ภาพรวม
การชุมนุมประท้วง เป็นวิธีอันล้ำค่าในการพูดความจริงต่ออำนาจ ในตลอดประวัติศาสตร์ การชุมนุมเป็นแรงผลักดันเบื้องหลังของขบวนการทางสังคมที่มีอิทธิพลที่สุด ซึ่งก็ได้เผยให้เห็นถึงความอยุติธรรมและการล่วงละเมิด เรียกร้องการตรวจสอบได้ และสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมีความหวังต่อไปในอนาคต
แต่ก็น่าเสียดายที่สิทธิอันล้ำค่าเหล่านี้อยู่ภายใต้การถูกคุกคามและจะต้องได้รับการปกป้องจากผู้ที่กลัวการเปลี่ยนแปลงและต้องการให้พวกเราแตกแยก รัฐบาลและหน่วยงานอื่นๆที่มีอำนาจกำลังหาวิธีใหม่ๆ ในการปราบปรามการชุมนุมและปิดปากเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่อง แนวโน้มทั่วโลกที่มีต่อการนำกำลังทหารเข้ามาควบคุมการชุมนุม การเพิ่มขึ้นของการใช้กำลังในทางที่ผิดโดยตำรวจที่อยู่ในการชุมนุม และการลดขนาดพื้นที่สำหรับภาคประชาสังคม ซึ่งก็เป็นการที่ยากขึ้นเพื่อที่จะรักษาความปลอดภัยในขณะที่เรากำลังทำให้เสียงของเราถูกรับฟัง
ความสามารถในการชุมนุมอย่างปลอดภัยเป็นปัญหาที่ตัดกันกับสิทธิที่จะปราศจากการเลือกปฏิบัติ ผู้ที่เผชิญกับความไม่เท่าเทียมและการเลือกปฏิบัติ ตามอายุ เชื้อชาติ อัตลักษณ์ทางเพศ และปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย ต้องเผชิญกับอันตรายที่มากขึ้นต่อสิทธิในการชุมนุม มันเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนสามารถชุมนุมได้อย่างปลอดภัยและปราศจากการเลือกปฏิบัติ
ในแคมเปญหลัก Protect the Protest (ปกป้องสิทธิในการชุมนุมประท้วง) แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกำลังทำงานเพื่อที่จะเปิดเผยเมื่อสิทธิในการชุมนุมประท้วงที่ถูกละเมิดและสนับสนุนการเคลื่อนไหวทั่วโลก ในขณะที่พวกเขามุ่งมั่นเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก การรณรงค์นี้ก็ได้เรียกร้องให้รัฐบาลส่งข้อความที่ชัดเจนว่าผู้ชุมนุมควรได้รับการคุ้มครอง และขจัดอุปสรรคและข้อจำกัดที่ไม่จำเป็นในการชุมนุมโดยสงบ
การชุมนุมประท้วงที่ถูกคุกคามทั่วโลก
“มันถึงเวลาแล้วที่เราต้องเตือนผู้มีอำนาจว่า สิทธิที่ไม่อาจเพิกถอนได้ของเราในการชุมนุม แสดงความคับข้องใจ และเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงอย่างเสรี ทั้งในด้านของส่วนรวม และในที่สาธารณะ”
แอกเนส คาลามาร์ด เลขาธิการ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
ทำไมการชุมนุมประท้วงถึงสำคัญ?
การกระทำเพียงหนึ่งครั้งก็สามารถจุดประกายการเคลื่อนไหวได้ หากเราทำงานร่วมกัน เราจะสามารถสร้างโลกที่ดีกว่าที่ทุกคนมีความเท่าเทียมกันและปราศจากความไม่เท่าเทียมกัน

