© กันต์ แสงทอง

นโยบายเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ภาพรวม

จากท้องถนนที่กรุงมินนีแอโพลิส จนถึงชุมชนแออัดในรีโอเดจาเนโร การใช้กำลังอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายของตำรวจอาจส่งผลให้เกิดการเสียชีวิต บาดเจ็บ และสร้างความเสียหาย

ดังที่เราได้เห็นในหลายต่อหลายครั้ง ในสหรัฐฯ และที่อื่น ๆ ในบางครั้ง ตำรวจสังหารหรือทำให้บุคคลได้รับบาดเจ็บระหว่างการจับกุมอันมีสาเกตุมาจากการเหยียดเชื้อชาติ 

ในหลายกรณี ตำรวจเร่งรีบที่จะใช้ความรุนแรง เพื่อตอบโต้การประท้วงหรือการชุมนุม ตลอดทั้งปี 2562 และ 2563 ตำรวจฮ่องกงใช้อาวุธหลายต่อหลายครั้ง รวมทั้งแก๊สน้ำตาและกระสุนยางอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อผู้ประท้วง

บ่อยครั้งที่เจ้าหน้าที่สังหารหรือทำให้บุคคลได้รับบาดเจ็บ หลังการใช้กำลังอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยที่พวกเขาไม่ได้ถูกดำเนินคดีแต่อย่างใด 

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมท่านจึงต้องตระหนักถึงสิทธิของตนเอง และต้องรู้ว่าตำรวจมีสิทธิทำหรือไม่สามารถทำสิ่งใดได้บ้าง 

เราต้องประกันให้ตำรวจยุติการใช้กำลังอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเจ้าหน้าที่ที่สังหารบุคคลอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ อีกต่อไป 

 

ความทารุณของตำรวจ คืออะไร?

 

คำว่า “ความทารุณของตำรวจ” ในบางครั้งได้ถูกใช้เมื่อพูดถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนนานัปการของตำรวจ อาจรวมถึงการทุบตี การปฏิบัติมิชอบด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติ การสังหารอย่างมิชอบด้วยกฎหมาย การทรมาน หรือการใช้ตำรวจปราบจลาจลเข้าจัดการกับการประท้วงอย่างไม่เลือกเป้าหมาย

เหตุใดความทารุณของตำรวจจึงเป็นปัญหาสิทธิมนุษยชน?


ในกรณีที่เลวร้ายสุด การใช้กำลังอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายของตำรวจ อาจส่งผลให้บุคคลถูกละเมิดสิทธิการมีชีวิตรอด กรณีที่เป็นการใช้กำลังของตำรวจที่ไม่จำเป็นหรือเกินขอบเขต อาจรุนแรงถึงขั้นเป็นการทรมานหรือการปฏิบัติที่โหดร้าย

การใช้กำลังอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายของตำรวจ ยังอาจละเมิดสิทธิที่จะไม่ถูกเลือกปฏิบัติ สิทธิที่จะมีอิสรภาพและความมั่นคง และสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองอย่างเท่าเทียมภายใต้กฎหมาย

 

ตำรวจมีสิทธิสังหารประชาชนหรือไม่?

การใช้กำลังของตำรวจ โดยเฉพาะการใช้กำลังถึงขั้นเสียชีวิต อยู่ภายใต้การควบคุมกำกับอย่างเข้มงวดของกฎหมายและมาตรฐานระหว่างประเทศ 

หลักการพื้นฐานขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยการใช้กำลังและอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย (UN Basic Principles on the Use of Force and Firearms by Law Enforcement Officials - BPUFF) เป็นกฎบัตรสากลที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการใช้กำลังของตรวจ

 

สิ่งที่ต้องจดจำก็คือ หน่วยงานของรัฐรวมทั้งตำรวจ มีภารกิจสำคัญอย่างยิ่งยวด ที่จะต้องเคารพและคุ้มครองสิทธิการมีชีวิตรอด

