ประเทศไทย: ครบ 20 ปีการหายตัวไปของทนายสมชาย นีละไพจิตร เน้นย้ำให้เห็นถึงวัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิดที่หยั่งรากลึก

12 มีนาคม 2567

Amnesty International Thailand

ภาพถ่าย : © Amnesty International Thailand

ในวาระครบรอบ 20 ปีของการบังคับให้สูญหายกรณีทนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความสิทธิมนุษยชน

ชนาธิป ตติยการุณวงศ์ นักวิจัยระดับภูมิภาคประจำประเทศไทย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ทางการไทยล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการอำนวยให้เกิดความยุติธรรม ความจริง หรือการเยียวยาต่อทนายสมชายและครอบครัวของเขา การบังคับให้สูญหายกรณีนี้และอีกหลายกรณีที่เน้นย้ำให้เห็นวัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิดที่หยั่งรากลึกในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันรัฐพยายามที่จะเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ

“นับตั้งแต่20 ปีของการหายตัวไปของทนายสมชายในจังหวัดกรุงเทพฯ ที่ผ่านมา ยังมีคำตอบเพียงน้อยนิด และมีความหวังที่เลือนลาง ในขณะยังมีความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะปิดปาก จูงใจหรือข่มขู่สมาชิกในครอบครัวของเขาล้มเลิกการรณรงค์เรียกร้องความยุติธรรม”

“จากความล้มเหลวในการนำตัวผู้ต้องสงสัยเข้าสู่กระบวนการรับผิดทางอาญา และจากการเพิกเฉยสิทธิในการเยียวยาอย่างเต็มที่ของครอบครัวของเขา อีกทั้งการยุติการคุ้มครองพยาน เป็นที่ชัดเจนว่าเหยื่อของการบังคับให้สูญหายนั้น ไม่สามารถพึ่งพาทางการไทยได้อย่างเต็มที่ และผู้กระทำความผิดอาจไม่ต้องรับโทษตามความผิดที่ตนเองกระทำ”

“เป็นเวลามากกว่าหนึ่งปีแล้วที่รัฐบาลไทยประกาศใช้กฎหมายในประเทศ เพื่อเอาผิดทางอาญากับการบังคับให้สูญหาย แต่เนื่องจากยังไม่มีการฟ้องคดีเกี่ยวกับการบังคับให้สูญหายในชั้นศาล ทำให้กฎหมายฉบับนี้เป็นเพียงกระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้น”

“หากประเทศไทยประสงค์จะเข้าเป็นสมาชิกในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติอย่างมีเกียรติ ประเทศไทยต้องปฏิบัติตามพันธกรณีอีกหลายประการที่มีต่อกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ แม้การมีกฎหมายในเรื่องนี้เป็นก้าวย่างแรกที่ดี แต่ต้องมีการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป เพื่อประกันให้เกิดความรับผิดรับชอบและการเยียวยาต่อผู้เสียหายทุกคนจากการถูกบังคับให้สูญหาย อีกทั้งประเทศไทยต้องให้สัตยาบันรับรองโดยไม่ประกาศข้อสงวนใด ๆ ต่ออนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (ICPPED) และยอมรับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการว่าด้วยการบังคับให้หายสาบสูญ ที่จะรับฟังและพิจารณาข้อมูลจากผู้เสียหายและคู่กรณีที่เป็นรัฐอื่น ๆ เพื่อแสดงความมุ่งมั่นอย่างจริงใจที่จะต่อต้านอาชญากรรมนี้ตามหลักการกฎหมายระหว่างประเทศ”

 

ข้อมูลพื้นฐาน

ทนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความสิทธิมนุษยชน อดีตรองประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ และอดีตประธานชมรมนักฎหมายมุสลิม ได้หายตัวไปในย่านรามคำแหงของกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2547 นักปกป้องสิทธิมนุษยชนท่านนี้ยังคงหายตัวไปจนถึงทุกวันนี้

มีการจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจ 5 นาย ไม่นานหลังการหายตัวไปของทนายสมชาย โดยถูกกล่าวหาว่าบังคับขืนใจให้เขาเข้าไปในรถยนต์ แต่ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาให้ยกฟ้องคดีเมื่อเดือนธันวาคม 2558 เนื่องจากทางครอบครัวไม่มีคำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับที่อยู่ของทนายสมชาย ทำให้ไม่สามารถเป็นโจทก์แทนทนายสมชายในคดีนี้ได้ และมีคำพิพากษาที่ปฏิเสธสิทธิที่จะยื่นฟ้องคดีต่อศาล

ทนายสมชายเป็นนักกิจกรรมที่มีชื่อเสียง เคลื่อนไหวรณรงค์เพื่อสิทธิของชาวมุสลิมเชื้อสายมลายู รวมทั้งผู้ที่เคยตกเป็นเหยื่อการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายอย่างอื่น ระหว่างถูกทหารควบคุมตัวในจังหวัดชายแดนของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งให้อำนาจอย่างกว้างขวางกับทางการในการควบคุมตัวบุคคลเป็นเวลาเจ็ดวันในค่ายทหารโดยไม่ต้องมีข้อหา

อังคณา นีละไพจิตร ภรรยาของทนายสมชาย ในฐานะเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ยังคงรณรงค์ในประเด็นการบังคับให้สูญหาย ปัจจุบันเธอดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกของคณะกรรมการแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการกระทำให้บุคคลสูญหายโดยบังคับหรือไม่สมัครใจ และก่อนหน้านั้นเคยเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

จากการเคลื่อนไหวของเธอ ทำให้เธอตกเป็นเป้าของการถูกข่มขู่ที่จะใช้ความรุนแรง ทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ศาลอาญามีคำสั่งระงับการให้ความคุ้มครองพยานต่ออังคณา เมื่อเดือนตุลาคม 2565 เนื่องจากเห็นว่าคดีเกี่ยวกับหายตัวไปของทนายสมชายได้รับการพิจารณาจนเสร็จสิ้นไปนานแล้ว