ภาพรวม
มีเด็กประมาณ 2.3 พันล้านคนทั่วโลก หรือเกือบหนึ่งในสามของประชากรมนุษย์ทั้งหมด เด็กตามกฎหมาย หมายถึงบุคคลซึ่งยังไม่ถึงเกณฑ์อายุที่กฎหมายกำหนดให้เป็นผู้ใหญ่ (ยังไม่บรรลุนิติภาวะ) ในประเทศของตน ส่วนใหญ่จะกำหนดที่อายุ 18 ปี ไม่ว่าจะมีอายุเท่าไร เด็กทุกคนต่างก็มีสิทธิมนุษยชนเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ รวมทั้งสิทธิในการพูดและแสดงความคิดเห็น สิทธิในความเท่าเทียม การได้รับบริการสุขภาพ การศึกษา สิ่งแวดล้อมที่สะอาด ที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย และการได้รับการคุ้มครองให้รอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง สิทธิของเด็กได้รับการรับรองไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ ปี พ.ศ. 2532 (UNCRC) ซึ่งนับเป็นสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนที่มีการให้สัตยาบันรับรองมากที่สุดในโลก มีเพียงประเทศเดียวจาก 197 ประเทศสมาชิกหรือรัฐภาคีของสหประชาชาติที่ยังไม่ได้ให้สัตยาบันรับรองในอนุสัญญานี้ คือ สหรัฐอเมริกา
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNCRC) มุ่งคุ้มครองเด็กให้รอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง ส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก และเสริมสร้างศักยภาพในการมีส่วนร่วมในสังคม ข้อ 42 ของอนุสัญญานี้ได้แสดงถึงพันธกิจในการให้ความรู้ การศึกษาแก่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เกี่ยวกับสิทธิเด็ก แต่ในความเป็นจริงกลับเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก การไม่ตระหนักถึงสิทธิของตนเองทำให้เด็กตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกปฏิบัติมิชอบ ถูกเลือกปฏิบัติ และถูกแสวงหาประโยชน์มากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุดังกล่าว แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล แองเจลินา โจลี และศาสตราจารย์ เจเรอดีน ฟาน บูเรน QC ได้ร่วมกันจัดทำหนังสือเกี่ยวกับสิทธิเพื่อเป็นคุ่มือสำหรับวัยรุ่น ชื่อหนังสือ: Know Your Rights and Claim Them ขณะที่ These Rights Are Your Rights เป็นคู่มือเสริมพลังสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 8 ปีขึ้นไป ที่เต็มไปด้วยภาพการ์ตูน ข้อมูลสนุก ๆ และเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจ นอกจากนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ยังได้จัดทำหลักสูตรออนไลน์ที่ให้ความรู้ด้านสิทธิเด็กโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ อีกด้วย
ปัญหาคืออะไร?
ในระดับโลก มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนของเด็กทุกวัน เด็กและเยาวชนมักเผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกละเมิดสิทธิมากเป็นพิเศษ เนื่องจากพวกเขายังคงต้องพึ่งพาผู้ใหญ่ ซึ่งในหลายกรณีอาจทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เด็กมักเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มสูงต่อความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญกับความยากจน ภาวะขาดสารอาหาร และการปฏิบัติมิชอบ และมักเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากวิกฤตด้านสิทธิมนุษยชน
มีการละเมิดสิทธิเด็กอย่างไรบ้าง?
