต เช่น กรณีของเด็กน้อยผู้ลี้ภัยชาวซีเรียวัย 3 ขวบ ที่จมน้ำเสียชีวิตและถูกกระแสน้ำพัดมาเกยชายหาดแห่งหนึ่งในตุรกี เนื่องจากประสบเหตุเรือล่ม ขณะที่กำลังพยายามเดินทางเข้าไปยังสหภาพยุโรปตามที่ปรากฏเป็นข่าวไปทั่วโลก

มีผู้ลี้ภัยจำนวนไม่น้อยที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์หรือการค้ายาเสพติด ด้วยความที่พวกเขาหวาดกลัวจากการประหัตประหารในประเทศของตนเอง จึงยินยอมที่จะเดินทางไปกับกลุ่มคนลักลอบเข้าเมือง เพราะเชื่อว่าจะสามารถจะช่วยให้ตนเองเดินทางลี้ภัยไปยังประเทศอื่นได้ หากแต่เมื่อพวกเขาถูกทางการจับได้ พวกเขาอาจถูกคุมขังในสถานกักตัวคนเข้าเมืองผิดกฎหมายโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาหรืออาจจะถูกส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง ซึ่งจะทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตรายเช่นเดิม ในบางประเทศ ผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัยถูกเลือกปฏิบัติ ด้วยเหตุเพราะพวกเขาแตกต่างจากพลเมืองในประเทศนั้น ๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางกายภาพหรือวัฒนธรรรมที่แตกต่าง และโดยเฉพาะในประเทศที่ไม่มีกฎหมายภายที่ให้ความคุ้มครองผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัยโดยเฉพาะ พวกเขาอาจถูกคุกคามในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการถูกคุกคามทางเพศด้วยเช่นกัน

แอมเนสตี้มีจุดยืนอย่างไรต่อประเด็นผู้อพยพ ผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัย?

เรารณรงค์เพื่อโลกที่ทุกคนสามารถเข้าถึงสิทธิมนุษยชนได้อย่างเต็มที่ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม แอมเนสตี้ยืนหยัดเพื่อสิทธิมนุษยชนของผู้ลี้ภัย ผู้ขอลี้ภัย และผู้อพยพเป็นเวลานานหลายทศวรรษแล้ว

เรารณรงค์เพื่อให้มั่นใจว่ารัฐบาลประเทศต่าง ๆ ปฏิบัติตามความรับผิดชอบร่วมกันในการปกป้องสิทธิของผู้ลี้ภัย ผู้ขอลี้ภัยและผู้อพยพ เราประณามต่อนโยบายและการปฏิบัติใดๆ ที่ละเมิดสิทธิในการเดินทางของผู้คน

นักกิจกรรมจากแอมเนสตี้ ฝรั่งเศสแสดงให้เห็นว่าพวกเขายินดีต้อนรับผู้ลี้ภัย ณ Place de la Republique ปารีส ตุลาคม 2559 ภาพโดย ©Pierre-Yves Brunaud / Picturetank pour Amnesty International
ผู้คนไม่ได้เป็นปัญหา

มีผู้ลี้ภัยทั่วโลกประมาณ 43.4 ล้านคน หลายคนรู้สึกกังวลกับตัวเลขและมองว่าผู้คนที่เดินทางข้ามพรมแดนเป็นวิกฤตระดับโลก แต่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลl ไม่เห็นว่าเป็นวิกฤตในด้านของจำนวน ผู้คนไม่ได้เป็นปัญหา ปัญหาที่แท้จริงคือสาเหตุที่ทำให้ครอบครัวและผู้คนต้องเดินทางข้ามพรมแดน รวมถึงวิธีการตอบสนองของนักการเมืองต่อสถานการณ์เหล่านี้ที่ไม่จริงจังและมีมุมมองที่คับแคบ

การรณรงค์เพื่อผู้คนที่ย้ายถิ่นฐาน

ผ่านการรณรงค์ของเรา เรากดดันให้รัฐบาลปฏิบัติตามหน้าที่และความรับผิดชอบในการปกป้องสิทธิของทุกคน พวกเขาต้องรับประกันว่าผู้ลี้ภัย ผู้ขอลี้ภัยและผู้อพยพจะได้รับความปลอดภัย จะไม่ถูกทรมาน ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ และไม่ถูกปล่อยให้ต้องอยู่อย่างยากจน

เรารณรงค์ให้รัฐบาลดำเนินการพิจารณาคำขอลี้ภัยของผู้ขอลี้ภัยอย่างเหมาะสม เพื่อจะได้ไม่ปล่อยให้พวกเขาต้องติดค้างอยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอน และในบางกรณีก็ถูกกักขังไว้ในศูนย์กักกันเป็นเวลาหลายปี นอกจากนี้ เรายังต้องการให้ผู้อพยพได้รับการคุ้มครองจากการถูกแสวงหาประโยชน์และการล่วงละเมิดจากนายจ้างหรือผู้ค้ามนุษย์