ตามกฎหมายระหว่างประเทศ ตำรวจควรใช้กำลังถึงขั้นเสียชีวิตเป็นแนวทางสุดท้ายเท่านั้น หมายถึงว่าให้ใช้ได้เฉพาะเท่าที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันตนเองหรือบุคคลอื่นจากภัยคุกคามเฉพาะหน้าถึงขั้นเสียชีวิต หรือได้รับบาดเจ็บสาหัส และให้ใช้ได้เฉพาะเมื่อทางเลือกอื่นที่จะลดความรุนแรงไม่ได้ผลมากเพียงพอ

การสังหารบุคคลของตำรวจในหลายกรณีที่เราได้เห็นทั่วโลก ไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์เหล่านี้อย่างชัดเจน

ในสหรัฐฯ จอร์จ ฟลอยด์, ไมเคิล บราวน์, บรีโอนา เทเลอร์, เอริค การ์เนอร์ และคนดำอีกจำนวนมากถูกตำรวจสังหารขณะที่ไม่มีอาวุธในมือ 

ในระหว่างการชุมนุมประท้วงที่อิหร่านเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ตำรวจได้ยิงปืนและสังหารผู้ประท้วงหลายร้อยคน ซึ่งไม่ได้มีพฤติการณ์ใด ๆ ที่อาจเป็นอันตราย รวมทั้งผู้ประท้วงที่เป็นเด็กอย่างน้อย 23 คน 

และในฟิลิปปินส์ ประจักษ์พยานบอกว่า ได้เห็นตำรวจยิงปืนใส่คนจน ซึ่งต้องสงสัยว่าขายยาเสพติด ระหว่างที่พวกเขาหมอบกราบเพื่อขอชีวิต

กฎหมายระดับประเทศพูดเรื่องนี้อย่างไร?


รัฐบาลทุกประเทศต่างมีหน้าที่นำเนื้อหาจากกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ มาผนวกเข้ากับกฎหมายในประเทศของตน แต่หลายประเทศไม่ได้ทำหน้าที่นี้อย่างดีพอ

ยกตัวอย่างเช่น พระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กำลังฉบับใหม่ของเม็กซิโก ไม่ได้จำกัดให้ใช้กำลังถึงขั้นเสียชีวิต เฉพาะกรณีที่จำเป็นเพื่อคุ้มครองชีวิตของบุคคลอื่น โดยไม่ได้กำหนดระดับการใช้กำลังขั้นต่ำของเจ้าหน้าที่เพื่อแก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ

ในสหรัฐฯ เก้ารัฐไม่มีกฎหมายควบคุมการใช้กำลังถึงขั้นเสียชีวิตของเจ้าพนักงานผู้บังคับใช้กฎหมายแต่อย่างใด

ประเทศต่าง ๆ มักปิดกั้นโอกาสในการขอความเยียวยาผ่านระบบยุติธรรมในประเทศ ส่งผลให้ผู้เสียหายต้องฟ้องคดีกับอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ เพื่อเรียกร้องความจริง ความยุติธรรม และการเยียวยาชดใช้

 

ในปี 2554 แอมเนสตี้แสดงความกังวลต่อการขาดความรับผิดในฝรั่งเศส เมื่อเกิดเหตุการณ์เสียชีวิตในระหว่างการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งกรณีของอาลี ซิรี, โมฮัมหมัด บูครูรัว, ลามิน เดียง, อาบู บาคารี แทนเดีย และอับเดลคาริม อาจิมี ทั้งหมดเป็นผู้ชายเชื้อสายชาติพันธุ์กลุ่มน้อย ภายหลังมีการต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรมในฝรั่งเศส ส่งผลให้มีการนำสามคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป ซึ่งจนถึงปัจจุบัน ได้วินิจฉัยว่าตำรวจฝรั่งเศสละเมิดสิทธิการมีชีวิตรอดของอาลี ซิรี และวินิจฉัยว่าการปฏิบัติต่อโมฮัมหมัด บูครูรัว มีลักษณะเป็นการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรมและย่ำยีศักดิ์ศรี 

อะไรเป็นสาเหตุของความทารุณของตำรวจ?