เป็นเรื่องที่น่าเศร้าเพราะมักมีการปฏิบัติมิชอบหรือละเมิดสิทธิเด็กเป็นประจำ เริ่มตั้งแต่แรกเกิดเช่น คาดการณ์ว่ามีเด็กประมาณ 290 ล้านคนทั่วโลก ยังไม่เคยได้รับการจดทะเบียนเกิด (ไม่ได้รับการแจ้งเกิด) ส่งผลให้พวกเขาไม่มีสถานะบุคคลตามกฎหมายหรือเอกสารรับรองการมีตัวตน ทำให้พวกเขาแทบไม่มีโอกาสเรียกร้องสิทธิอย่างอื่นของตนเองได้ตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงการศึกษา การได้รับการรักษาพยาบาลหรือบริการด้านสุขภาพ หรือการมีงานทำเมื่อเติบโตขึ้น เด็กผู้หญิงในประเทศรายได้น้อยมีโอกาสเพียง 50/50 ที่จะได้รับการจดทะเบียนมีสถานะบุคคลและเข้าถึงสิทธิและบริการต่างๆ
เด็กกว่า 61 ล้านคนทั่วโลกไม่ได้เข้าเรียนชั้นประถม คาดการณ์ว่าเด็กผู้หญิง 150 ล้านคน และเด็กผู้ชาย 73 ล้านคน ถูกล่วงละเมิดทางเพศทุกปี ในบางประเทศ เด็กผู้หญิงที่มีอายุเพียงเก้าขวบถูกบังคับให้แต่งงาน และเด็กที่อายุเพียงหกขวบต้องเข้ารับการไต่สวนในศาลอาญาที่มีกระบวนการแบบเดียวกับผู้ใหญ่ ในทุกปี มีเด็กอย่างน้อย 330,000 คนที่ถูกกักขังในศูนย์กักตัวคนต่างด้าวใน 80 ประเทศ เพียงเพราะพวกเขาเป็นผู้อพยพหรือผู้ลี้ภัย เด็กหลายคนถูกพรากจากพ่อแม่และครอบครัวของตนเอง
ในปี 2562 เด็กหนึ่งในหกคนมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความยากจนขั้นรุนแรง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ทำให้เด็กเสี่ยงมากขึ้นต่อความรุนแรงในครอบครัว การใช้แรงงานเด็ก การแสวงหาประโยชน์ทางเพศ การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น และการแต่งงานของเด็ก ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากโดยเฉพาะในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19
ในปี 2563 เด็กเกือบ 820 ล้านคนไม่มีที่ล้างมือในโรงเรียน ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิในสุขภาพของพวกเขาและทำให้พวกเขามีความเสี่ยงสูงขึ้นในการติดเชื้อและแพร่กระจายเชื้อโรค

แล้วสิทธิในการมีเสียงของเด็กเป็นอย่างไร?
หนึ่งในหลักการทั่วไปของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (UNCRC) คือ เด็กมีสิทธิในการมีส่วนร่วมและได้รับการฟังในทุกการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อพวกเขา สิทธิในการมีส่วนร่วมเชื่อมโยงกับระดับวุฒิภาวะและความสามารถของเด็ก และต้องมีการใช้ตามเงื่อนไขที่เหมาะสม ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมการพัฒนาของพวกเขา และช่วยให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับสังคม
เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ เด็กมีสิทธิที่จะแสดงความเห็นและชุมนุมประท้วงโดยสงบ ในทุกวันนี้ เด็กและเยาวชนทั่วโลกกำลังใช้สิทธิของตนในการลุกขึ้นเรียกร้องความยุติธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ ความเท่าเทียมด้านเชื้อชาติ รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ แต่บ่อยครั้งที่มุมมองของพวกเขามักถูกมองข้าม ถูกเพิกเฉยหรือไม่ได้รับการยอมรับอย่างจริงจัง

กรณีศึกษา 1 – จันนา ญีฮาด – ปาเลสไตน์
จันนา ญีฮาด วัยรุ่นสาวที่เติบโตขึ้นในหมู่บ้านนาบี ซาลีห์ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของกรุงรามัลเลาะห์ในเขตเวสต์แบงก์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกอิสราเอลใช้กำลังทหารยึดครองตั้งแต่ปี 2510