ตัวตนที่อยู่เบื้องหลังคำเรียก

มนุษย์แต่ละคนมีอัตลักษณ์มากกว่าหนึ่งอย่าง คำว่า “ผู้ลี้ภัย” “ผู้อพยพ” และ “ผู้ขอลี้ภัย” เป็นเพียงคำชั่วคราวเท่านั้น คำเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนตัวตนทั้งหมดของผู้หญิง เด็ก และผู้ชายที่ต้องจากบ้านเกิดมาเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ในประเทศใหม่

เราต้องไม่ลืมว่า ในบรรดาวิธีการมากมายที่ผู้คนใช้บอกเล่าตัวตนของตนเองคำเรียกเหล่านี้สะท้อนเพียงประสบการณ์หนึ่งเท่านั้น นั่นคือการที่ต้องออกจากประเทศบ้านเกิดของพวกเขา แต่ตัวตนของผู้คนเหล่านั้นประกอบขึ้นจากสิ่งต่าง ๆ มากมายยิ่งกว่านั้น

ผู้คนส่วนใหญ่ที่ต้องการไปใช้ชีวิตในที่อื่น มักรู้สึกว่าประสบการณ์ที่ต้องออกจากบ้านเกิดนั้นไม่สามารถสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาได้ อย่างเช่นพวกเราทุกคน พวกเขาเป็นมนุษย์ที่มีความซับซ้อนและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว พวกเขาอาจเลือกนิยามตัวเองว่าเป็นคนจากประเทศหรือภูมิภาคหนึ่ง เป็นสมาชิกของกลุ่มที่พูดภาษาหนึ่ง หรือมีวัฒนธรรมร่วมกัน หรืออาจบอกว่าตัวเองเป็นครู แพทย์ ศิลปิน แฟนฟุตบอลตัวยง พ่อ พี่สาว ลูกชาย หรือแม่ก็ได้

สถานะทางกฎหมายของบุคคลไม่สามารถสะท้อนตัวตนและบุคลิกภาพทั้งหมดของผู้ลี้ภัย ผู้ขอลี้ภัย หรือผู้อพยพได้ ไม่มีใครสามารถถูกนิยามได้จากสถานะทางกฎหมายเพียงอย่างเดียว

เหตุใดรัฐบาลจึงควรต้อนรับผู้ลี้ภัย ผู้ขอลี้ภัยและผู้อพยพ?

  • เราต้องการอยู่ในโลกที่ผู้คนซึ่งตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงมีโอกาสได้สร้างชีวิตใหม่อย่างปลอดภัย
  • ในยุคโลกาภิวัตน์ การแบ่งปันความรับผิดชอบต่อปัญหาระดับโลกอย่างเท่าเทียมกันคือสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรมที่ต้องทำ
  • ชุมชนเจ้าบ้านได้รับประโยชน์จากพลังงานและแรงผลักดันที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอันมหาศาลในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ผู้คนเหล่านี้นำติดตัวมาด้วย
  • การต้อนรับผู้คนจากประเทศอื่นช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับชุมชนเจ้าบ้าน โดยทำให้มีความหลากหลายและยืดหยุ่นมากขึ้นในโลกของเราที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
  • บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจและมีอิทธิพลมากที่สุดในแวดวงศิลปะ วิทยาศาสตร์ การเมือง และเทคโนโลยีหลายคนเคยเป็นผู้ลี้ภัย ผู้ขอลี้ภัยและผู้อพยพ พวกเขาได้รับโอกาสในการสร้างชีวิตใหม่ในประเทศใหม่ และเติบโตอย่างงดงามในฐานะสมาชิกของชุมชนใหม่

แล้วคุณสามารถทำอะไรได้บ้าง?

ตัยยีเบห์ อับบาซี วัย 19 ปี ใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัวตลอดเวลาว่าจะถูกส่งตัวกลับไปยังอัฟกานิสถาน ประเทศที่เธอไม่เคยอาศัยอยู่เลย แม้ชุมชนท้องถิ่นของเธอจะประท้วงคัดค้าน และได้รับการสนับสนุนจากผู้สนับสนุนของแอมเนสตี้มากกว่า 275,000 คนทั่วโลก รัฐบาลนอร์เวย์ก็ยังคงยืนกรานที่จะบังคับให้ครอบครัวอับบาซีเดินทางกลับไปยังอัฟกานิสถาน ประเทศที่การวิจัยของแอมเนสตี้ระบุว่า อันตรายเกินกว่าจะส่งผู้คนกลับไปในเวลานี้ ภาพโดย ©Tom Arne Brandvold

สนับสนุนการรณรงค์ของเราเพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัย!

คุณสามารถเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในขบวนการเคลื่อนไหวของผู้คนที่ต้อนรับผู้ลี้ภัยได้ การรณรงค์ของแอมเนสตี้ที่ชื่อว่า “I Welcome” เรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกต้อนรับผู้คนจากทั่วโลกที่กำลังแสวงหาความปลอดภัย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาระหน้าที่ของโลก ด้วยเจตจำนงทางการเมืองที่เพียงพอ ผู้นำของเราสามารถปกป้องผู้ที่หนีภัยจากความขัดแย้งและการกดขี่ข่มเหง รวมถึงการหาทางแก้ไขผ่านกระบวนการที่เรียกว่าการตั้งถิ่นฐานใหม่

เรากำลังผลักดันและค้นหาวิธีที่ปลอดภัยอื่น ๆ ให้ผู้ลี้ภัยได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ เช่น การรวมตัวกันของสมาชิกครอบครัวที่ถูกแยกจากกัน ผ่านชุมนุมที่ให้การสนับสนุนครอบครัวผู้ลี้ภัยให้ย้ายมาอยู่ในประเทศของพวกเขา และผ่านมหาวิทยาลัยและภาคธุรกิจต่าง ๆ ที่เสนอวีซ่าในการศึกษา หรือวีซ่าทำงานเพื่อให้ผู้คนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่

รัฐบาลไม่ควรบังคับใครให้กลับไปยังประเทศที่พวกเขาต้องตกอยู่ในความเสี่ยงของการละเมิดสิทธิมนุษยชน แทนที่จะทำเช่นนั้น ผู้ลี้ภัยควรได้รับข้อเสนอในการหาที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยและโอกาสในการเข้าถึงการทำงาน การศึกษา และการดูแลสุขภาพ

การให้การสนับสนุนชุมชนสำหรับผู้ลี้ภัย

หากรัฐบาลของคุณมีโครงการสนับสนุน คุณสามารถเข้าร่วมโครงการสนับสนุนชุมชนนั้นได้ ซึ่งเป็นโครงการที่ชุมชนในท้องถิ่นร่วมกันระดมทุนเพื่อช่วยในเรื่องการตั้งถิ่นฐานใหม่ พร้อมต้อนรับครอบครัวและผู้ที่หนีภัยจากประเทศบ้านเกิดของพวกเขา

โมฮาเหม็ดจากโซมาเลีย และยาฮ์ยาจากซูดาน อยู่กับแคเธอรีน แคเธอรีนเป็นหนึ่งในผู้ที่ช่วยสนับสนุนให้ชายทั้งสองได้เดินทางและตั้งถิ่นฐานในชุมชนของเธอที่โตรอนโต ประเทศแคนาดา ปี 2560 ภาพโดย Stephanie Foden/Amnesty International

วิกฤตผู้ลี้ภัยที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศต่างๆ ในฐานะสมาชิกของประชาคมโลกต้องร่วมกันให้ความคุ้มครองด้านความปลอดภัยและให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ผู้ลี้ภัยอย่างเร่งด่วนและทั่วถึง ผู้ลี้ภัยทุกคนควรได้รับการปฏิบัติเหมือนกับบุคคลทั่ว ๆ ไป พวกเขาต้องสามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานต่างๆ รวมถึงโอกาสในการตั้งถิ่นฐานใหม่อย่างเท่าเทียม โดยไม่คำนึงถึงศาสนา สัญชาติ หรือเชื้อชาติของพวกเขา

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องรัฐบาลในประเด็นเรื่องผู้ลี้ภัย ผู้ขอลี้ภัยและผู้อพยพให้

