สิทธิมนุษยชนรอบโลกประจำสัปดาห์ 1-8 มีนาคม 2567

15 มีนาคม 2567

Amnesty International Thailand

ฝรั่งเศส: การรับรองการทำแท้งในรัฐธรรมนูญถือเป็นอีกหนึ่งความหวังสำหรับผู้ที่ปกป้องสิทธิในการทำแท้งทั่วโลก

4 มีนาคม  2567

 

สืบเนื่องจากการลงมติของรัฐสภาฝรั่งเศสให้การทำแท้งเป็นเสรีภาพที่ได้รับการรับรองในรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศส

แอกเนส คาลามาร์ด เลขาธิการ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า การลงมติครั้งประวัติศาสตร์นี้ทำให้ฝรั่งเศสเป็นประเทศแรกที่รับรองการทำแท้งในรัฐธรรมนูญ และมีนัยสำคัญอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงการลดลงของสิทธิที่สำคัญนี้ทั่วโลก การปกป้องเสรีภาพในการเข้าถึงการทำแท้งเป็นปราการสำคัญในการต่อต้านการเคลื่อนไหวต่อต้านสิทธิที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเหล่านี้

“สหรัฐอเมริกาได้แสดงให้เห็นแล้วถึงการทำลายล้าง อันตราย และการตกต่ำจากการบ่อนทำลายสิทธิในการทำแท้ง ในยุโรป ยังคงมีประเทศต่างๆ เช่น โปแลนด์และอันดอร์รา ซึ่งการเข้าถึงการทำแท้งถูกจำกัดอย่างมาก และประเทศที่ผู้ต่อสู้เพื่อสิทธินี้ถูกดำเนินคดี การลงมติในฝรั่งเศสในวันนี้ควรจะปูทางให้มีการคุ้มครองการเข้าถึงการทำแท้งที่เข้มแข็งยิ่งขึ้นในที่อื่นๆ

“การรับรองการทำแท้งในรัฐธรรมนูญถือเป็นความสำเร็จสูงสุดสำหรับสิทธิสตรีและเป็นข้อพิสูจน์ถึงการรณรงค์อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยมานานหลายปีของผู้คนจำนวนมาก ซึ่งจะส่งข้อความแห่งความหวังและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันไปยังกลุ่มผู้หญิงและผู้ปกป้องสิทธิในการทำแท้งและสิทธิทางเพศและการเจริญพันธุ์อื่นๆ”

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลและกลุ่มสิทธิมนุษยชนอื่นๆ เรียกร้องให้มีแนวทางที่ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อประกันว่าสิทธิในการทำแท้งจะได้รับการรับรองไม่เพียงสำหรับผู้หญิงและเด็กผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชายข้ามเพศ นอนไบนารี และทุกคนที่สามารถตั้งครรภ์ได้

 

อ่านต่อ: https://bit.ly/3VfOO5y

 

-----

 

 

รัสเซีย/ยูเครน: ศาลโลกออกหมายจับผู้บัญชาการระดับสูงของรัสเซียในข้อหาก่ออาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

5 มีนาคม  2567

 

สืบเนื่องจากการที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือศาลโลก (ICC) ออกหมายจับ พลโท เซอร์เกย์ โคบิลาช และพลเรือเอก วิกเตอร์ โซโคลอฟ แห่งกองทัพรัสเซีย ซึ่งต่างถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้รับผิดชอบสำหรับอาชญากรรมสงครามโดยมุ่งโจมตีวัตถุของพลเรือนและก่อให้เกิดอันตรายโดยไม่ได้ตั้งใจต่อพลเรือนหรือความเสียหายต่อวัตถุของพลเรือนมากเกินไป รวมทั้งอาชญากรรมต่อมนุษยชาติจาก 'การกระทำที่ไร้มนุษยธรรม'

เอริกา เกบารา-โรซาส ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย รณรงค์ และนโยบาย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า การออกหมายจับโคบิลาชและโซโคลอฟของ ICC ได้แสดงให้เห็นว่า ICC จะดำเนินคดีไปจนถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูงสุด ในขณะที่รัสเซียทำการโจมตีด้วยขีปนาวุธซึ่งยังคงทำลายโครงสร้างพื้นฐานพลเรือนที่สำคัญของยูเครน ICC ได้แจ้งว่าผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมสงครามจะถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในระดับใดก็ตาม

“หมายจับของ ICC ขึ้นอยู่กับการดำเนินการโดยประเทศต่างๆ ดังนั้น นอกเหนือจากผู้หลบหนีของ ICC ประธานาธิบดีปูติน และนางสาวลโววา-เบโลว่าแล้ว ประชาคมระหว่างประเทศยังจะต้องประกันว่านายโคบิลาชและนายโซโคลอฟ จะถูกจับกุมและส่งตัวให้ ICC ทันทีหากพวกเขาออกจากรัสเซียอีกด้วย”