จันนาและเด็กปาเลสไตน์คนอื่นๆ ที่มีชีวิตเช่นเดียวกับเธอ ถูกปฏิเสธไม่ให้มีสิทธิและต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติในทุกวัน กองทัพอิสราเอลมักเข้าจับกุมเด็กๆ จากหมู่บ้านของจันนา โดยบุกเข้าตรวจค้นบ้านในเวลากลางคืนขณะที่ครอบครัวกำลังหลับ เด็ก ๆ ต้องต่อสู้เพื่อให้เข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น สิทธิในเข้าถึงการศึกษาและเสรีภาพในการเดินทาง เนื่องจากพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับด่านตรวจตามจุดต่างๆ ที่ทำให้การเดินทางของพวกเขาล่าช้า โดยอาจต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะเดินทางไปถึงโรงเรียน ทั้งที่ความจริงควรใช้เวลาไม่เพียงกี่นาที ประชาชนประสบปัญหาในการเดินทางไปทำงาน หรือการออกไปหาเลี้ยงครอบครัว สำหรับคนป่วย การไปถึงโรงพยาบาลอาจเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย
ในปี 2552 ตอนจันนาอายุได้สามขวบ ชุมชนของเธอได้ใช้สิทธิการประท้วงอย่างสงบ และเริ่มเดินขบวนทุกสัปดาห์ แต่กลับถูกตอบโต้ด้วยความรุนแรง เมื่อเธออายุเจ็ดขวบ ลุงและเพื่อนของเธอถูกทหารอิสราเอลสังหาร จันนาใช้โทรศัพท์ของแม่เพื่อบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเปิดเผยความจริงให้คนอื่นได้รับรู้ พอเข้าสู่วัยรุ่น การถ่ายทอดสดผ่านวีดิโอของเธอมีคนดูเป็นแสนคนทั่วโลก ในปี 2561 ขณะที่มีอายุ 12 ปี จันนากลายเป็นนักข่าวที่มีบัตรผู้สื่อข่าวอายุน้อยสุดในโลก แต่เธอกลับต้องเผชิญกับภัยคุกคาม ทั้งคำขู่และแรงกดดันมากมายระหว่างการทำงาน

ฉันเริ่มทำงานข่าวตั้งแต่อายุ 7 ขวบ
เพราะอยากให้ทั้งโลกได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่
และพวกเราใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัว
และความไม่แน่นอน ฉันแค่อยากมีชีวิตที่ปกติ
มีวัยเด็กที่ปกติเหมือนคนอื่น
จันนา ญีฮาด
กรณีศึกษา 2 – ไครียะห์ ระหมันยะ – ประเทศไทย
ไครียะห์ ระหมันยะ เกิดในครอบครัวชาวประมงในจังหวัดทางภาคใต้ของไทย ทะเลใกล้บ้านเธอเป็นแหล่งทรัพยากรอาหารทะเลอันอุดมสมบูรณ์ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลหายากที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ เช่น เต่าทะเลและโลมาสีชมพู ในปี 2563 ขณะที่อายุได้ 17 ปี ไครียะห์ได้เริ่มการรณรงค์ต่อต้านแผนของรัฐบาลไทยที่จะพัฒนาพื้นที่ซึ่งเป็นที่ตั้งหมู่บ้านของเธอในอำเภอจะนะให้กลายเป็นนิคมอุตสาหกรรม เธอใช้เวลาหลายชั่วโมงในการยืนประท้วงและเดินทางนับพันกิโลเมตรไปยังทำเนียบรัฐบาลที่กรุงเทพฯ เพื่อยื่นจดหมายถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้ยุติโครงการพัฒนาฯ ดังกล่าว ส่งผลให้รัฐบาลระงับการตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการนี้
ไครียะห์กล่าวว่า: “ฉันรู้สึกยินดีมากที่ได้เป็นตัวแทนถ่ายทอดเรื่องราวในหมู่บ้าน ฉันเติบโตมากับชีวิตนักกิจกรรมและต่อสู้เพื่อชุมชนมาตั้งแต่ยังเล็ก มันเจ็บปวดมากที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับความจริงแบบนี้ และฉันอยากให้ชีวิตของคนรุ่นต่อไปแตกต่างจากพวกเราตอนนี้ ในฐานะที่เป็นเด็ก เราต้องได้รับโอกาสในการเรียนรู้เกี่ยวกับสิทธิของเรา และผู้ใหญ่มีหน้าที่ในการส่งเสริม สร้างความเข้มแข็ง และสนับสนุนเรา”

ในฐานะที่เป็นเด็ก เราต้องได้รับโอกาส
ในการเรียนรู้เกี่ยวกับสิทธิของเรา
และผู้ใหญ่มีหน้าที่ในการส่งเสริม
สร้างความเข้มแข็ง และสนับสนุนเรา
ไครียะห์ ระหมันยะ
แอมเนสตี้ทำอะไรบ้าง?
