กัมพูชา: การเลือกตั้งกำลังเกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตร้ายแรงด้านสิทธิมนุษยชน

21 กรกฎาคม 2566

Amnesty International Thailand

ภาพถ่าย : ©Getty

สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในกัมพูชาเลวร้ายลงอย่างมาก นับแต่การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2561 มอนต์เซ แฟร์เรอร์ รักษาการรองผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาค ฝ่ายวิจัย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าวในวันนี้ ก่อนจะมีการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ ซึ่งคาดว่าจะเป็นชัยชนะของพรรคประชาชนกัมพูชาที่เป็นพรรครัฐบาลของกัมพูชา หลังมีคำสั่งตัดสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคฝ่ายค้านเพียงพรรคเดียวที่มีคุณสมบัติเหมาะสม

“ทางการกัมพูชาใช้เวลาช่วงห้าปีที่ผ่านมา บั่นทอนสิทธิที่เหลืออยู่ด้านเสรีภาพในการแสดงออก การชุมนุมอย่างสงบ และการสมาคม ได้เกิดการปราบปรามมากขึ้นต่อสิทธิมนุษยชนในกัมพูชา ประชาชนจำนวนมากรู้สึกว่าถูกบังคับให้ต้องเข้าร่วมในการเลือกตั้ง แม้ว่าจะไม่มีโอกาสได้เลือกพรรคที่ตนเองต้องการเลือกก็ตาม 

“ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีฮุนเซ็น ทางการสั่งปิดหรือเพิ่มแรงกดดันต่อสำนักข่าวอิสระ มีการคุกคาม ข่มขู่ ทำร้ายและคุมขังนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม ในการพิจารณาคดีจำนวนมาก และการจำกัดสิทธิของผู้สมัครรับเลือกตั้งในการจัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อลงแข่งขัน นักกิจกรรมของพรรคฝ่ายค้านถูกทำร้าย ด้วยกระบองเหล็กในท้องถนนหลายครั้ง นักกิจกรรมทางการเมืองคนหนึ่งถูกแทงจนเสียชีวิตในที่สาธารณะเมื่อปี 2564 ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่าเป็น การโจมตีทำร้ายอย่างมีเป้าหมาย

“ฮุนเซ็นเป็นกระบอกเสียงเรียกร้องให้ใช้ความรุนแรง ดังจะเห็นได้จากการปราศรัยของเขาผ่านการไลฟ์ในเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของเขาเมื่อเดือนมกราคม ส่งผลให้มีการทำร้ายร่างกายนักการเมืองฝ่ายค้านหลายคน และส่งผลให้คณะกรรมการกำกับดูแลของบริษัทเมตา ต้องสั่งให้มีการลบวีดิโอนั้นออกจากเฟซบุ๊ก และมีข้อเสนอแนะให้ ระงับการใช้งานของบัญชีของนายกฯ เป็นการชั่วคราว โดยให้มีผลทันที เป็นเวลาหกเดือน

“การปราบปรามสิทธิมนุษยชนเพิ่มขึ้นอย่างมากช่วงหลายปีที่ผ่านมา นับแต่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่แล้ว ทางการได้อ้างการระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อเร่งปราบปรามสิทธิมนุษยชนมากขึ้น รวมทั้งสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออกของผู้สื่อข่าว นักปกป้องสิทธิมนุษยชน และผู้วิจารณ์รัฐบาลซึ่งตกเป็นเป้าหมายเพราะแสดงความคิดเห็นที่ต่อต้าน

“ความพยายามจัดตั้งและจดทะเบียนพรรคแสงเทียน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านใหม่ ต้องถูกปิดกั้นอย่างรวดเร็ว โดยถือได้ว่าเป็นคำวินิจฉัยที่มีแรงจูงใจทางการเมือง เพื่อปิดกั้นไม่ให้พวกเขาจดทะเบียนตั้งพรรคได้ สมาชิกหลายคนของพรรคแสงเทียน เคยถูกควบคุมตัวโดยพลการ และบางส่วนเคยต้องโทษจำคุกในข้อหาที่กุขึ้นมา ก่อนจะถึงการเลือกตั้งครั้งนี้ มีการประกาศใช้กฎระเบียบใหม่ เพื่อลงโทษบุคคลที่เรียกร้องให้คนคว่ำบาตรไม่ไปออกเสียง ยิ่งเป็นการเย้ยหยันมากขึ้นต่อสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก

“ทางการกัมพูชาต้องยุติการดำเนินคดีที่มีแรงจูงใจทางการเมือง และปราศจากมูลความจริงโดยทันที ต่อสมาชิกของพรรคแสงเทียน, เขม โสกา หัวหน้าพรรสงเคราะห์ชาติ พรรคฝ่ายค้านของกัมพูชาที่ถูกศาลสั่งยุบพรรคไปแล้ว ชิม สิทธา สมาชิกสหภาพแรงงาน และเพื่อนร่วมงานของเธอ รวมทั้งบุคคลใด ๆ ที่ถูกคุมขังเพียงเพราะใช้สิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การชุมนุมอย่างสงบและการสมาคม ทางการต้องหยุดใช้ศาลเป็นเครื่องมือเพื่อปราบปรามการแสดงความเห็นต่างอย่างสงบ และยุติการปราบปรามสำนักข่าวและผู้สื่อข่าวอิสระ”

 

ข้อมูลพื้นฐาน

ในวันอาทิตย์นี้ กัมพูชาจะจัดการเลือกตั้งทั่วไปเป็นครั้งที่เจ็ด นับแต่มีการจัดการเลือกตั้งภายใต้การกำกับดูแลขององค์การสหประชาชาติเมื่อปี 2536 คาดการณ์ว่าพรรคประชาชนกัมพูชาจะชนะได้สส.จำนวนมาก เช่นเดียวกับการเลือกตั้งในปี 2561 ซึ่งผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้งเห็นว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม ท่านสามารถอ่านงานวิจัย ใบแถลงข่าว และรายงานที่เกี่ยวกับประเทศนี้ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้ที่เว็บไซต์ของเรา ที่นี่  

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเป็นขบวนการสิทธิมนุษยชนระดับโลก เป็นอิสระจากรัฐบาล อุดมการณ์ทางการเมืองหรือผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ การแสดงความกังวลเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อผู้สมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกของพรรคการเมือง หรือผู้สนับสนุนจุดยืนทางการเมืองใด ๆ ไม่ได้หมายถึงว่า แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลสนับสนุนพรรคการเมืองหรือช่องทางหาเสียงของผู้สมัครคนนั้น