เลือกตั้ง 66: Human Rights Agenda วาระสิทธิมนุษยชน
ถึงเวลาฟังเสียงที่คุณอาจไม่เคยได้ยิน!
ตั้งแต่เริ่มต้นปี 2566 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ได้รวบรวมข้อมูลสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน และเริ่มพัฒนาข้อเสนอแนะจากภาคประชาสังคมพร้อมทั้งจัดกิจกรรมรับฟังความคิดเห็นร่วมกับ "เด็กและเยาวชน" และสมาชิกแอมเนสตี้ เพื่อรวบรวมข้อมูลสถานการณ์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนเพิ่มเติม
เพราะ Human Rights Agenda “วาระสิทธิมนุษยชน” กำลังจะกลับมาก่อนการเลือกตั้งใหญ่ของประเทศไทยในครั้งนี้!
Human Rights Agenda “วาระสิทธิมนุษยชน” คือเวทีและเส้นทางที่เราจะเรียกร้องผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพรรคการเมืองให้ยึดมั่นในพันธกิจด้านสิทธิมนุษยชนต่อประชาชน ย้ำรัฐบาลใหม่ต้องดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อส่งเสริมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในประเทศ และยุติการลอยนวลพ้นผิดเมื่อเกิดการละเมิดสิทธิ
หนึ่งเสียงในการเลือกตั้ง คือหนึ่งเสียงสำคัญของการกำหนดทิศทางใหม่ของประเทศไทย และเสียงของประชาชนจะต้องถูกรับฟัง
และเราอยากฟังผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพรรคการเมืองมาทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นไปด้วยกัน และที่สำคัญ เราอยากชวนมาฟังเสียงของประชาชนและภาคประชาสังคมในหลากหลายภาคส่วน
ในปีนี้เราจึงมาพร้อมกับห้าหัวข้อใหญ่ ๆ
- การไม่เลือกปฏิบัติ ธรรมาภิบาล เเละมาตรการป้องกันการทุจริต
- ประเด็นเฉพาะกลุ่ม (รวมถึงเรื่องผู้ลี้ภัย ผู้ขอลี้ภัย นักปกป้องสิทธิมนุษยชน ชนกลุ่มน้อย กลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง แรงงานข้ามชาติ ผู้พิการ ฯลฯ)
- สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม เเละวัฒนธรรม
- กรอบกฎหมายระหว่างประเทศเเละภายในประเทศ นโยบายด้านสิทธิมนุษยชน เเละสถาบันสิทธิมนุษยชน
- สิทธิพลเมืองเเละสิทธิทางการเมือง (รวมถึงการสังหารนอกกฎหมาย การป้องกันการทรมานเเละการบังคับบุคคลให้สูญหาย คนไร้รัฐ ไร้สัญชาติ สิทธิในการสมรส การค้ามนุษย์ การใช้แรงงาน ฯลฯ)
เพราะสิทธิมนุษยชนคือเรื่องของทุกคน! ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมีสิทธิเลือกตั้งหรือไม่ก็ตาม ตราบใดที่พวกเขาอยู่ในประเทศไทย พวกเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของก้าวต่อไปของประเทศไทยทั้งสิ้น นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ได้รับรองพันธกิจสำคัญที่มีต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งการส่งเสริม คุ้มครอง และปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน
กดดาวน์โหลดรายงานและข้อเสนอแนะ
#HumanRightsAgenda2023 - HEAR THE UNHEARD!