สิทธิมนุษยชนระดับโลก
ความรู้คือกุญแจ
ข้อ 42 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNCRC) ระบุให้ ‘รัฐภาคีรับที่จะดำเนินการให้หลักการและบทบัญญัติในอนุสัญญานี้ เป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวาง ทั้งแก่ผู้ใหญ่และเด็ก ด้วยวิธีการที่เหมาะสมและจริงจัง’
เพื่อสนับสนุนข้อ 42 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล, แองเจลินา โจลี และศาสตราจารย์ เจเรอดีน ฟาน บูเรน QC (หนึ่งในผู้ร่วมจัดทำร่างอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก) ได้เขียนหนังสือสำหรับวัยรุ่นชื่อ Know Your Rights and Claim Them เพื่ออธิบายถึงสิทธิเด็ก แสดงให้เห็นสภาพที่เกิดขึ้นจริงเมื่อสิทธิเหล่านั้นถูกปฏิเสธ เน้นให้เห็นการทำงานที่ทรงพลังของเยาวชนนักกิจกรรม และให้เครื่องมือสำหรับแกนนำเยาวชนที่จะใช้ประโยชน์จากกฎหมาย ปฏิบัติการ เพื่อเรียกร้องสิทธิของตนได้
หนังสือเล่มนี้ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในเดือนกันยายน พ.ศ. 2564 และมีฉบับแปลในหลายภาษา รวมถึงภาษาเดนมาร์ก อังกฤษ (สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา) เยอรมัน เกาหลี กรีก อิตาลี โรมาเนีย ตุรกี แอลเบเนีย และโปแลนด์ โดยคาดว่าจะมีฉบับแปลในภาษาอื่น ๆ ตามมาอีกในอนาคต พวกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะได้รับการตีพิมพ์ในทุกประเทศทั่วโลก
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยังได้สร้างเป็นคู่มือเสริมพลังสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 8 ปีขึ้นไปชื่อ “These Rights Are Your Rights” ซึ่งจะเปิดตัวในภาษาอังกฤษในสหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ในวันที่ 5 กันยายน 2567 และจะมีฉบับแปลในภาษาอื่น ๆ ตามมาในอนาคต คู่มือเล่มนี้มีโทนเบาและเต็มไปด้วยภาพการ์ตูน โดยผสมผสานข้อมูลข้อเท็จจริงสนุก ๆกับมุกตลกที่ดึงดูดเด็ก ๆ พร้อมทั้งเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจและคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตัวเองและการรักษาความปลอดภัย
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยังได้จัดทำ หลักสูตรออนไลน์เบื้องต้นเกี่ยวกับสิทธิเด็ก สำหรับเยาวชนและผู้ใหญ่โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 90 นาที มีการนำเสนอบทสัมภาษณ์เยาวชนนักกิจกรรม การเรียนรู้แบบเรียนด้วยตนเองที่สามารถปรับให้เหมาะสมกับแต่ละคน และแนวคิดที่สามารถนำไปปฏิบัติเพื่อส่งเสริมสิทธิเด็กได้ในชีวิตจริง

กรณีศึกษา – เด็กยาซิดีในอิรัก

ข้อ 39 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ(UNCRC) ระบุว่า ‘รัฐภาคีจะดำเนินมาตรการที่เหมาะสมทั้งปวง ที่จะส่งเสริมการฟื้นฟูทั้งทางร่างกายและจิตใจ และการกลับคืนสู่สังคมของเด็กที่ได้รับเคราะห์จากการละเลยในรูปแบบใดๆ การแสวงประโยชน์ การกระทำอันมิชอบ การทรมานหรือ การลงโทษ หรือการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือต่ำช้าโดยรูปอื่น หรือการขัดกันด้วยอาวุธ…’
ชะตากรรมของเด็กชาวยาซิดีในอิรักเป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนความจำเป็นของข้อ 39 นี้ ระหว่างปี 2557 ถึง 2560 กลุ่มติดอาวุธที่เรียกตัวเองว่า “กลุ่มไอสิส” (IS) ได้ก่ออาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติอย่างร้ายแรงต่อชุมชนยาซิดีในอิรัก เด็กยาซิดีถูกลักพาตัวและบังคับให้เป็นทาส ถูกทรมาน บังคับให้เข้าร่วมการสู้รบ ถูกล่วงละเมิดทางเพศ และเผชิญกับการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงอื่นๆ อีกมากมาย เด็กหลายพันคนถูกสังหารหรือถูกลักพาตัวไป
แม้ว่าเด็กยาซิดีหลายร้อยคนมีชีวิตรอดและได้กลับไปหาครอบครัวในอิรัก แต่การกลับสู่บ้านเกิดไม่ได้ทำให้ความทุกข์ทรมานของพวกเขายุติลง เด็กที่รอดชีวิตเหล่านี้ต้องเผชิญกับปัญหาด้านสุขภาพกายและจิตใจอย่างรุนแรง ซึ่งแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้บันทึกข้อมูลไว้ในรายงานที่พิมพ์เผยแพร่เมื่อเดือนกรกฎาคม 2563 แต่พวกเขากลับไม่ได้รับความช่วยเหลือใด ๆ