การชุมนุมประท้วงมีบทบาทที่สำคัญในการทำให้แน่ใจว่าสิทธิมนุษยชนของเราได้รับการยอมรับจากสถาบันที่มีอำนาจ ตั้งแต่สัตยาเคราะห์เกลือ หรือ Salt March (เป็นการแสดงออกทางการเมืองในการประท้วงรัฐบาลอังกฤษในอินเดีย นำโดย มหาตมะ คานธี (Mohandas Gandhi) ระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน ค.ศ. 1930 นับเป็นการเดินขบวนครั้งแรกในการรณรงค์การ “ดื้อแพ่งหรืออารยะขัดขืน” ซึ่งได้รับความสนใจไปทั่วโลก)
เพื่อต่อต้านการปกครองอาณานิคมของอังกฤษในอินเดียในปี 1930 ไปจนถึงทศวรรษของการเดินขบวนไพรด์ (Pride) หลังเหตุจลาจลสโตนวอลล์ (Stonewall Riots) ในปี 1969 ไปจนถึงการประท้วงเรื่อง แบล็กไลฟส์แมตเทอร์ (Black Lives Matter) ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งพลังของผู้คนก็กำลังหล่อหลอมโลกของเราอย่างต่อเนื่อง มีตัวอย่างมากมายนับไม่ถ้วนเมื่อผู้คนมารวมตัวกันและสร้างประวัติศาสตร์และได้มอบสิทธิและเสรีภาพที่เราได้รับในวันนี้
ขับเคลื่อนด้วยความคิดสร้างสรรค์และความรู้สึกของมนุษยชาติ การชุมนุมประท้วงมีหลายรูปแบบทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ ตั้งแต่การนัดหยุดงาน การเดินขบวน และการนั่งเฝ้า ตลอดจนการกระทำต่างๆ ของการทำอารยะขัดขืน
กลยุทธ์และยุทธวิธีเหล่านี้สามารถนำมาใช้เพื่อปูทางไปสู่ความก้าวหน้าในด้านต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเรา รวมถึงการบริหารบ้านเมืองที่ดีขึ้น สภาพการทำงานที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น และการต่อสู้กับปัญหาต่างๆ เช่น การเหยียดเชื้อชาติ การเลือกปฏิบัติ และการทำลายสิ่งแวดล้อม
การชุมนุมประท้วงโดยสงบ
ประชาชนมีสิทธิที่จะชุมนุมโดยสงบ และรัฐมีหน้าที่เคารพ อำนวยความสะดวก และปกป้องสิทธินี้ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการชุมนุมประท้วง เว้นแต่จะมีภัยคุกคามต่อความปลอดภัยและสิทธิของผู้อื่น
หากตำรวจพยายามหยุดหรือจำกัดการชุมนุมประท้วง การแทรกแซงนั้นจะต้องเป็นไปตามหลักการ ‘ได้สัดส่วนและความจำเป็น’ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ต้องส่งผลดีมากกว่าอันตราย และต้องเป็นทางเลือกที่จำกัดสิทธิน้อยที่สุด
เจ้าหน้าที่ควรหาวิธีทำให้พื้นที่เหล่านี้ปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยการสื่อสารกับผู้ที่จัดการชุมนุมประท้วงและให้บริการต่างๆ เช่น การจัดการจราจรและการเข้าถึงบริการปฐมพยาบาล
อย่างไรก็ตาม ในหลายๆ กรณี การแทรกแซงจากหน่วยงานของรัฐกลับเป็นสาเหตุให้การหยุดชะงักโดยสงบกลายเป็นสิ่งที่อันตรายและรุนแรง
การชุมนุมประท้วงเป็นสิทธิมนุษยชนหรือไม่?
เมื่อมีส่วนร่วมในการชุมนุมประท้วง บุคคลนั้นใช้สิทธิมนุษยชนอันหลากหลายที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

เช่นเดียวกับสิทธิในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งได้รวมถึงสิทธิอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการชุมนุมประท้วงโดยสงบ รวมทั้งสิทธิในการมีชีวิต การรวมกลุ่ม เสรีภาพในความเป็นส่วนตัว และการปราศจากการจับกุมและกักขังโดยพลการ และ จากการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี
ดังนั้น แทนที่จะประมวลผลภายใต้กฎหมายหรือสนธิสัญญาฉบับเดียว สิทธิในการชุมนุมประท้วงได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศคุ้มครองสิทธิในการชุมนุมประท้วงผ่านบทบัญญัติหลายประการที่ประดิษฐานอยู่ในสนธิสัญญาระหว่างประเทศและระดับภูมิภาคต่าง ๆ ที่รับรองสิทธิที่ชัดเจนแต่ส่งเสริมซึ่งกันและกันเหล่านี้ เมื่อรวมกันแล้ว พวกเขาให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมแก่ผู้ชุมนุม
การเลือกปฏิบัติและความสามารถในการชุมนุมประท้วงได้อย่างปลอดภัย
ในขณะที่เราทุกคนต่างมีสิทธิเท่าเทียมกันในการชุมนุมประท้วงโดยสงบ มันเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องยอมรับว่ารูปแบบการแบ่งแยกของการเลือกปฏิบัติ จากอายุ สู่เพศ สู่เชื้อชาติ ทำให้คนบางคนเข้าถึงสิทธิเหล่านั้นได้ยากขึ้น