ทำไมต้องเลือกพรรคการเมืองที่มีนโยบายด้านสิทธิมนุษยชน ทำไม #วาะสิทธิมนุษยชนถึงสำคัญ
วันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ประชาชนชาวไทยจะเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง เป็นวิธีการหนึ่งที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ถือเป็นการแสดงออกถึงเจตจำนงของประชาชนในการคัดเลือกบุคคลที่จะเข้าไปทำหน้าที่และใช้อำนาจอธิปไตยแทนพวกเขาในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ รวมทั้งกำหนดทิศทางและสัญญาประชาคมสำหรับการบริหารประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้า
ท่ามกลางโอกาสแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพรรคการเมืองให้ยึดมั่นในพันธกิจด้านสิทธิมนุษยชนต่อประชาชน เพื่อเน้นย้ำให้รัฐบาลใหม่ต้องดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อส่งเสริมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในประเทศ และยุติการลอยนวลพ้นผิดเมื่อเกิดการละเมิดสิทธิ
ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับรองพันธกิจสำคัญที่มีต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งการส่งเสริม คุ้มครอง และปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชนหลายประการ ตั้งแต่การปลอดจากการทรมานไปจนถึงเสรีภาพในการแสดงออก การเลือกตั้งรัฐบาลใหม่จึงเป็นโอกาสที่จะได้เห็นการเคารพต่อพันธกิจเหล่านี้และความพยายามจะขับเคลื่อนพันธกิจเหล่านี้ให้เป็นกฎหมายและนโยบายภายในประเทศ ประเทศไทยต้องเตรียมปฏิบัติการภารกิจด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรวดเร็วและครอบคลุม รัฐบาลใหม่ควรดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายหรือคำสั่งซึ่งมีลักษณะจำกัดหรือคุกคาม การเข้าถึงสิทธินานัปการ รัฐบาลควรเสนอให้มีมาตรการป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน และจัดตั้งกลไกเพื่อสนับสนุนให้ผู้เสียหายเข้าถึงความยุติธรรมได้ นอกจากนี้รัฐบาลใหม่ควรให้คำมั่นสัญญาในการแก้ไขข้อท้าทายในอนาคต รวมถึงภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติและภัยคุกคามทางไซเบอร์ ผ่านการกำหนดนโยบายเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงการใช้อำนาจในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยไม่จำเป็น
การเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นนี้เป็นการเลือกตั้งอีกครั้งที่สำคัญ ซึ่งเป็นโอกาสที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพรรคการเมืองควรจะทบทวนภาวะขาดดุลด้านสิทธิมนุษยชนดังที่เป็นอยู่ และแสดงความยึดมั่นในพันธกิจต่อประชาชนที่จะปฏิรูปสถานการณ์สิทธิมนุษยชนปัจจุบัน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเชิญชวนให้ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกท่านและพรรคการเมืองทุกพรรคยึดมั่นในการพัฒนาสถานการณ์ในด้านต่างๆ
ข้อเสนอเชิงนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนของภาคประชาสังคม
กรอบกฎหมายระหว่างประเทศเเละภายในประเทศ นโยบายด้านสิทธิมนุษยชนและสถาบันสิทธิมนุษยชน
-
การลงนามเเละให้สัตยาบันในสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน
-
เข้าเป็นภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการสูญหายโดยถูกบังคับ เเละพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานเเละการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี อย่างเร่งด่วน
-
เร่งรัดการลงนามหรือให้สัตยาบันในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของเเรงงานข้ามชาติเเละสมาชิกในครอบครัว พร้อมทั้งพิจารณาทบทวนและปรับปรุงกฎหมายภายในให้สอดคล้องกับอนุสัญญาฯ ดังกล่าว ตลอดทั้งพิจารณารับข้อเสนอแนะในการเข้าเป็นภาคีในอนุสัญญาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 และฉบับที่ 98 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและสิทธิในการรวมตัวและเจรจาต่อรอง
-
เร่งรัดการลงนามหรือให้สัตยาบันในพิธีสารเลือกรับของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ฉบับที่ 1 ว่าด้วยการพิจารณาคำร้องส่วนบุคคล เเละฉบับที่ 2 ว่าด้วยการยกเลิกโทษประหารชีวิตของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองเเละสิทธิทางการเมือง
-
สถาบันสิทธิมนุษยชน
-
เร่งรัดพิจารณาแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2560 เพื่อให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนตามหลักการปารีส โดยพิจารณามอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่จากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนสามารถดำเนินการทางคดีเเทนผู้เสียหายได้ เพิ่มความคุ้มครองเจ้าหน้าที่ด้านสิทธิมนุษยชนซึ่งปฏิบัติงานในหน้าที่จากความรับผิดทางเเพ่ง อาญา เเละปกครอง เเละประกันความเป็นอิสระในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เเละคณะกรรมการ เป็นต้น
-
ดำเนินการให้การปฏิบัติตามแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 5 มีส่วนร่วมจากประชาชนอย่างเเท้จริง โดยรัฐบาลต้องรายงานผลการปฏิบัติเเละจัดรับฟังความเห็นจากประชาชนเเละภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งปรับปรุงเเผนฯ ดังกล่าวเป็นระยะ
-
ความร่วมมือและการปรึกษาหารือกับภาคประชาสังคม
-
ระงับการเสนอร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน พ.ศ…เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเเละสภาผู้เเทนราษฎร เเละยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 4 มกราคม 2565 เเละวันที่ 4 พฤศจิกายน 2564 เพื่อถอนร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวจากการพิจารณาของฝ่ายบริหารเเละฝ่ายนิติบัญญัติอย่างถาวร
-
พิจารณาออกกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน รวมถึงกฎหมายต่อต้านการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมสาธารณะ (คดี SLAPPs)
-
ยุติการคุกคาม เเละสอดส่องการทำงานขององค์กรภาคประชาสังคมอย่างผิดกฎหมายหรือเลือกปฏิบัติโดยทันที
-
กรอบรัฐธรรมนูญเเละกรอบกฎหมาย
-
เร่งรัดทบทวนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเเห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ทั้งฉบับ เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน เเละประกันความโปร่งใสเเละมาตรการในการปฏิบัติงานขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ด้วยการยกเลิกอำนาจเเละหน้าที่ของวุฒิสภาในการความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 272 อย่างเร่งด่วน
-
เร่งรัดทบทวนเเละยกเลิกพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.2457 พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 และพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 จากการบังคับใช้ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เเละบางส่วนของจังหวัดสงขลา เเละยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 51/2560 อย่างเร่งด่วน
การไม่เลือกปฏิบัติ ธรรมาภิบาล และการทุจริต
-
ความเสมอภาคเเละการไม่เลือกปฏิบัติ
-
เร่งรัดทบทวนเพื่อแก้ไขมาตรา 27 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ให้สอดคล้องกับหลักการไม่เลือกปฏิบัติตามอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ
-
การเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิง
-
พิจารณาทบทวนเเละแก้ไขมาตรา 17 วรรคสองของพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2548 เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบอย่างเร่งด่วน เเละทบทวนเพื่อแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายอื่นเเละเเนวปฏิบัติที่ก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงเเละกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะการเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน สถานศึกษา เเละสถาบันวิชาชีพต่างๆ
-
การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุทางเชื้อชาติ
-
เร่งรัดรับรองสิทธิของเเรงงานข้ามชาติ ผู้ลี้ภัย บุคคลไร้รัฐ ไร้สัญชาติ ในการเข้าถึงโครงการเเละนโยบายเยียวยาจากภาครัฐ โดยเฉพาะมาตรการที่กำหนดขึ้นเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการเเพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เช่น ‘ม.33 เรารักกัน’ เเละประกันสิทธิในการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขจากรัฐ ให้แก่ผู้ที่ถูกควบคุมตัวในห้องกักเเละบริเวณชายแดน ตามหลักการไม่เลือกปฏิบัติเเละหลักมนุษยธรรม
-
ยุติการตรวจเเละเก็บสารพันธุกรรม หรือ DNA ในกลุ่มชาติพันธุ์เเละกลุ่มชาติพันธุ์ทางศาสนา โดยเฉพาะการตรวจหรือเก็บ DNA เพื่อใช้การดำเนินคดีต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุความรุนเเรง หรือเพื่อดำเนินการตามนโยบายป้องกันเเละปราบปรามยาเสพติด เเละชี้เเจงให้ผู้ถูกตรวจเเละเก็บ DNA ทราบถึงการจัดเก็บ การใช้งาน เเละทำลายตัวอย่าง DNA ที่ตรวจเเละเก็บมาเเล้วด้วยเหตุผลดังกล่าวทันที
-
ธรรมาภิบาลเเละการทุจริต
-
เร่งรัดพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการฟ้องปิดปากในคดีความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่และประพฤติมิชอบ พ.ศ...เเละกำหนดนโยบายระดับชาติเพื่อคุ้มครองผู้ให้ข้อมูล ผู้แจ้งเหตุ หรือผู้รายงานเหตุทุจริตและเรื่องที่เกี่ยวเนื่องให้ได้รับการคุ้มครองไม่ถูกดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญา
-
พิจารณาดำเนินมาตรการทางกฎหมาย ให้องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญเเละคณะกรรมาธิการภายใต้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา สามารถเรียกเอกสารจากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความเห็นในกิจการที่กระทำ หรือในเรื่องที่พิจารณาสอบข้อเท็จจริงหรือศึกษาอยู่ได้
สิทธิพลเมืองเเละสิทธิทางการเมือง
-
สิทธิในการมีชื่อ การระบุตัวตน เเละสัญชาติ
-
เร่งขจัดเเนวปฏิบัติที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยสัญชาติเเละทะเบียนราษฎร์ เเละมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการขจัดการไร้รัฐ ไร้สัญชาติ โดยเฉพาะเด็กและกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล เเละกำหนดให้กระทรวงมหาดไทย เเละกระทรวงพัฒนาสังคมเเละความมั่นคงของมนุษย์ ต้องเพิ่มงบประมาณเเละดำเนินการอย่างต่อเนื่องให้ผู้ไร้รัฐหรือไร้สัญชาติสามารถเข้าถึงระบบลงทะเบียนของรัฐได้
-
การสมรสเเละความสัมพันธ์ในครอบครัว
-
เร่งรัดพิจารณาและออกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิในการก่อตั้งครอบครัวของบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะการทบทวนเเละผ่านร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต พ.ศ....และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่...) พ.ศ...ในสมัยถัดไปของการประชุมรัฐสภา ทั้งนี้ ต้องรับรองว่าร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าวนั้นสอดคล้องกับอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน เเละครอบคลุมถึงสิทธิในการก่อตั้งครอบครัวโดยไม่เลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม หรือสร้างภาระเกินสมควรแก่เหตุต่อกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ
-
การควบคุมตัวโดยพลการ การสังหารนอกกฎหมาย การป้องกันการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย
-
ยุติการปฏิบัติการตรวจค้น จับกุม ควบคุมตัว ปิดล้อม เเละการสังหารนอกกฎหมาย ซึ่งเป็นการกระทำโดยเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มชาติพันธุ์ หรือกลุ่มชาติพันธุ์ทางศาสนากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง พัฒนากลไกรับเรื่องร้องเรียน เเละเร่งสอบสวนตลอดทั้งเยียวยาให้กับบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากปฏิบัติการนั้น
-
เร่งรัดให้ยุติการบังคับใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันเเละปราบปรามการทรมานเเละการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ซึ่งให้เลื่อนการบังคับใช้มาตรา 22-25 ของพระราชบัญญัติฯ ถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2566 โดยรัฐสภาต้องโหวตไม่รับรองการบังคับใช้พระราชกำหนดฯ ฉบับดังกล่าวทันที
-
การเข้าถึงความยุติธรรมเเละการเยียวยา
-
กำหนดนโยบายเเละทบทวนเเนวปฏิบัติที่กีดกันการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมเเละการเยียวยาของกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มชาติพันธุ์ทางศาสนา ผู้หญิง เด็ก เเรงงานข้ามชาติ ผู้ลี้ภัยเเละผู้เเสวงหาที่ลี้ภัย เเละผู้มีความหลากหลายทางเพศ รวมถึงพัฒนาการจัดเก็บข้อมูลทั้งในเชิงปริมาณเเละสถิติของการร้องเรียนเหตุการปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม การขอรับค่าชดเชยเยียวยาทั้งตามพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. 2558 เเละพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2546 เป็นต้น
-
การค้ามนุษย์เเละรูปแบบการนำคนลงเป็นทาส
-
กำหนดมาตรการถาวรในการบริหารจัดการเเรงงานข้ามชาติ ลดภาระค่าใช้จ่ายในการขอขึ้นทะเบียนเเรงงานข้ามชาติ ปราบปรามกระบวนการนายหน้าเเละปรับปรุงให้กระบวนการขึ้นทะเบียนเเรงงานข้ามชาติสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ มีการประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึงทั้งในภาษาไทยเเละภาษาของเเรงงานข้ามชาติ
-
การงดเว้นการผลักดันกลับไปเผชิญภัยอันตราย
-
ยุติการตรวจค้น จับกุม เเละส่งกลับผู้ลี้ภัยเเละผู้เเสวงหาที่ลี้ภัยจากประเทศเมียนมาเเละประเทศอื่น โดยเฉพาะผู้ลี้ภัยเเละผู้เเสวงหาที่ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองเเละชายเเดน พัฒนาระบบการคัดกรองเเละยกเลิกการส่งผู้ลี้ภัยเเละผู้เเสวงหาที่ลี้ภัยจากประเทศลาว กัมพูชา เมียนมา เเละเวียดนามพร้อมกับเเรงงานข้ามชาติจากประเทศข้างต้น
-
รับรองการบังคับใช้มาตรา 13 ของพระราชบัญญัติป้องกันเเละปราบปรามการทรมานเเละการเเละกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 ว่าจะมีผลบังคับใช้เพื่อป้องกันการส่งผู้ลี้ภัยเเละผู้เเสวงหาที่ลี้ภัยกลับ ซึ่งขัดต่อหลักการห้ามผลักดันกลับไปเผชิญอันตราย
-
โทษประหาร
-
พิจารณาและศึกษาเพื่อออกฎหมายยกเลิกโทษประหารชีวิตด้วยการหารือจากผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน โดยกระทรวงยุติธรรมเเละหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องจัดทำเเละนำเสนอรายงานทั้งเชิงปริมาณเเละคุณภาพถึงผลดีเเละผลเสียของการคงโทษประหารชีวิตไว้
-
ดำเนินการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ อย่างน้อยให้สอดคล้องกับข้อบทที่ 14 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองเเละสิทธิทางการเมือง ประกันสิทธิในการเข้าถึงเเละมีทนายความในทุกประเภทคดี เเละสิทธิที่จะได้รับการทบทวนคำพิพากษาโดยศาลสูง โดยเฉพาะในคดียาเสพติด
-
เสรีภาพในการรวมกลุ่ม การชุมนุม
-
จัดตั้งคณะกรรมการระหว่างสำนักงานตำรวจเเห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด เเละสำนักงานศาลยุติธรรม โดยการสนับสนุนของกรมคุ้มครองสิทธิเเละเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ในการพิจารณาเเละกลั่นกรองกลุ่มคดีที่ถูกเเจ้งข้อหากล่าวหรือฟ้องร้องตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2558 ประกาศเเละข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เเต่ละหน่วยงานดำเนินการยุติการดำเนินคดีต่อผู้เข้าร่วมการชุมนุมโดยสงบ ระหว่างการเริ่มชุมนุมเมื่อวันที่ 18 กรกฏาคม 2563 ถึงปัจจุบันโดยทันที