  • ประเทศต่างๆ ในโลก โดยเฉพาะประเทศที่ร่ำรวย ร่วมกันแสดงความรับผิดชอบในการให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในด้านต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อวัตถุประสงค์หลักดังต่อไปนี้
    • เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยให้สามารถลี้ภัยไปดำเนินชีวิตได้อย่างถูกกฎหมายและมีความปลอดภัยในประเทศต่างๆ ในโลกเพิ่มมากขึ้น
    • เพื่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศในระดับทวิภาคีและระดับพหุภาคีในการแสดงความรับผิดชอบร่วมกันในการให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยเพิ่มมากขึ้น
    • เพื่อให้ประเทศต่างๆ ในโลกร่วมกันส่งเสริมสิทธิในการลี้ภัยเพิ่มมากขึ้น และยุติการผลักดันส่งกลับ (Refoulement) ในประเทศที่มักมีการปฏิบัติดังกล่าว เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ลี้ภัยต้องกลับไปเผชิญกับอันตรายต่อชีวิตที่อาจเกิดขึ้นในประเทศที่พวกเขาลี้ภัยมา
  • รัฐบาลต้องยุติการกักตัวผู้ขอลี้ภัย เพียงเพราะสถานะการเข้าเมืองของพวกเขาและอนุญาตให้พวกเขาแสวงหาความคุ้มครองระหว่างประเทศ
  • ควรยุติการเนรเทศโดยมิชอบด้วยกฎหมายทันทีและควรเคารพต่อหลักการไม่ส่งกลับ ทั้งยังควรสนับสนุนการดำเนินการเพื่อคุ้มครองให้ปลอดพ้นจากการค้ามนุษย์ และช่วยให้ผู้รอดชีวิตจากการค้ามนุษย์ได้รับความสนับสนุนด้านกฎหมายและด้านอื่นๆ
  • แอมเนสตี้ เรียกร้องให้ทางการไทยแสดงความรับผิดชอบต่อวิกฤตผู้ลี้ภัยที่เกิดขึ้นด้วยการกำหนดให้มีกฎหมายภายในเพื่อให้เกิดกระบวนการการขอลี้ภัยที่สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ 
  • รัฐไทยต้องเคารพสิทธิของผู้ขอที่ลี้ภัยและผู้ลี้ภัยโดยการไม่คุมขังผู้ขอลี้ภัยและผู้ลี้ภัยโดยพลการ และคุ้มครองให้พวกเขาสามารถเข้าถึงสิทธิมนุษยชนต่างๆ ได้แก่ สิทธิที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลในกฎหมายของประเทศไทย สิทธิในการเข้าถึงการศึกษา สิทธิในการเข้าถึงการได้รับบริการสุขภาพที่ได้มาตรฐาน เเละสิทธิในการประกอบอาชีพ 
  • ไทยควรดำเนินการป้องกันและยุติไม่ให้มีการผลักดันส่งกลับผู้แสวงหาที่ลี้ภัยและผู้ลี้ภัยจากทุกประเทศ
  • ไทยควรให้ภาคยานุวัติต่ออนุสัญญาของสหประชาชาติว่าด้วยสถานะผู้ลี้ภัยค.ศ. 1951 และพิธีสารเลือกรับค.ศ. 1967
  • ประกันว่าในทางปฏิบัติแล้ว จะไม่มีบุคคลใดที่ถูกส่งกลับไปยังพื้นที่ ดินแดนที่มีความเสี่ยงว่าจะตกเป็นเหยื่อของการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายอื่นๆ อันเป็นไปตามอนุสัญญาฯ และกฎหมายภายในประเทศของไทยเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย
  • ประกันว่าบุคคลทุกคนที่ต้องการความคุ้มครองระหว่างประเทศ เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย ไม่ว่าเป็นการเดินทางด้วยช่องทางใด จะสามารถเข้าถึงกระบวนการพิจารณาสถานะของผู้ลี้ภัยที่เป็นธรรมและมีประสิทธภาพ
  • ในกรณีของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวเวียดนาม อี ควิน เบตั๊บ ให้ทางการไทยยุติกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนและอนุญาตให้เขาได้เข้าถึงกระบวนการขอลี้ภัยไปยังประเทศที่สามอย่างอิสระ

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม

กฎหมายสำหรับผู้อพยพ ผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัย

ตามหลักสิทธิมนุษยชน และหลักกฎหมายระหว่างประเทศ มนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่จะได้ที่ลี้ภัยไปยังประเทศอื่นให้รอดพ้นจากการประหัตประหารที่เกิดขึ้นในประเทศที่ตนเป็นพลเมืองอยู่ได้ ตามอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพของผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติปี 2494 และพิธีสารเลือกรับว่าด้วยสถานภาพของผู้ลี้ภัย (Optional Protocol Relating to the Status of Refugee) ปี 2510 ได้ระบุสิทธิของผู้ลี้ภัยหลายประการ ซึ่งรัฐภาคีในอนุสัญญาและพิธีสารดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามให้ผู้ลี้ภัยเข้าถึงสิทธิเหล่านั้น หากประเทศที่ให้การพักพิงแก่ผู้ลี้ภัยมีกฎหมายภายในเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยเป็นการเฉพาะ ผู้ลี้ภัยต้องได้รับสิทธิและหน้าที่ตามที่ได้กำหนดไว้ตามกฎหมายภายในที่เกี่ยวข้องนั้นๆ หากประเทศที่ให้การพักพิงแก่ผู้ลี้ภัยไม่มีกฎหมายภายในกำหนดไว้ ประเทศนั้นๆ ต้องปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยตามหลักมนุษยธรรม

สิทธิของผู้อพยพ ผู้ลี้ภัย และผู้ขอลี้ภัยได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ว่าพวกเขาจะมาถึงประเทศด้วยวิธีใดหรือเหตุผลใดก็ตาม พวกเขามีสิทธิเท่าเทียมกับทุกคน รวมถึงการคุ้มครองพิเศษหรือการคุ้มครองเฉพาะที่รวมถึง: