ประเทศไทย/ลาว: สอบสวนการสังหารผู้ลี้ภัยชาวลาว และยุติการปราบปรามข้ามชาติต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
26 พฤษภาคม 2566
Amnesty International
สืบเนื่องจากรายงานข่าววันที่ 17 พฤษภาคม 2566 เกี่ยวกับการยิงสังหารบุญส่วน กิตติยาโน ซึ่งเป็นทั้งนักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวลาววัย 56 ปี และผู้ได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (The United Nations High Commissioner for Refugees หรือ UNHCR) เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นบริเวณพื้นที่ใกล้ชายแดนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย พวกเราทั้งสิบหน่วยงานที่ลงนามในแถลงการณ์ฉบับนี้ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการสอบสวนอย่างเป็นอิสระ มีประสิทธิภาพ และรวดเร็วต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ และให้มีการเยียวยาอย่างมีประสิทธิภาพต่อครอบครัว และบุคคลอันเป็นที่รักของเหยื่อ เรายังเรียกร้องทั้งรัฐบาลลาวและไทย รวมทั้งประชาคมนักการทูตในลาวและไทย และหน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาชาติแก้ปัญหาการละเมิดด้านสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวลาว ซึ่งอยู่ระหว่างการขอที่ลี้ภัยในประเทศไทย
การสังหารบุญส่วน กิตติยาโน
เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2566 ทางการไทยพบศพของบุญส่วนที่ อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี ซึ่งตั้งอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยและ มีพรมแดนติดกับประเทศลาว บุญส่วนเป็นสมาชิกของ “กลุ่มลาวเสรี (Free Laos)” ซึ่งมีตั้งอยู่ในประเทศไทย โดยเป็นเครือข่ายแรงงานข้ามชาติ และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวลาว ที่จัดกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งการชุมนุมประท้วงโดยสงบที่สถานเอกอัครราชทูตลาวที่กรุงเทพมหานครและการอบรมด้านสิทธิมนุษยชน สิทธิด้านสิ่งแวดล้อม การปราบปรามทุจริต และประชาธิปไตย ตามรายงานของสื่อ เขาถูกยิงสามนัดขณะกำลังขี่รถจักรยานยนตร์[1] แม้หน่วยงานที่ลงนามในแถลงการณ์จะไม่มีข้อมูลว่า ใครเป็นผู้ลงมือสังหารครั้งนี้ แต่เราสามารถจำแนกข้อมูลได้ว่า บุญส่วนเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งได้หลบหนีจากการประหัตประหารในลาว และมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยนานหลายปีแล้ว จากข้อมูลตามการรายงานของสื่อ กิตติยาโนอยู่ระหว่างการทำเรื่องเพื่อขอลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย[2]
บุคคลอื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มลาวเสรีต่างเคยถูกควบคุมตัวโดยพลการ และตกเป็นเหยื่อของการบังคับบุคคลให้สูญหายทั้งในลาวและไทย
การปราบปรามภายในประเทศและต่างแดน
หน่วยงานที่ลงนามในแถลงการณ์ มีข้อสังเกตถึงการใช้ความรุนแรงโดยพุ่งเป้าไปที่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มลาวเสรีหลายครั้ง การยิงสังหารบุญส่วนเกิดขึ้นเพียงหนึ่งเดือนหลังจากมีการจับกุมและควบคุมตัว สว่าง พะเลิด สมาชิกกลุ่มลาวเสรีอีกคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งมีการรายงานตามข่าว เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2566 สว่างได้เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่บ้านดอนสาด อำเภอสองคาน แขวงสะหวันนะเขต ประเทศลาว เป็นเหตุให้ถูกตำรวจไม่ทราบหน่วยจับกุม[3] ปัจจุบัน เขายังคงถูกคุมขังโดยไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ ไม่มีการแจ้งให้ญาติทราบข้อหา และไม่อนุญาตให้ครอบครัวเข้าเยี่ยมแต่อย่างใด
ในวันที่ 26 สิงหาคม 2562 อ๊อด ไชยะวง นักกิจกรรมกลุ่มลาวเสรี “หายตัวไป” จากบ้านพักในกรุงเทพฯ หลังจากตัวเขาและเพื่อนนักกิจกรรมจากกลุ่มลาวเสรี รวมถึงเพชรภูธร พิละจัน ได้ประชุมกับผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยความยากจนขั้นรุนแรงและสิทธิมนุษยชนในขณะนั้น[4] อ๊อดมีบทบาทเป็นแกนนำการรณรงค์ รวมทั้งการจัดการชุมนุมประท้วงที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวสมาชิกกลุ่มลาวเสรีคนอื่นๆ ที่ถูกคุมขังอยู่ในลาว และให้ปกป้องสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมและที่ดินในประเทศของตน[5] ทางการไทยไม่ดำเนินการสอบสวนอย่างรวดเร็ว เป็นกลาง และมีประสิทธิภาพในคดีนี้เพื่อให้ค้นหาความจริงเกี่ยวกับชะตากรรมและที่อยู่ของเขา แม้จะมีเสียงเรียกร้องอย่างต่อเนื่องจากองค์การสหประชาชาติและองค์กรภาคประชาสังคมก็ตาม[6]
สามเดือนต่อมา เพชรภูธร สมาชิกกลุ่มลาวเสรีซึ่งเป็นเพื่อนร่วมบ้านกับอ็อด ได้หายตัวไปเช่นกัน หลังจากที่เขาเดินทางออกจากกรุงเทพเพื่อกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่เวียงจันทน์[7] จวบจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีผู้ใดทราบชะตากรรมและที่อยู่ของเขาเลย
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2559สุกาน ชัยทัด สมพอน พิมมะสอน และหลอดคำ ทำมะวง สามนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากกลุ่มเดียวกัน ถูกทางการลาวจับกุมและควบคุมตัวโดยไม่ให้ติดต่อกับโลกภายนอก สืบเนื่องจากการใช้สื่อออนไลน์วิจารณ์รัฐบาลลาว และการเข้าร่วมการชุมนุมประท้วงโดยสงบที่หน้าสถานเอกอัครราชทูตลาวที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย ในวันที่ 22 มีนาคม 2560 ศาลประชาชนลาวตัดสินว่าเขามีความผิดตามมาตรา 56 (ขบถต่อประเทศ) มาตรา 65 (โฆษณาชวนเชื่อเพื่อต่อต้านรัฐ) และมาตรา 72 (การชุมนุมโดยมีเป้าหมายเพื่อก่อความวุ่นวายในสังคม) ตามประมวลกฎหมายอาญาของลาว และตัดสินให้พวกเขาได้รับโทษจำคุก 20, 16 และ 12 ปีตามลำดับ
ข้อกล่าวหาอย่างต่อเนื่องว่ามีการจับกุม คุมขัง พิพากษาว่ามีความผิด และการบังคับให้สูญหายในบางกรณีต่อสมาชิกของกลุ่มลาวเสรี ชี้ให้เห็นการโจมตีที่มีเป้าหมาย ซึ่งไม่เพียงเกิดขึ้นในดินแดนของลาวเท่านั้น หากแต่ดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของแบบแผนการปราบปรามข้ามชาติ ที่พุ่งเป้าไปยังนักกิจกรรมและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งหลบหนีการประหัตประหารจากประเทศลาวสู่ประเทศไทย การปราบปรามในลักษณะนี้มุ่งปิดปากผู้ใช้สิทธิมนุษยชน ซึ่งรวมไปถึงสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก การชุมนุม และการสมาคม และการแสดงความเห็นต่างโดยสงบ
เนื่องด้วยบริบทเช่นนี้ ในวันที่ 11 ธันวาคม 2563 ผู้เชี่ยวชาญอิสระแปดคนของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ จึงได้ยื่นจดหมายต่อรัฐบาลลาวและไทย เพื่อแสดงข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับ “แบบแผนการหายตัวไป” โดย “ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ประสานงาน ช่วยเหลือ หรือรู้เห็นเป็นใจให้เกิดการลักพาตัวข้ามพรมแดนจนนำไปสู่การหายตัวไปของนักกิจกรรมทางการเมือง[8]จดหมายยังระบุว่า กระทรวงต่างประเทศของลาวและไทยได้เผยแพร่แถลงการณ์ร่วมกันเมื่อปี 2561 เกี่ยวกับการกระชับความร่วมมือโดยการ “ยึดมั่นต่อนโยบายที่จะไม่อนุญาตให้บุคคลหรือกลุ่มของบุคคล วางแผนก่อความวุ่นวาย หรือดำเนินการต่อต้านรัฐบาลในประเทศอื่นอันเป็นดินแดนของตน”
จากปากคำที่รวบรวมโดยองค์กรที่ลงนามในแถลงการณ์นี้ เราพบว่าการลอยนวลพ้นผิดอย่างกว้างขวางในกรณีข้างต้น ส่งผลให้เกิดบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวอย่างกว้างขวางในบรรดานักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวลาว ภายใต้บรรยากาศที่กดขี่เช่นนี้ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่หลบหนีมาจากประเทศของตน ยังคงต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัวว่าจะตกเป็นเป้าหมายจากการใช้สิทธิมนุษยชนของตน
พันธกรณีของรัฐตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
ประเทศไทยและประเทศลาวต่างเป็นรัฐภาคีของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights หรือ ICCPR) กติกาฉบับนี้ระบุให้ต้องเคารพและรับประกันสิทธิที่จะมีชีวิตรอด มีอิสรภาพ และมีความมั่นคงปลอดภัยของบุคคลทุกคน นอกจากนี้ ยังระบุว่าบุคคลทุกคนต้องปลอดภัยจากการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี สุดท้าย กติกาฉบับนี้ยังรับรองสิทธิหลากหลายประการ รวมถึงสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก การสมาคม และการชุมนุมโดยสงบ และสิทธิที่จะมีส่วนร่วมของประชาชนอีกด้วย ทั้งนี้ การบังคับบุคคลให้สูญหายถือเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติหลายข้อของกติกา ICCPR ดังนั้น ประเทศทั้งสองจึงมีหน้าที่จะต้องสอบสวนอย่างเป็นอิสระ เป็นกลาง และโปร่งใส และดำเนินคดีในกรณีที่มีการพรากชีวิตโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งอาจหมายรวมไปถึงการบังคับบุคคลให้สูญหาย โดยให้สอดคล้องตามมาตรฐานระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพิธีสารมินนิโซตาว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนกรณีที่ต้องสงสัยว่าเป็นการเสียชีวิตที่มิชอบด้วยกฎหมาย[9] รัฐต่าง ๆ ยังต้องจัดให้มีการเข้าถึงการเยียวยาและการชดเชยที่มีประสิทธิภาพ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในเขตอำนาจของตน
การคุ้มครองสิทธิข้างต้น ยังครอบคลุมถึงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งเผชิญกับความเสี่ยงมากขึ้นเป็นพิเศษ เนื่องจากตกเป็นเป้าหมายของความรุนแรง เพราะการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนอันชอบของตน
ในการเสนอรายงานสำหรับการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทยภายใต้กระบวนการการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน (Universal Periodic Review หรือ UPR) รอบที่ 3 เมื่อปี 2564 รัฐบาลไทย “สนับสนุน” ข้อเสนอแนะอย่างน้อย 6 ข้อเกี่ยวกับการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน รวมทั้ง “ประกันให้มีการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยผ่านการสอบสวนโดยทันทีและอย่างรอบด้านเมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้นมา” “ดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อประกันให้มีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเกื้อหนุนสำหรับนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ยุติการคุกคาม ความรุนแรง และการข่มขู่ในทุกรูปแบบต่อพวกเขา และประกันให้มีการสอบสวนโดยทันที อย่างโปร่งใส และอย่างเป็นอิสระเมื่อมีรายงานว่าเกิดเหตุขึ้นมาทุกครั้ง” และ“ดำเนินการให้มีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเกื้อหนุนต่อการใช้สิทธิในเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบ เสรีภาพในการแสดงออก และป้องกันการโจมตีทำร้ายและข่มขู่ต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชน[10]
ในอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลลาวยังได้รับข้อเสนอแนะที่คล้ายคลึงกันหลายประการ ระหว่างกระบวนการ UPR ในปี 2563 รวมทั้ง “ส่งเสริมสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก ยกเลิกข้อจำกัดต่อสื่ออิสระ และดำเนินการให้มีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยต่อการดำเนินงานของผู้สื่อข่าวและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน” “ประกันให้มีการเข้าถึงอย่างเต็มที่ซึ่งสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก การสมาคม และการชุมนุมโดยสงบ และดำเนินการตามลำดับเพื่อให้มีการสอบสวนอย่างเต็มที่ตามข้อกล่าวหาว่ามีการจับกุมโดยพลการ การบังคับบุคคลให้สูญหาย และการตัดสินว่ามีความผิดทางอาญาเนื่องจากการแสดงการต่อต้านทางการเมืองหรือการวิจารณ์นโยบายของรัฐ” และ “จัดให้มีการสอบสวนที่เป็นอิสระในประเทศ เมื่อเกิดการสูญหายและการเสียชีวิตของนักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน” เป็นที่น่าเสียใจว่ารัฐบาลลาวปฏิเสธที่จะยอมรับข้อเสนอแนะเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่[11]