ทั้งนี้ หากเป็นคดีที่ยังไม่เข้าสู่การพิจารณาของศาล พนักงานอัยการต้องยุติการดำเนินคดีโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 21 ของพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 เเละหากมีการสั่งฟ้องคดีเเล้ว พนักงานอัยการควรสั่งถอนฟ้อง เช่นเดียวกับศาลที่ควรสั่งยกฟ้องในคดีเกี่ยวกับความผิดฐานดังกล่าว
-
พิจารณาทบทวนเเละยกเลิกการกำหนดเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราว ซึ่งขัดต่อหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญาเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิด เเละมีผลเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการเข้าร่วมการชุมนุมโดยสงบ เเละการเเสดงความคิดเห็น ตลอดจนยกเลิกการใช้อุปกรณ์ติดตามอิเลคทรอนิคส์เเละข้อกำหนดให้อยู่ในเคหะสถานตลอด 24 ชั่วโมงโดยทันที
-
เสรีภาพในการเเสดงความคิดเห็นเเละการเเสดงออก การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร
-
เร่งรัดทบทวนการดำเนินคดีกับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีทั้งหมด ที่ถูกเเจ้งข้อกล่าวตามกฎหมายข้างต้นเเละกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้อง เเละดำเนินมาตรการเฉพาะในการยุติการดำเนินคดีกับเด็กกลุ่มดังกล่าว โดยเฉพาะเด็กที่ถูกดำเนินคดีด้วยความผิดฐานตามมาตรา 112 เเละมาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา เเละความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
-
สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม
-
เร่งรัดยกเลิกพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.2457 โดยเฉพาะการกำหนดให้ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาคดีพลเรือน เเละทบทวนกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาคดีในศาลทหาร เช่น พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.2498 เเละกำหนดให้การพิจารณาคดีในศาลทหารนั้น อย่างน้อยต้องสอดคล้องกับข้อบทที่ 14 ของกติการะหว่างประเทศด้านสิทธิพลเมืองเเละสิทธิทางการเมือง โดยเฉพาะสิทธิในการอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลสูง สิทธิในการมีเเละเข้าถึงทนายความ เเละสิทธิที่จะได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคดี
สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม เเละวัฒนธรรม
-
สิทธิในสวัสดิการสังคม
-
รับรองสิทธิในสวัสดิการสังคมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ให้ครอบคลุมเเละเข้าถึงอย่างเท่าเทียมโดยบุคคลทุกกลุ่ม เเละหน่วยงานรัฐต้องกำหนดมาตรการพิเศษในการสนับสนุนให้กลุ่มเปราะบาง รวมถึงผู้หญิง เด็ก คนพิการ เเรงงานข้ามชาติ ผู้เเสวงหาที่ลี้ภัยเเละผู้ลี้ภัย เเละผู้มีความหลากหลายทางเพศ ให้สามารถเข้าถึงสิทธิในสวัสดิการสังคมได้ทุกรูปแบบ ทั้งสิทธิในบริการด้านสาธารณสุข การศึกษา เเละที่อยู่อาศัย เป็นต้น
-
สิทธิในการพัฒนาเเละแผนปฏิบัติการด้านธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน
-
เร่งรัดทบทวนการบังคับใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจเเละสังคมเเห่งชาติ ฉบับที่ 13 ให้สอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิด้านเศรษฐกิจ สังคม เเละวัฒนธรรม หลักการสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน เเละมาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนเเละการพัฒนา เช่น Sustainable Development Goals
รัฐต้องพิจารณารับเเละปฏิบัติตามคำเเนะนำของคณะผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด รวมถึงต้องนำข้อเเนะนำดังกล่าวบรรจุไว้ในเเผนปฏิบัติการระดับชาติด้านธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน
-
สิทธิในการเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่พอเพียง
-