เมื่อเด็กผู้ชายชาวยาซิดีที่ถูกบังคับให้สู้รบเดินทางกลับเข้าสู่ชุมชน มักถูกสังคมของตนเองรังเกียจและกีดกัน ส่วนผู้หญิงและเด็กหญิงชาวยาซิดีที่คลอดบุตรเนื่องจากถูกกดขี่ทางเพศโดยกลุ่มไอสิส มักถูกหลอกลวง ถูกกระตุ้น หรือแม้กระทั่งถูกบังคับให้แยกจากลูกของตนเนื่องจากแรงกดดันทางศาสนาและสังคม
ส่วนหนึ่งของการรณรงค์และในความพยายามผลักดันเชิงนโยบาย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องให้มีการขยายเนื้อหาของร่างกฎหมายเยียวยาผู้รอดชีวิตให้ครอบคลุมถึงเด็ก เพื่อให้เด็กเหล่านี้ได้รับประโยชน์จากโครงการเยียวยานี้ด้วย
ในวันที่ 1 มีนาคม 2564 รัฐสภาอิรักได้ประกาศใช้ กฎหมายเพื่อเหยื่อชาวยาซิดีที่เป็นผู้หญิง (Yezidi Female Survivors Law) ซึ่งกำหนดกรอบในการจัดสรรการเยียวยาและความช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกกลุ่มไอสิสจับกุมตัว รวมทั้งเหยื่อที่เป็นเด็ก โดยมีเป้าหมายเพื่อให้พวกเขาได้รับการสนับสนุนตามสิทธิที่พึงมีและพึงได้รับ
ผลกระทบของความขัดแย้งต่อเด็กในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไนจีเรีย

ความขัดแย้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไนจีเรีย ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเด็กตามข้อมูลที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่ลแนลได้บันทึกไว้ในรายงาน ‘We Dried Our Tears’
กลุ่มโบโกฮารามได้ลักพาตัวเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายหลายร้อยคน และได้กระทำทารุณกรรมและกระทำการที่โหดร้ายอย่างต่อเนื่องขณะที่พวกเขาถูกควบคุมตัว กลุ่มดังกล่าวยังได้สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อชุมชนต่าง ๆ ในภูมิภาคนั้น ทั้งการปล้นสะดมหมู่บ้าน โจมตีพลเรือน รวมทั้งทำลายโรงเรียน
แทนที่จะให้การคุ้มครองเด็กที่หนีภัยจากพื้นที่ยึดครองของกลุ่มโบโกฮาราม กองทัพไนจีเรียกลับทำการควบคุมตัวเด็กเหล่านี้โดยมิชอบด้วยกฎหมายเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี และยังมีรายงานว่าพวกเขาถูกทรมานและถูกปฏิบัติอย่างโหดร้ายไร้มนุษยธรรมอีกด้วย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่ลแนลยังเปิดเผยด้วยว่า รัฐบาลไนจีเรียล้มเหลวในการรับประกันว่าเด็กพลัดถิ่นจะสามารถเข้าถึงการศึกษาที่เหมาะสมและมีคุณภาพได้
ข้อมูลเพิ่มเติม
สิทธิเด็กเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิมนุษยชน เด็กเป็นกลุ่มที่ต้องการการปกป้องคุ้มครองมากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากความสามารถของสภาวะต่างๆ ทั้งร่างกาย สติปัญญาและจิตใจที่ไม่เท่ากับผู้ใหญ่ จึงต้องได้รับการคุ้มครองเป็นกรณีพิเศษเพื่อให้มีพัฒนาการและการเจริญเติบโตเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าต่อสังคม ประชาคมระหว่างประเทศเห็นความสำคัญในการปกป้องคุ้มครองสิทธิเด็กเป็นอย่างยิ่ง ส่งผลให้เกิดปฏิญญาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ดังนี้
- ปฏิญญาว่าด้วยสิทธิเด็กหรือที่เรียกว่าปฏิญญาเจนีวา (The Declaration of Geneva 1924) ซึ่งองค์การสันนิบาติชาติ (League of Nations) ได้ประกาศไว้ในปี 2467
- เมื่อมีการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ (United Nation) ได้มีการประกาศปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (The Universal Declaration of Human Rights 1948)
- องค์การสหประชาชาติได้พัฒนาและประกาศปฏิญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (The United Nation Declaration on the Rights of the Child, 1959) ในปี 2502 แต่ไม่มีผลผูกพันเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ
- ในปี 2532 สหประชาชาติได้พัฒนาการคุ้มครองเด็กให้เป็นกฎหมายระหว่างประเทศในรูปของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child, 1989)
- และในปี 2533 องค์การสหประชาชาติได้จัดทำตราสารทางกฎหมายระหว่างประเทศอีกสองฉบับ คือ พิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเรื่องความเกี่ยวพันของเด็กในความขัดแย้งกันด้วยกำลังอาวุธ (Optional Protocol on the Involvement of Children in Armed Conflict) และ พิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเรื่องการค้าเด็ก การค้าประเวณีเด็กและสื่อลามกที่เกี่ยวกับเด็ก (Optional Protocol on the Sale of Children, Child Prostitution and Child Pornography)
- และในเดือนธันวาคมปี 2554 มีการตกลงรับพิธีสารฉบับที่ 3 คือ พิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเรื่องกระบวนการติดต่อร้องเรียน (Optional Protocol to the Convention on the Rights of the Child on a Communications Procedure) และเปิดให้ลงนามเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 จนมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 2557
สหประชาชาติได้ประกาศในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนว่า เด็กมีสิทธิที่จะได้รับการดูและและการช่วยเหลือเป็นพิเศษ และเพื่อให้เด็กสามารถพัฒนาบุคลิกภาพได้อย่างกลมกลืนและเต็มที่ เด็กควรเติบโตในสิ่งแวดล้อมของครอบครัว ในบรรยากาศแห่งความผาสุก ความรักและความเข้าใจ อีกทั้งควรเตรียมให้เด็กพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะดำรงชีวิตเป็นของตัวเองในสังคม และควรเลี้ยงดูเด็กตามเจตนารมณ์แห่งอุดมคติที่ประกาศไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ โดยเฉพาะตามเจตนารมณ์แห่งสันติภาพ ศักดิ์ศรี เสรีภาพ ความเสมอภาคและความเป็นเอกภาพ
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ: ข้อเท็จจริงสำคัญ
- อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเป็นสนธิสัญญาที่มีการให้สัตยาบันรับรองมากสุดในโลก
- ประเทศที่ให้สัตยาบันรับรอง: รัฐภาคีสหประชาชาติ 196 ประเทศจาก 197 ประเทศ
- ประเทศที่ยังไม่ให้สัตยาบันรับรอง: สหรัฐอเมริกา
- หลักการทั่วไปสี่ประการที่เป็นพื้นฐานของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ได้แก่:
- สิทธิที่จะมีชีวิต การอยู่รอด และการพัฒนา
- การไม่เลือกปฏิบัติ
- สิทธิที่จะมีผู้รับฟังความเห็น
- ประโยชน์สูงสุดสำหรับเด็ก
- พิธีสารเลือกรับสามฉบับของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ได้แก่
- พิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเรื่องความเกี่ยวพันของเด็กในความขัดแย้งกันด้วยกำลังอาวุธ
- พิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเรื่องการค้าเด็ก การค้าประเวณีเด็กและสื่อลามกที่เกี่ยวกับเด็ก
- พิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเรื่องกระบวนการติดต่อร้องเรียน
ในปัจจุบันถือว่าอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กและพิธีสารเลือกรับทั้งสามฉบับเป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่มีผลสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิเด็ก ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กมีหลักการสำคัญอยู่ 2 ประการ
- สิทธิเด็กนั้นไม่ใช่เรื่องที่รัฐหรือใครให้กับเด็ก แต่เป็นสิทธิของเด็กทุกคนที่มีติดตัวมาแต่กำเนิด ซึ่งอนุสัญญาใช้คำว่า “สิทธิติดตัว” (inherent rights) ดังนั้นเด็กจึงเป็นผู้มีสิทธิที่ไม่มีผู้ใดสามารถไปตัดทอนหรือจำกัดการใช้สิทธิอันชอบธรรมหรือละเมิดสิทธิของเด็กได้
- ในการดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวกับเด็ก จะต้องคำนึงถึงสิทธิเด็กและสำคัญที่สุดคือต้องยึดถือหลักผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก (the best interest of the child)
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กทุกคนในโลกโดยได้กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำ (ประเทศอาจจะกำหนดสิทธิและการคุ้มครองสูงกว่าที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาฯ นี้ได้ แต่จะต่ำกว่าที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาฯ ไม่ได้) อนุสัญญาฯ ฉบับนี้ได้กำหนดว่ารัฐภาคีต้องเคารพและคุ้มครองสิทธิเด็กทุกคนที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของตน ไม่ว่าจะเป็นคนสัญชาติของประเทศนั้นหรือไม่ และต้องไม่ถูกเลือกปฏิบัติในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง ต้นกำเนิดทางชาติพันธุ์หรือสังคม ทรัพย์สิน ความทุพพลภาพ การเกิดหรือสถานะอื่นๆ ของเด็ก หรือบิดามารดา หรือผู้ปกครองของเด็ก