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลบันทึกข้อมูลอาชญากรรมสงครามและการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอื่นๆ เป็นเวลา 10 ปี สามารถดูข้อมูลทั้งหมดของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลที่เผยแพร่จนถึงปัจจุบันได้ที่นี่

 

อ่านต่อ: https://bit.ly/49TJWrm

 

-----

 

 

สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก: ทางการต้องปล่อยตัวนักข่าวที่ถูกควบคุมตัวทันที

8 มีนาคม  2567

 

ในวาระครบรอบ 6 เดือนของการควบคุมตัวสตานิส บูจาเกรา นักข่าวในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DRC) ในข้อหาที่ถูกกุขึ้นมา

ซาราห์ แจคสัน รองผู้อำนวยการภูมิภาคแอฟริกาตะวันออกและแอฟริกาใต้ เผยว่า การปล่อยตัวสตานิส บูจาเกราเลยกำหนดเวลาไปแล้ว การควบคุมตัวโดยพลการต่อไปนั้นเทียบเท่ากับการคุกคามด้วยกระบวนการทางกฎหมาย โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งข้อความสร้างความหวาดกลัวไปยังนักข่าวคนอื่นๆ ทั้งหมดในคองโก ความบิดเบี้ยวนี้จะต้องยุติลง ทางการคองโกต้องปล่อยตัวสตานิส บูจาเกราทันที

“ประธานาธิบดีชิเซเกด และรัฐบาลของเขาต้องประกันการปล่อยตัวสตานิส บูจาเกรา และเสรีภาพของสื่อ ตลอดจนปฏิบัติตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของประเทศ และแก้ไขข้อบกพร่องของระบบตุลาการที่นำไปสู่ความอยุติธรรมดังกล่าว”

เชิน อาฟริก นักข่าวชื่อดังที่ทำงานให้กับรอยเตอร์ และสตานิส บูจาเกรา สื่อออนไลน์ของคองโก Actualité.CD ถูกตั้งข้อหาเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ หลังจากที่เชิน อาฟริก เผยแพร่บทความที่ถูกกล่าวหาว่าเชื่อมโยงหน่วยข่าวกรองของคองโกกับการสังหารเชอรูแบง โอเคนเด นักการเมืองฝ่ายค้านในเดือนกรกฎาคม 2023 เมื่อสัปดาห์ที่แล้วทางการได้สรุปว่าโอเคนเด เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายและขู่ว่าจะดำเนินคดีกับใครก็ตามที่อาจตั้งคำถามกับข้อสรุปนี้

เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ศาลในเมืองกินชาซาปฏิเสธคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวของบูจาเกราเป็นครั้งที่ 7 โดยเขามีกำหนดขึ้นศาลอีกครั้งในวันศุกร์ที่ 8 มีนาคม

เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ประธานาธิบดีเฟลิก ชิเซเกดี กล่าวว่าบูจาเกรา “อาจเป็นเหยื่อของการผัดวันประกันพรุ่ง” ของระบบตุลาการที่ “ป่วย” และให้คำมั่นที่จะ “ยื่นจมูก [ของเขา] เข้าไปในคดีเป็นอย่างน้อยหนึ่งครั้ง” เพื่อตรวจสอบและ “ตัดสินใจตามความเหมาะสม”

 

อ่านต่อ: https://bit.ly/3PIQf9l

 

-----

 

ฮ่องกง: กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ ยกระดับการปราบปรามไปอีกระดับ

8 มีนาคม  2567

 

สืบเนื่องจากการเปิดเผยร่างกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ของฮ่องกง ซึ่งเป็นที่รู้จักในท้องถิ่นในชื่อกฎหมายมาตรา 23

ซาราห์ บรูคส์ ผู้อำนวยการภูมิภาคจีน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า รัฐบาลฮ่องกงซึ่งเป็นผู้ทำให้สิทธิมนุษยชนในเมืองนี้อ่อนแอลงด้วยกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติปี 2020 ของรัฐบาลปักกิ่ง กำลังยกระดับการปราบปรามขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

“ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของกฎหมายภายใต้มาตรา 23 แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นของรัฐบาลที่จะทำลายการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและหันหลังให้กับพันธกรณีระหว่างประเทศ

“กฎหมายฉบับนี้นำแนวคิดทางกฎหมายของจีนแผ่นดินใหญ่เกี่ยวกับ 'ความมั่นคงของชาติ' และ 'ความลับของรัฐ' มาสู่กฎหมายฮ่องกงโดยตรงซึ่งสร้างความกังวลอย่างมากต่ออนาคตของเมือง เราได้บันทึกข้อมูลว่ามีการใช้กฎหมายดังกล่าวในจีนแผ่นดินใหญ่เพื่อละเมิดสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก การสมาคม และการชุมนุมโดยสงบมาอย่างยาวนาน