ในประเทศที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากน้ำมือของตำรวจในระดับสูง มักเป็นผลมาจากองค์ประกอบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายที่ย่อหย่อน การเลือกปฏิบัติด้านเชื้อชาติหรืออื่น ๆ ความไม่มั่นคงหรือความขัดแย้ง และการลอยนวลพ้นผิดที่ฝังรากลึก

 

รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ที่มักละเมิดสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ รวมทั้งเสรีภาพด้านการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบ มักให้อำนาจตำรวจในการใช้กำลังรุนแรง เพื่อตอบโต้กับการประท้วงและการเดินขบวน ดังที่เราได้เห็นเมื่อเร็ว ๆ นี้ในอิหร่าน อิรัก ซูดาน ฮ่องกง และนิคารากัว 

 

การลอยนวลพ้นผิดภายหลังการสังหารของตำรวจ มักนำไปสู่วงจรการใช้ความรุนแรง ยกตัวอย่างเช่นในบราซิล เจ้าหน้าที่มักสังหารบุคคลที่ไม่มีพฤติการณ์คุกคาม โดยเฉพาะชายหนุ่มผิวดำ เพียงเพราะพวกเขารู้ดีว่า การสังหารบุคคลเช่นนี้มักไม่ส่งผลให้มีการสอบสวนหรือดำเนินคดีแต่อย่างใด 

มีผู้เสียชีวิตจากน้ำมือของตำรวจแล้วมากน้อยเพียงใด?

เราไม่สามารถคาดการณ์จำนวนที่แน่นอนของผู้เสียชีวิตจากตำรวจได้ เนื่องจากรัฐบาลประเทศต่าง ๆ มักไม่เก็บหรือเผยแพร่ข้อมูลเหล่านี้ 

 

จากโครงการสำรวจอาวุธขนาดเล็กพบว่า ในแต่ละปีระหว่างปี 2550 ถึง 2555 มีผู้เสียชีวิตประมาณ 19,000 คนในระหว่าง ‘การเข้าแทรกแซงตามกฎหมาย’ (การเผชิญหน้ากับตำรวจ) 

 

ข้อมูลที่มีอยู่ส่วนใหญ่มักระบุถึงบางประเทศหรือบางช่วงเวลา และมักเป็นผลมาจากการคาดการณ์ของเอ็นจีโอหรือกลุ่มสิทธิมนุษยชน  

 

ยกตัวอย่างเช่น:

 

  • ในปี 2562 ตำรวจที่รีโอเดจาเนโร บราซิล สังหารบุคคล 1,810 คนเฉลี่ยวันละห้าคน
  • ในปี 2562 ตำรวจเคนยาสังหารบุคคล 122 คน
  • ระหว่างเดือนตุลาคม 2562 ถึง มกราคม 2563 ตำรวจในอิรักสังหารผู้ประท้วงประมาณ 600 คน
  • ระหว่างปี 2558 ถึง 2561 มีผู้ถูกตำรวจยิงเสียชีวิตกว่า 500 คนที่จาเมก้า และกว่า 300 คนถูกยิงจนได้รับบาดเจ็บ 
  • ทุกปีมีผู้ถูกตำรวจสังหารประมาณ 1,000 คนในสหรัฐฯ 

 

 

 กรณีศึกษานาเกีย แจ็กสัน


ในปี 2557 นาเกีย แจ็กสัน ถูกตำรวจที่เมืองคิงส์ตัน จาเมก้า ยิงจนเสียชีวิตในที่ทำงาน ระหว่างทำงานเป็นพ่อครัว ตำรวจอยู่ระหว่างการเสาะหาผู้ต้องสงสัยว่าก่ออาชญากรรม และพบว่านาเกียมีรูปพรรณคล้ายกับผู้ต้องสงสัย แม้จะไม่มีข้อมูลอย่างอื่นที่เชื่อมโยงตัวเขากับความผิดครั้งนี้เลย นับแต่นั้นมา ครอบครัวของนาเกียและพยานในคดีนี้ ต้องเผชิญกับการข่มขู่อย่างหนักจากตำรวจ เนื่องจากพวกเขาพยายามเรียกร้องความยุติธรรม 

ความทารุณของตำรวจและการเหยียดเชื้อชาติ

กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ห้ามการเลือกปฏิบัติไม่ว่าในรูปแบบใด ๆ อย่างเคร่งครัด ห้ามไม่ให้ผู้บังคับใช้กฎหมายปฏิบัติต่อบุคคลแตกต่างกัน เพียงเพราะเชื้อชาติ เพศสภาพ รสนิยมทางเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศ ศาสนาหรือความเชื่อ ความเห็นทางการเมืองหรืออื่น ๆ ชาติพันธุ์ ความเป็นมาด้านชาติกำเนิดหรือสังคม ความพิการ หรือสถานะอื่นใด บุคคลทุกคนย่อมมีสิทธิได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย

 

แต่ถึงอย่างนั้น การเหยียดเชื้อชาติและการเลือกปฏิบัติในรูปแบบอื่น ได้ฝังรากลึกอยู่ในระบบการบังคับใช้กฎหมายและระบบยุติธรรมทั่วโลก ตั้งแต่การกำหนดบุคคลเป็นเป้าหมายโดยใช้เหตุผลด้านเชื้อชาติของเขา (racial profiling) และการเลือกตรวจบุคคลบางคนของตำรวจ ไปจนถึงการบังคับใช้กฎหมายด้านยาเสพติดอย่างเลือกปฏิบัติ และการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายอย่างกว้างขวาง

 

ในสหราชอาณาจักร แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลบันทึกข้อมูลการใช้ฐานข้อมูลที่ลำเอียงด้านเชื้อชาติที่ชื่อว่า  Gangs Matrix โดยตำรวจนครบาลที่กรุงลอนดอน เพื่อเอาผิดทางอาญาและสร้างตราบาปให้กับชายหนุ่มผิวดำ ส่งผลให้มีการขึ้นบัญชีบุคคลจำนวนมากว่าเป็นสมาชิกกลุ่มอาชญากรรม โดยอ้างอิงกับเหตุผลเล็กน้อย อย่างเช่น เพลงที่พวกเขาชอบฟัง หรือวีดิโอที่พวกเขาดูทางออนไลน์ 

 

เมื่อบุคคลถูกขึ้นบัญชีอยู่ในฐานข้อมูลแก๊งเมทริกซ์แล้ว จะส่งผลให้พวกเขาตกเป็นเป้าหมายการตรวจค้นของตำรวจ ตราบาปของการถูกขึ้นบัญชีว่าเป็นสมาชิก “แก๊ง” ยังทำให้เกิดความยากลำบากมากขึ้นในการหางานทำ หาที่อยู่ หรือได้รับการศึกษา ในปี 2561 Information Commissioner’s Office พบว่า การใช้ฐานข้อมูลแก๊งเมทริกซ์เป็นการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูล และไม่มีการแยกแยะระหว่างผู้เสียหายและผู้ก่ออาชญากรรม และต่อมานำไปสู่การปฏิรูประบบนี้อย่างจำกัด

กรณีศึกษาฝรั่งเศส

ตามข้อมูลของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งฝรั่งเศส ชายหนุ่มที่ถูกมองว่าเป็นคนเชื้อสายแอฟริกาเหนือหรือเป็นคนดำ มีความเสี่ยงที่จะถูกเรียกเพื่อหยุดตรวจบัตรประชาชนโดยตำรวจ มากกว่าบุคคลทั่วไปถึง 20 เท่า 

ภายหลังการประกาศใช้กฎหมายในสถานการณ์ฉุกเฉินในฝรั่งเศสเมื่อปี 2558 ตำรวจได้บุกตรวจค้นอย่างเลือกปฏิบัติหลายพันครั้ง และบุกจับกุมบุคคลจากในบ้าน ส่วนใหญ่มีเป้าหมายเป็นชาวมุสลิม ตำรวจบุกเข้าไปในมัสยิด พังประตูเข้าไป และในบางครั้งยังสวมกุญแจมือหรือใช้ปืนขู่บุคคลต่าง ๆ ซึ่งหลายคนตกเป็นเป้าหมายเพียงเพราะความเชื่อด้านศาสนาของตน 

 

ในเดือนกรกฎาคม 2559 อาดามา ตรายออเร่ ชายหนุ่มผิวดำเสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัวโดยตำรวจ หลังจากที่เขาถูกจับกุมระหว่างการตรวจดูบัตรประชาชน และเขาถูกผู้บังคับใช้กฎหมายสามนายกดตัวลงกับพื้น ครอบครัวของอาดามายังคงรอความยุติธรรมให้กับเขา  