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก กำหนดพันธกรณีให้รัฐภาคีหรือประเทศสมาชิกต้องคุ้มครองสิทธิเด็กโดยแยกเป็นประเภทใหญ่ๆ 4 ประเภท
- สิทธิที่จะชีวิตและการอยู่รอด: อนุสัญญาฯ กำหนดว่ารัฐภาคีต้องรับรองว่าเด็กทุกคนมีสิทธิติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดในสิทธิที่จะมีชีวิตและต้องประกันอย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้ให้เด็กสามารถอยู่รอด ปลอดภัยและมีการพัฒนา เด็กมีสิทธิที่จะได้รับการเลี้ยงดูไม่ว่าโดยบิดา มารดา ญาติพี่น้องหรือรัฐ เพื่อให้อยู่รอดและเจริญเติบโต มีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดีเพียงพอ ซึ่งหากครอบครัวไม่สามารถจะดำเนินการได้ตามมาตรฐานขั้นต่ำได้ รัฐต้องเข้าไปให้ความช่วยเหลือ
- สิทธิในการได้รับการปกป้องคุ้มครอง: เด็กมีสิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครองในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการคุ้มครองจากการถูกทำร้ายร่างกาย จิตใจ รวมถึงการล่วงละเมิดทางเพศหรือการแสวงหาประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ จากเด็ก
- สิทธิในการพัฒนา: อนุสัญญาฯ เน้นการเลี้ยงดูเด็กโดยบิดามารดาหรือในบางกรณีโดยรัฐ ซึ่งเด็กมีสิทธิที่จะมีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่เหมาะสมพัฒนาการของเด็กทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ศีลธรรมและทางสังคม อีกทั้งยังเน้นย้ำว่าเด็กมีสิทธิที่จะได้รับการศึกษาที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้เด็กได้พัฒนาบุคลิกภาพ ความสามารถพิเศษ รวมถึงความสามารถทางร่างกายและจิตใจให้เต็มศักยภาพของเด็กแต่ละคน
- สิทธิในการมีส่วนร่วม: อนุสัญญาฯ เน้นถึงสิทธิในการแสดงความคิดเห็นของเด็กโดยเสรีในทุกเรื่องที่มีผลกระทบต่อเด็ก รวมถึงอิสระในการแสวงหา ได้รับหรือส่งต่อข้อมูลและความคิดในทุกรูปแบบและในสื่อทุกประเภท เด็กมีสิทธิที่จะมีเสรีภาพทางความคิด มโนธรรมและศาสนา สิทธิในการมีส่วนร่วมนี้หมายรวมถึงสิทธิของเด็กในการชุมนุมและการสมาคมโดยสงบ
สิทธิในการมีส่วนร่วมของเด็กตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กตามข้อที่ 13 ได้ระบุไว้ว่า “เด็กมีสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก สิทธินี้จะรวมถึงเสรีภาพที่จะแสวงหา ได้รับหรือส่งต่อข้อมูลและความคิดในทุกรูปแบบ โดยไม่จำกัดเขตแดน ไม่ว่าจะโดยวาจา ลายลักษณ์อักษร หรือการตีพิมพ์ในรูปศิลปะหรือผ่านสื่อใดๆ ตามที่เด็กเลือก”
เพื่อเป็นการลดจุดอ่อนของเด็กที่ขาดอิทธิพลในกระบวนการตัดสินใจ ข้อที่ 12 ในอนุสัญญาฯ จึงระบุไว้ว่า “รัฐภาคีจะประกันแก่เด็กให้สามารถมีความคิดเห็นเป็นของตนเองโดยเสรีในทุกๆ เรื่องที่มีผลกระทบต่อเด็ก ทั้งนี้ ความคิดเห็นดังกล่าวของเด็กจะต้องได้รับการรับฟังตามสมควรแก่อายุและวุฒิภาวะของเด็กนั้น” (ข้อที่ 12 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ได้ถูกปรับใช้ให้เป็นส่วนหนึ่งของข้อที่ 7 ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ) และในข้อที่ 14 ของอนุสัญญาฯ ระบุอีกไว้ว่า “รัฐภาคีจะต้องเคารพต่อสิทธิเด็กที่จะมีเสรีภาพทางความคิด มโนธรรมและศาสนา” และตามข้อที่ 15 ของอนุสัญญาฯ ระบุไว้ว่า “รัฐภาคีต้องยอมรับสิทธิของเด็กที่จะมีเสรีภาพในการสมาคมและเสรีภาพในการชุมนุมอย่างสงบ ไม่อาจมีการจำกัดสิทธิเหล่านี้ นอกเหนือจากข้อจำกัดที่กำหนดขึ้นโดยสอดคล้องกับกฎหมายและที่จำเป็นสำหรับสังคมประชาธิปไตย เพื่อประโยชน์ของความมั่นคงแห่งชาติหรือความปลอดภัยของประชาชน ความสงบเรียบร้อย การคุ้มครองด้านสาธารณสุขหรือศีลธรรม หรือการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น”
กฎหมายไทยที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเด็ก