“ความผิด 'การแทรกแซงจากภายนอก' ใหม่ที่มีถ้อยคำที่คลุมเครือและกว้างอาจนำไปสู่การดำเนินคดีกับนักกิจกรรมเนื่องจากการแลกเปลี่ยนกับชาวต่างชาติ ซึ่งถูกมองว่าเป็น 'เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ' ขณะเดียวกัน สิทธิในการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมถูกโจมตีมากขึ้นด้วยอำนาจในการสืบสวนแบบใหม่ที่อนุญาตให้ควบคุมตัวโดยไม่ต้องตั้งข้อหาเป็นเวลา 16 วัน และปฏิเสธไม่ให้เข้าถึงทนายความ

“เป้าหมายที่สำคัญอย่างชัดเจนของมาตรา 23 คือการหยุดยั้งการวิพากษ์วิจารณ์ทางการและนโยบายของจีนและฮ่องกง ทั้งภายในเมืองและทั่วโลก การขยายขอบเขตออกนอกอาณาเขตของกฎหมายฉบับนี้จะทำให้ไม่มีใครปลอดภัยจากการถูกตัดสินว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ

“ประกาศที่น่าขันของรัฐบาลฮ่องกงว่าการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะแสดงให้เห็นว่ามีการสนับสนุน 98.6% สำหรับข้อเสนอมาตรา 23 ซึ่งในสภาพแวดล้อมที่ความเห็นต่างหมายถึงความเสี่ยงต่อการถูกจำคุกแล้ว ดูเหมือนเป็นความพยายามอย่างยิ่งที่จะอ้างความชอบธรรม แต่ในความเป็นจริง กฎหมายฉบับนี้จะยิ่งบ่อนทำลายสถานะระดับโลกของฮ่องกง

“เราขอเรียกร้องให้ทางการถอยออกจากจุดจบและหยุดกระบวนการออกกฎหมายในปัจจุบัน ประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงรัฐบาลต่างๆ สหภาพยุโรป และสหประชาชาติ จะต้องแสดงความชัดเจนต่อรัฐบาลฮ่องกงว่าการเดินหน้าตามมาตรา 23 จะเป็นความผิดพลาดร้ายแรงและนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชน”

 

อ่านต่อ: https://bit.ly/48SHAaT

 

-----

 

เซเนกัล: การใช้กฎหมายนิรโทษกรรมสำหรับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงถือเป็นการดูหมิ่นเหยื่อของการชุมนุมและส่งเสริมการลอยนวลพ้นผิด

4 มีนาคม  2567

 

ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่รัฐบาลเซเนกัลยื่นต่อรัฐสภาเกี่ยวกับการชุมนุมระหว่างเดือนมีนาคม 2564 ถึงกุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 60 คน ถือเป็นการดูหมิ่นเหยื่อของความรุนแรงและสนับสนุนการลอยนวลพ้นผิดที่น่ากังวล แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวเมื่อวันที่ 4 มีนาคม

การใช้กฎหมายนิรโทษกรรมของรัฐสภาจะถือเป็นความล้มเหลวของรัฐในการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศในการให้ความยุติธรรม ความจริง และการเยียวยาสำหรับครอบครัวของผู้เสียชีวิตมากกว่า 60 คนระหว่างการชุมนุม ซึ่ง 15 ครอบครัวได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อศาลแล้วและยังคงรอความยุติธรรม

ซามีรา ดาวูด ผู้อำนวยการภูมิภาคแอฟริกาตะวันตกและแอฟริกากลาง แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะเป็นการปฏิเสธความยุติธรรมสำหรับเหยื่อ รวมทั้งครอบครัวของพวกเขา ซึ่งกำลังรอความยุติธรรม ความจริง และการเยียวยา ด้วยการผ่านกฎหมายดังกล่าว รัฐเซเนกัลจะไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการปฏิบัติตามพันธกรณีระดับชาติและระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการลอยนวลพ้นผิดในอาชญากรรมนองเลือดด้วย

กฎหมายนิรโทษกรรมสำหรับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงถูกประณามโดยองค์กรคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่างๆ ทั้งระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ

“แม้ว่ากฎหมายนิรโทษกรรมอาจยุติการดำเนินคดีทางกฎหมายกับผู้ที่ถูกควบคุมตัวโดยพลการเกี่ยวกับการชุมนุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็ไม่สามารถดำเนินคดีกับผู้ต้องสงสัยที่มีส่วนรับผิดชอบทางอาญาในการปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างรุนแรง นี่ไม่ใช่ความยุติธรรม”

“ทางการเซเนกัลจะต้องไม่ใช้กฎหมายนี้เป็นข้ออ้างในการเพิกเฉยต่ออาชญากรรมที่เกิดขึ้น แต่พวกเขาต้องนำผู้ต้องสงสัยที่มีส่วนรับผิดชอบทางอาญาในการใช้กำลังเกินกว่าเหตุและถึงแก่ชีวิตต่อผู้ชุมนุมมารับผิด นอกจากนี้ ทางการจะต้องปล่อยตัวผู้ที่ถูกควบคุมตัวโดยพลการและดำเนินคดีจากการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกหรือการชุมนุมโดยสงบในทันทีและอย่างไม่มีเงื่อนไข

 

อ่านต่อ: https://bit.ly/4cqxv8e