ตัวอย่างอื่น ๆ ของการเลือกปฏิบัติระหว่างการทำหน้าที่ของตำรวจ

ผู้มีความหลากหลายทางเพศทั่วโลกมักตกเป็นเหยื่อการคุกคามและการปฏิบัติมิชอบของตำรวจอย่างสม่ำเสมอ 

ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2560 ทางการที่สาธารณรัฐเชชเนียแห่งรัสเซีย ได้บุกเข้าโจมตีบุคคลหลายครั้ง เพียงเพราะพวกเขาเป็นเกย์หรือเลสเบียน ชายชาวเกย์หลายสิบคนในเชชเนียถูกอุ้มหายและถูกทรมาน หลายคนถูกสังหารในสถานที่ควบคุมตัวแบบลับ

ในสาธารณรัฐโดมินิกัน พนักงานบริการ โดยเฉพาะกะเทยที่ขายบริการ ถูกปฏิบัติอย่างมิชอบและอย่างเลวร้ายโดยตำรวจ รวมทั้งถูกข่มขืน ถูกทุบตี และเหยียดหยามให้อับอาย

การสังหารคนดำในสหรัฐฯ

ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำอายุ 46 ปี เสียชีวิตหลังจากตำรวจที่กรุงมินนีแอโพลิส รัฐมินนิโซตา เอาเข่ายันไว้ที่คอของเขาเป็นเวลาเกือบเก้านาที 

 

การสังหารอย่างโหดร้ายเช่นนี้ ส่งผลให้เกิดการประท้วงอย่างกว้างขวางทั่วสหรัฐฯ และในประเทศอื่น ๆ เพื่อเรียกร้องให้เอาผิดกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และให้มีการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบต่อการทำหน้าที่ของตำรวจโดยรวม 

ความตายของจอร์จ เกิดขึ้นภายหลังการใช้ความรุนแรงที่มีลักษณะเหยียดเชื้อชาติหลายครั้งต่อคนผิวดำ ซึ่งสะท้อนให้เห็นระดับการใช้ความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติที่ลึกซึ้ง ตำรวจในสหรัฐฯ ละเมิดสิทธิมนุษยชนบ่อยครั้งจนน่าตกใจ โดยเฉพาะการละเมิดต่อชนกลุ่มน้อยทางเชื้อชาติและชาติพันธุ์ และโดยเฉพาะต่อคนผิวดำ

ผู้ประท้วงต้องการให้มีการปฏิรูประบบยุติธรรมในสหรัฐฯ จนถึงขั้นพื้นฐาน เพื่อยุติการใช้ความรุนแรงของตำรวจจนถึงขั้นเสียชีวิต ซึ่งส่งผลกระทบต่อชุมชนคนผิวสี โดยเฉพาะชุมชนคนผิวดำทั่วประเทศ

ข้อเท็จจริง 5 ประการเกี่ยวกับการใช้กำลังของตำรวจในสหรัฐฯ

 

  • ไม่มีแม้แต่รัฐเดียวในสหรัฐฯ ที่มีกฎหมายสอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานระหว่างประเทศ เกี่ยวกับการใช้กำลังถึงขั้นเสียชีวิตของตำรวจ 
  • ในสหรัฐฯ ผู้ที่เสียชีวิตจากน้ำมือของตำรวจส่วนใหญ่ ถูกยิงด้วยอาวุธปืน 
  • ในหลายกรณี เจ้าหน้าที่ยิงบุคคลซ้ำกันหลายครั้ง แสดงให้เห็นว่าการใช้กำลังเช่นนั้นทั้งไม่จำเป็นและไม่ได้สัดส่วน ยกตัวอย่างเช่น กรณีของไมเคิล บราวน์ เขาถูกยิงหกครั้งขณะที่ไม่มีอาวุธในมือ 
  • จากการทำแผนที่ความรุนแรงของตำรวจในปี 2562 พบว่า ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการสังหารของตำรวจคิดเป็นคนผิวดำ 24% ทั้งที่สัดส่วนประชากรผิวดำในประเทศอยู่ที่เพียง 13%  
  • กฎหมายปี 2539 ให้อำนาจกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนอุปกรณ์เพิ่มเติมให้กับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ส่งผลให้ตำรวจในสหรัฐฯ สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ทางการทหาร ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ในการชุมนุมประท้วง 

