เขียน เปลี่ยน โลก (Write for Rights)

พลังจากปลายปากกา คนธรรมดา (ก็) สร้างความเปลี่ยนแปลงได้

ถ้อยคำหรือข้อความจากคุณสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคนคนหนึ่งได้ นี่คือจุดเริ่มต้น ของ “Write For Rights” แคมเปญเพื่อการ “เขียน เปลี่ยน โลก” ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลในประเทศต่างๆ ปัจจุบันทั่วโลกยังมีคนที่กำลังถูกคุกคามเสรีภาพ การลิดรอนเสรีภาพ ไม่ได้หมายถึงแค่การถูกคุมขังเสมอไป แต่อาจหมายถึงการลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก เพราะว่ารัฐบาลไม่ต้องการให้ประชาชนออกมาพูดพาดพิงถึงความ อยุติธรรมที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจหมายถึงการที่ชุมชนถูกบังคับให้ออกจากถิ่นฐานของบรรพบุรุษ การเลือกปฏิบัติในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศสภาพ ศาสนา และเพศวิถี และเพราะว่าโลกใบนี้มีความอยุติธรรมเกิดขึ้นมากมาย ที่สามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้แคมเปญ “เขียน เปลี่ยน โลก” สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง

“Write for Rights” คือแคมเปญจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเชิญชวนผู้สนับสนุนจากทั่วโลกเขียนจดหมายหลายล้านฉบับให้กับผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือครอบครัวโดยตรง เพื่อให้พวกเขารับรู้ว่าไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง นอกจากการส่งข้อความเพื่อให้กำลังใจผู้ถูกละเมิดสิทธิแล้ว ผู้คนยังเขียนจดหมายถึงผู้มีอำนาจ เรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ให้ยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนและนำความยุติธรรมมาสู่ผู้ได้รับผลกระทบ การรณรงค์ของแอมเนสตี้เป็นการสื่อข้อความไปทั่วโลกว่า ประชาชนพร้อมจะยืนหยัดต่อสู้กับการใช้อำนาจอย่างมิชอบไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ใดก็ตาม

 

ในเดือนธันวาคมของทุกปี ผู้คนหลายแสนคนทั่วโลกร่วมกันเขียนจดหมายมากมายเพื่อผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน จดหมายหลายฉบับถูกส่งถึงผู้ถูกละเมิดสิทธิโดยตรง ขณะที่จดหมายอีกจำนวนมากก็ถูกส่งไปยังรัฐบาลของประเทศที่เกี่ยวข้องนั้นๆจดหมายเพียงฉบับเดียวที่ถูกส่งถึงผู้มีอำนาจอาจไม่ได้รับความสนใจ แต่หากมีจดหมายนับหมื่นนับแสนฉบับที่เรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสิทธิมนุษยชนนั้นก็ยากที่จะมองข้ามได้ การรณรงค์กว่า 60 ปีที่ผ่านมาของแอมเนสตี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการเขียนเปลี่ยนชีวิตคนได้จริงๆ

 

 

ความสำเร็จที่ผ่านมา...เสียงของคุณช่วยพวกเขาได้อย่างไร?

ลำพังเสียงของคุณคนเดียวอาจสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ไม่มากนัก แต่ Write for Rights พิสูจน์แล้วว่าเมื่อเสียงของคนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลกมารวมกัน รัฐบาล ประเทศต่างๆ จะไม่สามารถเพิกเฉยต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้อีกต่อไป ส่วนผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิเองก็จะมีความหวังในการต่อสู้มาก ขึ้นจนได้รับความยุติธรรมในที่สุด ข้อความต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จที่ผู้สนับสนุนแอมเนสตี้ ประเทศไทยมีส่วนในการรณรงค์ช่วยเหลือผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ยอม บุปผา นักต่อสู้เพื่อสิทธิในที่อยู่อาศัยชาวกัมพูชา

“ขอบคุณผู้บรรดาผู้สนับสนุนแอมเนสตี้ทุกคน การรณรงค์ของพวกคุณประสบความสำเร็จจนทำให้ฉันได้รับการปล่อยตัวเรามาถึงจุดนี้ได้ เมื่อทุกคนร่วมมือกัน”

ได้รับการปล่อยตัวปลายปี 2556 เธอถูกจับกุมหลังเข้าร่วมการประท้วงต่อต้านการบังคับไล่รื้อชุมชนแล้วถูกยัดข้อหาเท็จ  ถึงแม้ข้อหานั้นจะยังคงอยู่แต่ตอนนี้เธอได้รับการปล่อยตัวกลับบ้าน

เจเรมี คอร์ คนขับรถบรรทุกชาวฟิลิปปินส์

"จดหมายจากคุณทำให้ผมและภรรยาเข้มแข็งขึ้น ทำให้เรารู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้เราไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง แต่ยังมีคนอีกจำนวนมากเรียกร้องความยุติธรรมให้เรา”

ได้รับการปล่อยตัวเมื่อปี 2559 หลังติดคุกนานกว่า 4 ปี จากการถูกตำรวจทรมานให้รับสารภาพในคดีฆาตกรรมที่เขาไม่ได้ก่อ หลังถูกกดดันจากทั่วโลก ทางการฟิลิปปินส์สืบสวนคดีอีกครั้ง สุดท้ายตำรวจที่ทรมานเขาถูกตัดสินจำคุก

เยซีเนีย อาร์เมนตา ผู้หญิงธรรมดาและคุณแม่ลูกสองชาวเม็กซิกัน

“เมื่อฉันได้รับจดหมายมีข้อความว่า  ‘ฉันไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง’ มันทำให้ฉันรู้สึกดีมากๆ  น่าตื่นเต้นที่รู้ว่ามีคนสนใจในสิทธิของคนอื่นอยู่ แม้พวกเขาจะไม่ได้รู้จักฉันเลยด้วยซ้ำ”

ได้รับการยกฟ้องและปล่อยตัวเมื่อปี 2559 หลังถูกตำรวจนอกเครื่องแบบลักพาตัว ทรมานและข่มขืนรวมกว่า 15 ชั่วโมง เพื่อบังคับให้เธอสารภาพว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุฆาตกรรมสามี 

เชลซี แมนนิง ฮีโร่ผู้เปิดโปงข้อมูลหลักฐานการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกองทัพสหรัฐฯ

“ฉันอยากจะมีเวลาที่จะขอบคุณแต่ละคนที่ส่งข้อความถึงฉัน จดหมายและโปสการ์ดแต่ละฉบับทำให้ฉันมีความสุข”

ได้รับอิสรภาพเมื่อปี 2560 หลังติดคุกมานานเจ็ดปีจากโทษทั้งหมด 35 ปีในข้อหาเปิดเผยความลับทางราชการหนึ่งในนั้นคือวิดีโอบันทึกเหตุการณ์ที่ทหารสหรัฐฯกำลังกราดยิงพลเรือนที่ไม่มีอาวุธในตะวันออกกลาง

เพียว เพียว อ่อง หนึ่งในผู้นำสหภาพนักศึกษาเมียนมา

“จดหมายของพวกคุณไม่ใช่เพียงแค่จดหมาย แต่เป็นของขวัญและพลังใจอันยิ่งใหญ่สำหรับทั้งนักศึกษาและอนาคตของเมียนมา...ฉันเริ่มตระหนักแล้วว่า โลกกำลังเฝ้ามองและให้กำลังใจพวกเรา นั่นทำให้พวกเราไม่ได้โดดเดี่ยว”

ได้รับการยกฟ้องและปล่อยตัวเมื่อปี 2559 หลังถูกจับพร้อมเพื่อนนักศึกษาอีกกว่า 100 คน จากการออกมาประท้วงต่อต้านพ.ร.บ.การศึกษาฉบับใหม่ที่มีเนื้อหากดขี่เสรีภาพทางวิชาการ 

ทีโอโดร่า วาสเกต หญิงชาวเอลซัลวาดอร์

“การสนับสนุนของผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกคือพลังอันยิ่งใหญ่มากสำหรับผู้หญิงอย่างฉัน   ทุกๆ ลายเซ็นจากการเรียกร้องให้ปล่อยตัวฉัน ทำให้ชีวิตของฉันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้ฉันเป็นอิสระแล้ว มันไม่ใช่แค่ฝันแต่มันเป็นความจริง”

ได้รับการปล่อยตัวเมื่อปี  2561 หลังถูกศาลสั่งจำคุก 30 ปี ในข้อหาทำแท้งผิดกฎหมาย ทั้งที่จริงแล้วเธอแค่มีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรงและเลือดออกแค่นั้น โดยมีผู้คนมากมายจากทั่วโลกร่วมลงชื่อเพื่อเรียกร้องและขอให้ปล่อยตัวเธอ

มาฮาดีน นักกิจกรรมออนไลน์ชาวชาด

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในการรณรงค์ Write for Rights และเป็นเกียรติที่ได้รู้จักคนอย่างพวกคุณ คนที่ไม่เห็นด้วยกับความอยุติธรรมจากผู้มีอำนาจ คุณได้นำความสุขมาสู่ใจของผม ขอบคุณครับ”

ได้รับการปล่อยตัวเมื่อปี 2561 หลังถูกจำคุกนานกว่า 18 เดือน ในข้อหาทำลายความมั่นคงและแบ่งแยกดินแดน เดิมศาลตัดสินลงโทษจำคุกตลอดชีวิตจากการที่เขาโพสต์วิดีโอวิจารณ์รัฐบาลช่วงปลายปี 2559 เกี่ยวกับการบริหารงบประมาณที่ผิดพลาดและอาจนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจ

อีดิล เอสเซอร์ ผู้อำนวยการของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศตุรกี

“ฉันอยากขอขอบคุณทุกท่านในนามของกลุ่มอีสตันบูล 10 สำหรับความพยายามในการเรียกร้องให้ปล่อยตัวพวกเรา ฉันรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งจากใจจริง ถ้าหากไม่ใช่เพราะความพยายามของพวกคุณ พวกเราก็คงไม่ได้มายืนอยู่ในวันนี้”

ได้รับการปล่อยตัวเมื่อปี 2561 หลังถูกคุมขังนาน 6 เดือนพร้อมกับนักกิจกรรมอีก 9 คน ที่รู้จักกันในนาม “อีสตันบูล 10” โดยไม่มีการระบุข้อหา และไม่มีการระบุสาเหตุที่ชัดเจนว่าทำไมพวกเขาถึงถูกจับ ซึ่งได้มีผู้คนมากมายทำการเรียกร้องให้ปล่อยตัวพวกเขา

ซูนาร์ นักวาดการ์ตูนชาวมาเลเซีย

"ผมเป็นนักวาดการ์ตูน ผมจึงวาดการ์ตูน แต่หากคุณสามารถเขียน พูดในที่สาธารณะ วาดภาพ ร้องเพลง คุณก็แสดงออกทางความคิดได้อย่างเสรีเช่นกัน เราแค่ต้องพยายามทำสิ่งที่เราทำได้ต่อไป"

ปี 2561 ทางการมาเลเซียได้ยกเลิกข้อกล่าวหา "ซูนาร์" นักวาดการ์ตูนชื่อดังในทุกกรณี จากการที่เขาทวีตวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล โดยทางการตั้งข้อหาโดยใช้ "กฎหมายการยุยงปลุกปั่น" (the Sedition Act of 1948) ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นกฎหมายที่ถูกใช้เพื่อจำกัดเสรีภาพการแสดงออกบนโลกออนไลน์

มาเมาด์ อาบู ซิด หรือชอว์คาน ช่างภาพข่าวชาวอียิปต์

“ผมขอขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ทำให้ผม ผมรู้สึกโชคดีมากที่มีคนแบบพวกคุณอยู่บนโลกนี้ และรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีพวกคุณเป็นเสมือนเพื่อนของผม”

ได้รับการปล่อยตัวเมื่อ 2562 หลังถูกจำคุกนานกว่า 5 ปีครึ่งด้วยข้อหาที่ถูกกุขึ้น เขาถูกจับในขณะกำลังทำข่าวการประท้วงเมื่อกองกำลังอียิปต์บุกเข้ามาสังหารผู้ชุมนุมราว 800 ถึง 1,000 คนอย่างเลือดเย็น ที่เรียกว่า “การสังหารหมู่ที่ราบา”

ฮาคีม อัล อาไรบี ผู้ลี้ภัยของออสเตรเลียและนักฟุตบอลเชื้อสายบาห์เรน

“ผมมีความสุขมากที่ได้สิทธิความเป็นพลเมืองในวันนี้ ผมรู้สึกปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครในโลกที่จะติดตามตัวผมอย่างที่บาห์เรนทำได้อีกแล้ว ตอนนี้ผมคือชาวออสเตรเลีย และอยู่ในประเทศที่ปลอดภัย”

ได้รับการปล่อยตัวหลังถูกทางการไทยควบคุมตัวนานกว่า 2 เดือนตาม “หมายแดง” ของตำรวจสากล ที่รัฐบาลบาร์เรนร้องขอในคดีทำลายทรัพย์สินสถานีตำรวจช่วงอาหรับสปริง เมื่อได้รับการปล่อยตัวเขาเดินทางถึงออสเตรเลียในวันถัดมา หลังจากนั้นหนึ่งเดือนเขาก็ได้รับสัญชาติออสเตรเลีย

กัลซาร์ ดูเชโนวา นักปกป้องสิทธิมนุษยชนหญิงชาวคีร์กีซสถานผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิของคนพิการ

เมื่อสิบปีก่อนฉันไม่มีความฝันเลย และตอนนี้ฉันก็ได้สูญเสียเป้าหมายไปจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว ฉันอยากให้ชาวคีร์กิซสถานทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว ได้ใช้ชีวิตที่มีสีสันและได้ฝันถึงอนาคตของตัวเอง”

เมื่อปี 2561 ผู้สนับสนุนแอมเนสตี้ได้ร่วมส่งกันเรียกร้องไปยังรัฐบาลคีร์กีซสถาน ในปี 2562 รัฐสภาได้ให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของคนพิการ เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาการเลือกปฏิบัติ และสนับสนุนการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ การเข้าถึงอาคาร การมีงานทำ และการเดินทางแล้ว

เครดิตภาพวาด art_nonz