เร่งรัดทบทวนการดำเนินโครงการพัฒนาโดยรัฐ เเละ/หรือโดยการสนับสนุนของภาคเอกชนที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเเละพื้นที่การทำกินของประชาชนอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่กำหนดเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจขนาดใหญ่ หรือเขตเศรษฐกิจพิเศษ
รับรองสิทธิในการมีส่วนร่วมของบุคคลในพื้นที่ เเละเร่งสอบสวนถึงกรณีการคุกคาม ข่มขู่ เเละการสังหารนอกกระบวนการทางกฎหมายต่อกลุ่มชาวบ้านหรือนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ออกมาเรียกร้องในประเด็น/พื้นที่ดังกล่าว
-
สิทธิในสุขภาพ
-
รับรองสิทธิในการเข้าถึงระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าอย่างไม่เลือกปฏิบัติ เเละสนับสนุนให้กลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะเเรงงานข้ามชาติ เด็กที่เกิดจากเเรงงานข้ามชาติ ให้สามารถเข้าถึงสิทธิดังกล่าวโดยครอบคลุมถึงสิทธิในสุขภาพทางเพศเเละอนามัยเจริญพันธุ์
-
รับรองสิทธิในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตในกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ กลุ่มเด็กเเละเยาวชน และหามาตรการที่เหมาะสมให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ให้สามารถเข้าถึงบริการด้านดังกล่าวได้โดยไม่มีข้อจำกัด เเละไม่เลือกปฏิบัติ
-
สิทธิในการศึกษา
-
รับรองสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมเเละไม่มีค่าใช้จ่ายแก่เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ทุกคน รวมถึงเด็กเเรงงานข้ามชาติ ผู้ลี้ภัยเเละผู้เเสวงหาที่ลี้ภัย คนไร้รัฐ ไร้สัญชาติ โดยใช้มาตรการทางกฎหมายอื่นประกอบ รวมทั้งกำหนดมาตรการพิเศษสำหรับเด็กพิการให้สามารถเข้าศึกษาร่วมกับเด็กทั่วไปได้
-
สิทธิเเรงงานและสิทธิในการทำงาน การจ้างงาน
-
เร่งรัดเข้าเป็นภาคีในอนุสัญญาหลักขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว และฉบับที่ 98 ว่าด้วยการใช้หลักการแห่งสิทธิในการรวมตัวและการต่อรองร่วมกันอย่างเร่งด่วน
-
พิจารณาออกกฎหมายเฉพาะเพื่อคุ้มครองเเรงงานแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ของการจ้างงาน ให้ได้รับสิทธิไม่น้อยไปกว่าเเรงงานอื่นที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเเรงงาน
ประเด็นเฉพาะกลุ่ม
-
นักปกป้องสิทธิมนุษยชน
-
ยกเลิกการดำเนินคดีอาญาและคดีเเพ่งต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างเร่งด่วน เเละทบทวนประสิทธิภาพการบังคับใช้มาตรา 161/1 เเละมาตรา 165/2 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เเละมาตรา 21 ของพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 ในการคุ้มครองการทำงานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
-
เร่งรัดกำหนดแนวทางการพิจารณาคดีที่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนถูกฟ้องร้อง หรือถูกกล่าวหา โดยสำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องทำงานร่วมกันกับกรมคุ้มครองสิทธิเเละเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เพื่อให้การยุติการดำเนินคดีอาญาและคดีเเพ่ง ต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนเกิดผลขึ้นจริง
-
ผู้ลี้ภัยเเละผู้ขอลี้ภัย
-
พิจารณาเเละศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าเป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. 1951 เเละพิธีสารเกี่ยวกับสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. 1967 พร้อมทั้งทบทวนกฎหมายภายใน โดยเฉพาะพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรเเละไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ พ.ศ. 2562 เเละประกาศที่เกี่ยวข้อง ให้สอดคล้องกับทั้งอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานฯ เเละอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัยและพิธีสารดังกล่าว
-
เเรงงานข้ามชาติ
-
เร่งรัดเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของแรงงานข้ามชาติและสมาชิกในครอบครัว และอนุสัญญาหลักขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว และฉบับที่ 98 ว่าด้วยการใช้หลักการแห่งสิทธิในการรวมตัวและการต่อรองร่วมกันอย่างเร่งด่วน
-
สมาชิกของชนกลุ่มน้อย กลุ่มชาติพันธุ์
-
รับรองนิยามเเละสิทธิของชนกลุ่มน้อยเเละกลุ่มชาติพันธุ์ตามปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง ไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ตลอดทั้งเพิ่มความคุ้มครองทางกฎหมายในการส่งเสริมการดำรงวิถีชีวิตดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว
-
คนพิการ
-
พิจารณาทบทวนเเละเร่งแก้ไขมาตรา 15 วรรคสามของพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ เเละทบทวนเพื่อแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายอื่นเเละเเนวปฏิบัติที่ก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อด้วยเหตุทางสภาพร่างกาย รวมถึนโยบายของรัฐที่ออกมาเพื่อเยียวยาให้แก่คนพิการในช่วงการเเพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ด้วย
-
ขจัดอุปสรรคทางกายภาพเเละอคติในการปฏิเสธไม่รับคนพิการเข้าศึกษาเเละประกอบอาชีพในด้านต่างๆ ส่งเสริมเเละสนับสนุนงบประมาณในการอำนวยความสะดวกให้เข้าถึงสิทธิด้านนั้นๆ ตลอดทั้งอบรมเจ้าหน้าที่ บุคลากรทั้งภาครัฐเเละเอกชนให้มีความรู้ความเข้าใจเเละพร้อมให้ความช่วยเหลือแก่คนพิการ โดยให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อกลุ่มผู้พิการร้ายเเรง หรืออยู่ในพื้นที่ห่างไกล หรือยากจน หรือเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเปราะบาง เป็นต้น
-
ผู้หญิง
-
ปรับปรุงการใช้ทรัพยากรจากกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ โดยมุ่งเน้นให้เกิดการดำเนินกิจกรรมอันเพื่อรับรองเเละส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศตามนิยามเเละหลักการที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ
-
เด็ก
-
ทบทวนมาตรการเยียวยาเเละการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้หญิงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคง เเละผู้หญิงหม้าย ให้เข้าถึงมาตรการเยียวยาจากรัฐโดยไม่เลือกปฏิบัติ ปรับปรุงกระบวนการดังกล่าวให้ไม่ซ้ำซ้อนกับกระบวนการอื่น เเละส่งเสริมศักยภาพผู้หญิงในด้านเศรษฐกิจ การศึกษา เเละการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ
-
พิจารณากำหนดใช้มาตรการชั่วคราวพิเศษตามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ ในการกำหนดจำนวนหรือสัดส่วนของผู้หญิงในสภาผู้เเทนราษฎรหรือที่เป็นต้วเเทนพรรคการเมือง ทั้งนี้ ด้วยการคำนึงถึงความหลากหลายมิใช่เฉพาะเรื่องเพศ เเต่ด้วยความเคารพในอัตลักษณ์ด้านอื่นด้วย เช่น การมีผู้เเทนจากกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มชาติพันธุ์ทางศาสนา เป็นต้น
กิจกรรมที่จะเกิดขึ้น
4 เมษายน 2566
เลือกตั้ง 2566 : ฟังเสียงนโยบายภาคประชาสังคม (Civil Society's Agenda for the 2023 Thailand Election)
สถานที่ : หอศิลปวัฒนธรรม กรุงเทพมหานคร
20 เมษายน 2566
วาทะผู้นำ วาระสิทธิมนุษยชน
สถานที่ : ลานคนเมือง กรุงเทพมหานคร
28 เมษายน 2566
สถานที่ : ริมบึงสีฐาน ขอนแก่น
29 เมษายน 2566
สถานที่ : ลานประตูท่าแพ เชียงใหม่
6 พฤษภาคม 2566
สถานที่ : ลานวัฒนธรรมปัตตานี
กิจกรรมที่จะเกิดขึ้น
4 เมษายน 2566
เลือกตั้ง 2566 : ฟังเสียงนโยบายภาคประชาสังคม (Civil Society's Agenda for the 2023 Thailand Election)
สถานที่ : หอศิลปวัฒนธรรม กรุงเทพมหานคร
20 เมษายน 2566
วาทะผู้นำ วาระสิทธิมนุษยชน
สถานที่ : ลานคนเมือง กรุงเทพมหานคร
28 เมษายน 2566
สถานที่ : ริมบึงสีฐาน ขอนแก่น
29 เมษายน 2566
สถานที่ : ลานประตูท่าแพ เชียงใหม่
6 พฤษภาคม 2566
สถานที่ : ลานวัฒนธรรมปัตตานี