 

 ยุติการปฏิบัติมิชอบของตำรวจในสหรัฐฯ

  • หน่วยงานภาคประชาสังคมได้เรียกร้องให้มีการปฏิรูปตำรวจในสหรัฐฯ มาเป็นเวลานานแล้ว ขั้นตอนที่สำคัญเช่นนี้ย่อมทำให้ทุกคนปลอดภัยมากขึ้น 
  • รัฐสภาและรัฐทั้ง 50 แห่งควรออกกฎหมายจำกัดการใช้กำลังถึงขั้นเสียชีวิตของตำรวจ
  • กระทรวงยุติธรรมควรรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลของบุคคลที่ตกเป็นเหยื่อการสังหารของตำรวจ โดยให้เผยแพร่ข้อมูลอย่างละเอียดและมีการจำแนกข้อมูลตามตัวแปรต่าง ๆ
  • ทุกกรณีที่ตำรวจใช้กำลังถึงขั้นเสียชีวิต ต้องได้รับการสอบสวนอย่างถี่ถ้วน อย่างเป็นอิสระ อย่างไม่ลำเอียง และอย่างโปร่งใส และผู้ที่พบว่ามีส่วนรับผิดชอบต้องเข้ารับการไต่สวนตามกระบวนการยุติธรรม
  • กระทรวงยุติธรรมควรจัดทำกระบวนการตรวจสอบและกำกับดูแลหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน

 
ความรับผิด

ไม่มีบุคคลใดอยู่เหนือกฎหมาย โดยเฉพาะผู้ซึ่งมีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย


ทุกกรณีที่ตำรวจใช้กำลังถึงขั้นเสียชีวิต ต้องได้รับการสอบสวนอย่างถี่ถ้วน อย่างเป็นอิสระ อย่างไม่ลำเอียง และอย่างโปร่งใส และหากมีพยานหลักฐานชี้ว่าเป็นการสังหารอย่างมิชอบด้วยกฎหมาย ตำรวจผู้รับผิดชอบควรถูกดำเนินคดีทางอาญา

แต่แอมเนสตี้เก็บข้อมูลของตำรวจซึ่งแม้จะสังหารหรือทำร้ายบุคคลอย่างมิชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็มักจะลอยนวลพ้นผิด 

มีเหตุผลมากมายหลายประการอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ ในบางกรณี ตำรวจและเจ้าหน้าที่ความมั่นคงข่มขู่ศาล พยาน หรือผู้เสียหายที่รอดชีวิต กดดันให้มีการถอนฟ้อง ในกรณีอื่น ๆ มีการออกกฎหมายเพื่อให้ภูมิคุ้มกันกับตำรวจ หรือขัดขวางกระบวนการยุติธรรม แม้ว่าพวกเขาปฏิบัติการนอกกฎหมาย ยกตัวอย่างเช่นในบราซิล 

ในฟิลิปปินส์ ประธานาธิบดีดูเตอร์เตสั่งการให้ตำรวจสังหารบุคคลทุกคนที่เชื่อว่า มีส่วนเชื่อมโยงกับแก๊งค้ายา ตอนที่เขาเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนมิถุนายน 2559 และประกาศให้ความคุ้มครองกับเจ้าหน้าที่ไม่ให้ถูกดำเนินคดี เมื่อประธานาธิบดีเป็นผู้สั่งการให้มีการสังหารและยังสัญญาจะให้ภูมิคุ้มกันกับเจ้าหน้าที่ ความรับผิดย่อมแทบจะไม่อาจเกิดขึ้นได้ 

การใช้กำลังตำรวจควบคุมการประท้วง

รัฐบาลประเทศต่าง ๆ มีพันธกรณีต้องประกันให้บุคคลทุกคน สามารถเข้าถึงสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการชุมนุมอย่างสงบ รวมทั้งการชุมนุมประท้วง