กลุ่มผู้หญิง ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ผู้ที่มีความแตกต่างจากบรรทัดฐานทางเพศของสังคม(GenderNon-Conforming) เด็กและเยาวชนต้องเผชิญกับความท้าทายเฉพาะ เมื่อต้องเข้าร่วมในการชุมนุมประท้วง ยกตัวอย่างเช่น มีการห้ามผู้หญิงเข้าร่วมการชุมนุมประท้วงในอัฟกานิสถานโดยเด็ดขาด ในประเทศอื่นๆ ผู้หญิงมีความเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงตามเพศมากขึ้น หากพวกเขาตัดสินใจที่จะออกไปตามท้องถนนและเข้าร่วมการชุมนุมประท้วง
การเดินขบวนไพรด์ (Pride) ทั่วโลกถูกห้ามเป็นประจำหรือถูกปราบปรามอย่างรุนแรง โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในประเทศที่พฤติกรรมรักเพศเดียวกันถือเป็นอาชญากรรม ผู้ที่เข้าร่วมการเดินขบวนไพรด์ (Pride) ก็ได้มีความเสี่ยงที่จะถูกจับกุม
ด้วยการทำงานร่วมกันและสร้างความมั่นใจว่าทุกคน รวมถึงผู้ที่ถูกเลือกปฏิบัติมากที่สุด สามารถมีส่วนร่วมในการชุมนุมประท้วงอย่างเท่าเทียมกันและปราศจากความกลัวต่อความรุนแรง เราสามารถที่จะสร้างโลกที่ยุติธรรมและเท่าเทียมกันมากขึ้น
กรณีศึกษา: นักฟุตบอลหญิงชาวมุสลิมถูกแบนจากการชุมนุมประท้วงในฝรั่งเศส
ในฝรั่งเศส กลุ่มนักฟุตบอลหญิงชาวมุสลิมกลุ่มหนึ่ง ชื่อเลส์ ฮิญาบิวส์ (Les Hijabeuses) ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงการชุมนุมประท้วงที่พวกเธอวางแผนจะจัดนอกรัฐสภาฝรั่งเศส พวกเธอวางแผนที่จะชุมนุมต่อต้านนโยบายที่มีอยู่และร่างกฎหมายที่ขู่ว่าจะขยายข้อห้ามการเลือกปฏิบัติที่ห้ามผู้หญิงที่เลือกสวมผ้าคลุมศีรษะเข้าร่วมการแข่งขัน

ในตอนเย็นก่อนการชุมนุมประท้วงจะเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการสั่งห้าม โดยอ้างว่าเป็นการตีตราแบบเหมารวมเกี่ยวกับสตรีมุสลิม และความกังวลที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักเหตุผลว่าการเคลื่อนไหวจะนำไปสู่ความไม่เป็นระเบียบทางสังคมและความรุนแรง
ในที่สุด ศาลตัดสินว่าคำสั่งห้ามนั้นผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงจุดนั้น การชุมนุมประท้วงก็ถูกยกเลิกไปแล้ว
เรื่องราวของ เลส์ ฮิญาบิวส์ (Les Hijabeuses) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการที่ผู้คนซึ่งถูกกีดกันและเลือกปฏิบัติ จากการถูกกีดกันจากภายนอกและต้องเผชิญกับความเป็นจริงที่รุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อพวกเขาใช้สิทธิในการชุมนุมประท้วง การต่อสู้เพื่อยุติการเลือกปฏิบัติในกีฬาฝรั่งเศสยังคงดำเนินต่อไป
ตำรวจในพื้นที่การชุมนุมประท้วง
ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2000 วิธีที่ตำรวจและหน่วยงานของรัฐอื่นๆ ใช้กับผู้ชุมนุมประท้วงกลายมาเป็นการเพิ่มกำลังทหารในการรับมือการชุมนุมประท้วงมากขึ้น การนำกำลังทหารเข้ามาควบคุมนั้นได้เกิดขึ้นในหลายๆ ด้าน รวมทั้งติดอาวุธเพื่อปราบปรามการชุมนุมประท้วงและจัดหาอุปกรณ์ของทหารให้กับตำรวจ เช่น รถหุ้มเกราะ เครื่องบินแบบที่ใช้ทางการทหาร โดรนเพื่อสอดแนมข้อมูล ปืนและอาวุธที่ทำลายล้างอย่างอื่น ระเบิดแสงและปืนใหญ่คลื่นเสียง