มาตรา 4 ในพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ได้นิยามคำว่า “เด็ก” หมายความว่า บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีบริบูรณ์ แต่ไม่รวมถึงผู้ที่บรรลุนิติภาวะด้วยการสมรส ซึ่งสอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) ที่นิยามคำว่า “เด็ก” หมายถึง มนุษย์ทุกคนที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปี เว้นแต่จะบรรลุนิติภาวะก่อนหน้านั้น ตามกฎหมายที่บังคับแก่เด็กนั้น เช่น ในกรณีของประเทศไทย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 ว่าด้วยบุคคล มาตรา 19 กำหนดว่า บุคคลจะบรรลุนิติภาวะเมื่อมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ แต่หากบุคคลนั้นได้ทำการสมรสก่อนอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ตามมาตรา 20 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บุคคลนั้นเป็นผู้บรรลุนิติภาวะตามกฎหมาย (ผู้เยาว์ย่อมบรรลุนิติภาวะเมื่อทำการสมรส หากการสมรสนั้นได้ทำบทบัญญัติมาตรา 1448)
อีกทั้งมาตรา 22 วรรค 1 แห่พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 บัญญัติไว้ว่า ”การปฏิบัติต่อเด็กไม่ว่ากรณีใด ให้คำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญและไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม” ซึ่งสอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่กล่าวถึงการดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็กจะต้องคำนึงถึงสิทธิเด็ก สำคัญที่สุดคือต้องยึดถือหลักผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก (the best interest of the child) เพราะเป็นการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการคุ้มครองเด็กที่รัฐภาคีต้องยกมาตรฐานของตนเองขึ้นให้เทียบเท่าหรือสูงกว่ากับที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาฯ และประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีสมาชิกอนุสัญญาฯ นี้เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2535 และมีผลบังคับใช้กับประเทศไทยในฐานะที่เป็นกฎหมายระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2535
ดังนั้นตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก รวมถึงกฎหมายไทยที่ได้กล่าวไปข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าเด็กมีสิทธิต่างๆ รวมถึงสิทธิในการแสดงออกหรือแสดงความคิดเห็น ที่ต้องได้รับการรับฟังอย่างสมเหตุสมผล และการสมาคมหรือการชุมนุมอย่างสงบของเด็กที่เท่าเทียมกับผู้ใหญ่และสามารถใช้เสรีภาพของตนโดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเด็กมีความเปราะบางและมีความเสี่ยงเฉพาะมากกว่าผู้ใหญ่ จึงเป็นหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่ในการปกป้องเด็กจากการถูกทำร้ายหรือถูกคุกคามจากการใช้สิทธิในการมีส่วนร่วม เช่น เสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพในการชุมนุมและการสมาคมโดยสงบ
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องรัฐบาลไทยในประเด็นเรื่องสิทธิเด็กให้
- รัฐต้องประกันว่าเด็กสามารถใช้สิทธิในเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบ โดยปราศจากการแทรกแซงหรือมีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดอันตราย
- รัฐควรสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเอื้ออำนวย เพื่อส่งเสริมให้เด็กสามารถใช้สิทธิในเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบและเสรีภาพในการแสดงออก โดปราศจากการข่มขู่ คุกคามหรือดำเนินคดี
- รัฐควรดำเนินการฝึกอบรมการบังคับใช้กฎหมายและหลักการที่สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรฐานตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child – CRC) รวมถึงการวางแผนล่วงหน้าสำหรับการรับมือกับการที่เด็กเข้าร่วมการชุมนุม และการฝึกอบรมเกี่ยวกับวิธีการจัดการเมื่อมีเด็กอยู่ในพื้นที่การชุมนุม ทั้งการปกป้องคนที่มีความเสี่ยงและจำกัดการใช้กำลังกับพวกเขา
- เหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่เกิดความรุนแรงจากการกระทำที่ไม่เหมาะสมอื่นๆ ของตำรวจต่อเด็ก จะต้องได้รับการสอบสวนอย่างมีประสิทธิผล และให้ผู้กระทำผิดต้องถูกดำเนินคดีอย่างเป็นธรรม และเหยื่อต้องสามารถเข้าถึงการเยียวยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