มีการกำหนดแนวปฏิบัติระหว่างประเทศที่ชัดเจนว่าตำรวจควรทำหน้าที่อย่างไรระหว่างการประท้วง
 

  • ตำรวจมีหน้าที่สนับสนุนให้เกิดการประท้วงอย่างสงบ กรณีที่เกิดความตึงเครียด พวกเขามีหน้าที่ลดความตึงเครียดเหล่านั้น
  • หากผู้ประท้วงบางคนมีพฤติการณ์รุนแรง ก็ไม่ได้หมายความว่าการประท้วงอย่างสงบครั้งนั้น จะถูกเปลี่ยนให้เป็นการชุมนุมอย่างไม่สงบ ตำรวจควรประกันว่าผู้ที่ยังประท้วงอย่างสงบ สามารถประท้วงต่อไปได้ 
  • การใช้ความรุนแรงของคนกลุ่มน้อยบางส่วน ไม่สร้างความชอบธรรมให้กับการใช้กำลังอย่างไม่เลือกปฏิบัติ
  • กรณีที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงการใช้กำลังเพื่อรักษาความปลอดภัยของบุคคลอื่น ให้ตำรวจใช้กำลังในขั้นต่ำสุดเท่าที่จำเป็น 
  • การตัดสินใจสลายการชุมนุมต้องถูกใช้เป็นมาตรการขั้นสุดท้าย กรณีที่มาตรการที่ควบคุมจำกัดน้อยกว่าใช้ไม่ได้ผลแล้ว 
  • การใช้แก๊สน้ำตาหรือการฉีดน้ำแรงดันสูงเพื่อสลายการชุมนุม สามารถใช้ได้ในกรณีที่ผู้ประท้วงสามารถออกจากสถานที่ชุมนุมได้ สามารถใช้ได้เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่มีการใช้ความรุนแรงอย่างกว้างขวาง และกรณีที่มาตรการอย่างมีเป้าหมายอย่างอื่นไม่ประสบผลสำเร็จในการควบคุมความรุนแรง 
  • ไม่ควรมีการใช้อาวุธปืนเพื่อสลายการชุมนุมไม่ว่าในกรณีใด ๆ

 

ทางออก

ทุกประเทศต่างมีกฎหมายของตนเอง และไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวที่จะประกันให้มีการใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมและปลอดภัยมากขึ้น 

แนวปฏิบัติอย่างละเอียดเกี่ยวกับการใช้กำลังของผู้บังคับใช้กฎหมายของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กำหนดอย่างชัดเจนว่า ตำรวจและเจ้าหน้าที่ความมั่นคงอื่น ๆ ทั่วโลก จะสามารถปรับปรุงกฎหมาย นโยบาย และการปฏิบัติได้อย่างไร 

โดยเรามีข้อเสนอแนะที่สำคัญบางส่วนดังนี้   

  • อำนาจของตำรวจในการเลือกใช้กำลังและอาวุธปืน ต้องถูกควบคุมกำกับอย่างเพียงพอตามกฎหมาย
  • หลักการ “คุ้มครองชีวิต” ต้องเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมาย และอนุญาตให้ใช้กำลังถึงขั้นเสียชีวิตได้ เพียงเพื่อคุ้มครองจากภัยคุกคามเฉพาะหน้า ที่อาจทำให้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น 
  • กรณีที่การใช้กำลังของตำรวจส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จะต้องมีการสอบสวนโดยพลัน อย่างถี่ถ้วน อย่างเป็นอิสระ และอย่างไม่ลำเอียง โดยผู้มีส่วนรับผิดชอบต้องเข้าสู่การไต่สวนตามกระบวนการพิจารณาที่เป็นธรรม
  • ในระหว่างการชุมนุมประท้วง ตำรวจควรปฏิบัติตามหน้าที่ของตนที่จะสนับสนุนให้เกิดการชุมนุมอย่างสงบ และไม่ควรเริ่มต้นการปฏิบัติการจากการใช้กำลัง
  • ผู้ถูกควบคุมตัวย่อมมีสิทธิเช่นเดียวกับบุคคลทุกคน กรณีที่เกี่ยวข้องกับการใช้กำลังถึงขั้นเสียชีวิต