กองกำลังทหารได้รับการจัดระเบียบ ฝึกฝน และเตรียมพร้อมสำหรับการทำสงครามและการป้องกันประเทศ แต่อาจจะยังไม่ได้รับการฝึกฝนในการรับมือกับการชุมนุมประท้วง ซึ่งตำรวจควรได้รับการฝึกอบรมในการลดระดับ การไกล่เกลี่ย และการดูแลประชาชนให้ปลอดภัย
รัฐบาลพยายามหาเหตุผลให้การใช้กำลังเพิ่มขึ้นอย่างไม่เป็นสัดส่วนเช่นนี้ ด้วยการสร้างภาพให้ผู้ชุมนุมประท้วงเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยสาธารณะ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยุทธวิธีเหล่านี้เป็นวิธีที่ใช้ในการข่มขู่เพื่อปิดปากผู้คนในท้ายที่สุด
อาวุธที่ไม่รุนแรงถึงชีวิต
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลและองค์กรอื่นๆ ได้มีการจัดทำเอกสารการใช้การกำลังโดยมิชอบด้วยกฎหมายกับผู้ชุมนุมประท้วงอย่างเป็นประจำ

แม้จะมีกฎหมายระหว่างประเทศที่เขียนขึ้นเพื่อกำหนดวิธีการและเวลาที่สามารถใช้ “อาวุธที่ไม่รุนแรงถึงชีวิต” ได้ แต่ผู้ชุมนุมประท้วงกลับต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการเสียชีวิตหรือการบาดเจ็บสาหัสจากฝีมือของกองกำลังรักษาความปลอดภัยหากพวกเขาเข้าร่วมการชุมนุมประท้วง
อุปกรณ์ต่างๆ เช่น สเปรย์พริกไทย แก๊สน้ำตา ปืนฉีดน้ำแรงดันสูง และกระสุนยาง ถูกใช้อย่างกว้างขวางในทางที่ผิดโดยตำรวจในพื้นที่การชุมนุมประท้วง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการควบคุมอาวุธประเภทนี้ให้เข้มงวดยิ่งขึ้น
การสอดแนมในพื้นที่ชุมนุมประท้วง
มันเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะเพิกเฉยต่อผลกระทบเชิงบวกที่เทคโนโลยี เช่น โซเชียลมีเดียและการสื่อสารดิจิทัลอื่นๆ มีต่อความสามารถของเราในการเข้าร่วมหรือจัดการชุมนุมประท้วง แต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีประเภทอื่นๆ ทำให้การใช้สิทธิในการชุมนุมประท้วงมีความเสี่ยงมากขึ้น

ตำรวจและหน่วยงานของรัฐอื่นๆ มักใช้ซอฟต์แวร์การจดจำใบหน้าและกล้อง CCTV และ การติดตาม (IMSI) เพื่อที่จะติดตามโทรศัพท์ การใช้กลวิธีสอดแนมในลักษณะนี้ไม่เพียงแต่จะลุกล้ำสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้ชุมนุมประท้วงเท่านั้น แต่ยังเป็นการข่มขู่คกคามผู้คนเพื่อให้พวกเขาไม่อยากที่จะมีส่วนร่วมในการชุมนุมประท้วงตั้งแต่แรก
ชุมนุมประท้วงอย่างไรให้ปลอดภัย
การชุมนุมประท้วงบางอย่างจะปลอดภัยกว่าการชุมนุมประท้วงแบบอื่นๆ เช่น การชุมนุมที่สามารถไปได้ทั้งครอบครัวหรือเป็นมิตรกับครอบครัว (ที่เด็กสามารถเข้าร่วมได้) หากคุณไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น โปรดติดต่อผู้จัดงานเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม

หากมีความเป็นไปได้ที่สถานการณ์อาจกลายเป็นอันตรายมากขึ้น มันมีวิธีที่คุณสามารถเตรียมพร้อมเพื่อให้แน่ใจว่าคุณปลอดภัย โปรดคลิกที่นี่เพื่อดูคำแนะนำโดยละเอียดเพิ่มเติมพร้อมขั้นตอนที่คุณสามารถทำได้
- รู้สิทธิของคุณ – คุณมีสิทธิที่จะรวมกลุ่มโดยสงบ สิทธิในความเป็นส่วนตัว และสิทธิในการชุมนุมประท้วง หากคุณได้รับบาดเจ็บ คุณมีสิทธิได้รับการดูแลทางการแพทย์ ตำรวจต้องหลีกเลี่ยงการใช้กำลัง
- มีการวางแผนล่วงหน้า – มีการค้นหาว่าการชุมการเกิดขึ้นที่ใดและค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น วางแผนกับเพื่อนของคุณในกรณีที่กลุ่มของคุณถูกแยกออกจากกัน
- สวมชุดป้องกัน – คุณอาจต้องใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดผิวหนังทั้งหมดเพื่อป้องกันคุณจากการสัมผัสกับแสงแดดและสเปรย์พริกไทย นำอุปกรณ์ป้องกันดวงตาที่ทนต่อการแตกร้าว เช่น แว่นกันแดดหรือแว่นตาว่ายน้ำ และผ้าโพกหัวที่สามารถชุบน้ำ น้ำมะนาว หรือน้ำส้มสายชู ที่คุณสามารถใช้ปิดจมูกและปากของคุณได้
- จัดเตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉิน – นำชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น น้ำที่คุณสามารถใช้ทำความสะอาดดวงตาและใบหน้า บัตรประจำตัว เตรียมเงินสดให้เพียงพอ สำหรับค่าโทรศัพท์และค่าเดินทาง และเสื้อผ้าชุดใหม่
- เตรียมบันทึกการละเมิดสิทธิมนุษยชน – หากเป็นไปได้ ให้นำอุปกรณ์ที่สามารถช่วยคุณบันทึกการกระทำของตำรวจ การใช้กำลังในทางที่ผิด และการบาดเจ็บ ซึ่งอาจรวมถึงกล้อง นาฬิกา ปากกาและกระดาษ
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ทำอะไรบ้างเพื่อปกป้องสิทธิในการชุมนุมประท้วง?
ในการเผชิญกับภัยคุกคามอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนต่อสิทธิในการชุมนุมประท้วง และยังขยายตัวไปในทั่วทุกภูมิภาคของโลก
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้เปิดตัวแคมเปญระดับโลกเพื่อเผชิญหน้ากับความพยายามที่ขยายวงกว้างและเข้มข้นขึ้นของรัฐต่างๆ เพื่อทำลายสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของพวกเรา

การรณรงค์จะดำเนินการเพื่อเปิดเผยหากมีการละเมิดสิทธิในการชุมนุมประท้วงและสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความรับผิดรับชอบและสามารถตรวจสอบได้
โดยการทำงานร่วมกัน มันมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล มุ่งมั่นที่จะให้การสนับสนุนอย่างแข็งขัน ซึ่งจะขยายเสียงของนักเคลื่อนไหวและขบวนการที่ขับเคลื่อนโดยประชาชน
เพิ่มเสียงของคุณในการเรียกร้องไปทั่วโลกเพื่อปกป้องการชุมนุมประท้วงและเข้าร่วมแคมเปญของเราวันนี้
ปกป้องสิทธิในการชุมนุมประท้วง
เข้าร่วมแคมเปญระดับโลกเพื่อปกป้องสิทธิในการชุมนุมประท้วงไปด้วยกัน !!!
ปกป้องสิทธิในการชุมนุมประท้วง! เหตุใดเราจึงต้องรักษาสิทธิในเสรีภาพการชุมนุม