กรณีการปราบปรามข้ามชาติที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งเหตุการณ์การสังหารบุญส่วนที่เพิ่งเกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลทั้งสองประเทศไม่สามารถปฏิบัติตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในด้านการประกันให้นักปกป้องสิทธิมนุษยชนสามารถใช้สิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของตนได้อย่างปลอดภัยในทั้งสองประเทศ
ข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลไทย รัฐบาลลาว และประชาคมโลก
จากสถานการณ์ข้างต้น องค์กรที่ลงนามในแถลงการณ์มีข้อเรียกร้องอย่างเร่งด่วนดังต่อไปนี้:
สำหรับรัฐบาลลาวและไทย
- ดำเนินการสอบสวนโดยเร่งด่วน รอบด้าน มีประสิทธิภาพ เป็นกลาง และเป็นอิสระ ทั้งต่อการสังหารบุญส่วน และเหตุการณ์อื่นๆ ที่อาจเป็นการปฏิบัติมิชอบและการละเมิดด้านสิทธิมนุษยชนตามที่ระบุถึงในแถลงการณ์นี้ โดยให้การสอบสวนดังกล่าวสอดคล้องตามมาตรฐานและกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ รวมทั้งพิธีสารมินนิโซตาว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนกรณีที่ต้องสงสัยว่าเป็นการเสียชีวิตที่มิชอบด้วยกฎหมายประกันว่าจะมีการสอบสวนที่มีประสิทธิภาพและรอบด้าน นอกจากนี้ ต้องดำเนินการให้มีความรับผิดชอบต่ออาชญากรรมเหล่านี้ โดยการตรวจสอบชี้ตัว ดำเนินคดี และลงโทษต่อบุคคลใดๆ ที่มีส่วนรับผิดชอบ
- ประกันการเข้าถึงการเยียวยาและการชดเชยอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับครอบครัวและบุคคลอันเป็นที่รักที่ได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมเหล่านี้
- ประกาศพันธกิจดำเนินการป้องกันไม่ให้มีการประหัตประหาร การข่มขู่ และการคุกคามอีกต่อไป ดำเนินการให้มีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ให้ความเคารพ และเกื้อหนุนต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทุกคน และดำเนินการยุติการเอาผิดทางอาญาต่อการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออก การชุมนุมโดยสงบ และการสมาคม
- ให้ยุติข้อตกลงอย่างเป็นทางการระหว่างรัฐบาลของประเทศทั้งสอง ซึ่งได้กล่าวถึงในแถลงการณ์ รวมถึงมาตรการอื่นๆ อันเป็นการเอื้ออำนวยให้เกิดการปราบปรามข้ามชาติต่อการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนโดยชอบธรรม
สำหรับประชาคมนักการทูตในลาวและไทย และแหล่งทุน
- เรียกร้องผลักดันให้มีความรับผิดชอบอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และให้มีการยุติการละเมิดด้านสิทธิมนุษยชนที่ถูกปกปิดอยู่ภายใต้วัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิดในทั้งสองประเทศ
- สำหรับรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับการพูดคุยเจรจาระหว่างรัฐบาลกับทางการลาวและไทย ให้หยิบยกประเด็นการปราบปรามข้ามชาติต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในทั้งสองประเทศขึ้นมาหารือ และรับรองให้มีการเปิดเผยผลลัพธ์จากการพูดคุยเจรจาต่อสาธารณะ
สำหรับหน่วยงายภายใต้องค์การสหประชาชาติ
- ประกันให้มีการคุ้มครองผู้ลี้ภัยและขอลี้ภัย ซึ่งต้องดำรงชีวิตด้วยความหวาดกลัวต่อการปราบปรามข้ามชาติ และอำนวยความสะดวกให้มีการดำเนินการพิจารณาคำขอลี้ภัยไปประเทศที่สามโดยทันที
รายชื่อองค์กรที่ร่วมลงนามในแถลงการณ์
- แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International)
- ฮิวแมนไรท์วอทช์ (Human Rights Watch)
- คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (International Commission of Jurists)
- สหพันธ์เพื่อสิทธิมนุษยชนสากล (International Federation for Human Rights)
- มูลนิธิมานุษยะ (Manushya Foundation)
- โฟกัส ออน เดอะ โกลเบิล เซ้าท์ (Focus on the Global South)
- พันธมิตรเพื่อการมีส่วนร่วมของพลเมืองระดับโลก (CIVICUS: World Alliance for Citizen Participation)
- องค์กรฟรอนไลน์ดีเฟนเดอร์ (Front Line Defenders)
- คณะกรรมการระหว่างประเทศสำหรับการจัดเวทีภาคประชาชนเอเชีย-ยุโรป (Asia- Europe Peoples Forum หรือ AEPF)
- องค์กรเฟรชอายส์ (Fresh Eyes)
ช้อมูลสำหรับติดต่อ
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่ออีเมล eseapro@amnesty.org
[1] ไทยรัฐ,สลดหนุ่มใหญ่ นักเคลื่อนไหวชาวลาว ถูกยิงตายที่อุบลฯ คาดตามฆ่าล้างแค้น, 19 พฤษภาคม 2566, https://www.thairath.co.th/news/crime/2695135
[2] ข่าวสด ภาษาอังกฤษ, Thai Police: A Lao activist’s relatives may murder him, 21 พฤษภาคม 2566, khaosodenglish.com/news/2023/05/21/thai-police-a-lao-activists-relatives-may-murder-him/
[3] วิทยุเอเชียเสรี, “Thailand-based rights activist arrested in Laos after returning to home village” 9 พฤษภาคม 2566, rfa.org/english/news/laos/activist-returns-arrest-05092023164548.html
[4] สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ , “Thailand/Lao PDR: UN experts concerned by disappearance of Lao human rights defender” 1 ตุลาคม 2562, ohchr.org/en/press-releases/2019/10/thailandlao-pdr-un-experts-concerned-disappearance-lao-human-rights-defender
[5] สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Office of the High Commissioner for Human Rights หรือ OHCHR),จดหมายถึงรัฐบาลลาวและรัฐบาลไทย (UA LAO 2/2019), 25 กันยายน 2562, spcommreports.ohchr.org/TMResultsBase/DownLoadPublicCommunicationFile?gId=24867
[6] ตัวอย่างของข้อเรียกร้องจากภาคประชาสังคม สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่: amnesty.or.th/en/latest/news/7581/ fidh.org/en/region/asia/thailand/investigate-disappearance-of-lao-activist-seeking-asylum and hrw.org/news/2019/09/07/thailand-lao-refugee-feared-disappeared
[7] วิทยุเอเชียเสรี, “Lao Migrant Goes Missing, Friends Suspect Government Abduction”, 9 ธันวาคม 2562, rfa.org/english/news/laos/phetphouthon-philachane-12092019161409.html
[8] สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ, จดหมายถึงรัฐบาลประเทศลาวและประเทศไทย (AL LAO 4/2020), 11 ธันวาคม 2563, spcommreports.ohchr.org/TMResultsBase/DownLoadPublicCommunicationFile?gId=25648
[9] สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ , พิธีสารมินนิโซตาว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนกรณีที่ต้องสงสัยว่าเป็นการเสียชีวิตที่มิชอบด้วยกฎหมาย, 2017, ohchr.org/sites/default/files/Documents/Publications/MinnesotaProtocol.pdf
[10] คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ, รายงานจากคณะทำงานสำหรับการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน: ประเทศไทย, ข้อเสนอแนะจากประเทศนอร์เวย์ เช็กเกีย อิตาลี ตามลำดับ, A/HRC/49/17/Add.1, ย่อหน้าที่ 19 and 51. ohchr.org/sites/default/files/2022-03/A_HRC_49_17_Add.1_AV_Thailand_E.docx
[11] คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ, รายงานจากคณะทำงานสำหรับการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน: สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว, ข้อเสนอแนะจากประเทศอิตาลี เช็กเกีย และสหรัฐอเมริกา ตามลำดับ, A/HRC/44/6/Add.1, ย่อหน้า.6. undocs.org/A/HRC/44/6/Add.1