สิทธิมนุษยชนรอบโลกประจำสัปดาห์ 9-14 เมษายน 2567

18 เมษายน 2567

Amnesty International Thailand

 

รัสเซีย/ยูเครน: การโจมตีของรัสเซียสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่สำคัญในยูเครน

12 เมษายน  2567

 

สืบเนื่องจากการโจมตีอย่างกว้างขวางของรัสเซียทั่วยูเครน รวมถึงการโจมตีทางอากาศข้ามคืนครั้งล่าสุดซึ่งมุ่งเป้าไปที่โครงข่ายไฟฟ้าของยูเครน

แพทริค ทอมป์สัน นักวิจัยประเทศยูเครน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า การโจมตีที่ทำลายล้างมากที่สุดครั้งหนึ่งของรัสเซียต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครน มีโรงไฟฟ้าหลายแห่งถูกโจมตี ส่งผลให้เกิดความยากลำบากและการหยุดชะงักต่อพลเรือนชาวยูเครนมากยิ่งขึ้น การจงใจโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน เช่น โรงไฟฟ้าและระบบไฟฟ้า และสร้างความเสียหายต่อพลเรือนอย่างรุนแรง ถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

“รัสเซียได้ขยายขอบเขตการรุกรานอย่างไม่หยุดยั้งต่อพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนในยูเครนในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนได้นำไปสู่การต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของชาวยูเครนที่ได้เรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางอันตรายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและความมืดมิดที่เพิ่มมากขึ้น

“แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องให้รัสเซียยุติการรุกรานในยูเครน รวมถึงการโจมตีอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อโครงสร้างพื้นฐานซึ่งพลเรือนชาวยูเครนต้องพึ่งพาในชีวิตประจำวัน ประชาคมระหว่างประเทศจะต้องยืนยันอีกครั้งถึงความมุ่งมั่นที่จะซ่อมแซมความเสียหายและนำผู้รับผิดชอบต่ออาชญากรรมสงครามเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม”

 

ข้อมูลพื้นฐาน

ทางการยูเครนถูกบังคับให้ใช้แผนหยุดจ่ายไฟฟ้าเพื่อป้องกันไม่ให้โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่เหลืออยู่ของยูเครนทำงานหนักเกินไป ส่งผลให้การดำเนินชีวิตของพลเรือนต้องหยุดชะงัก

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้ทำงานเพื่อบันทึกข้อมูลอาชญากรรมสงครามและการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอื่นๆ นับตั้งแต่รัสเซียเริ่มต้นการรุกรานยูเครนอย่างเต็มรูปแบบ สามารถดูข้อมูลทั้งหมดของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลที่เผยแพร่จนถึงปัจจุบันได้ที่นี่

 

อ่านต่อ: https://bit.ly/3VYddwZ

 

-----

 

 

โปแลนด์: การลงมติเป็นก้าวสำคัญในการเข้าถึงการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยและถูกกฎหมาย

12 เมษายน  2567


สืบเนื่องจากข่าวที่สมาชิกสภานิติบัญญัติโปแลนด์อนุมัติการแก้ไขกฎหมายยุติการตั้งครรภ์ของโปแลนด์ 4 ฉบับในการพิจารณาวาระแรกในรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา

มิโก เซอร์วินสกี หัวหน้าฝ่ายรณรงค์ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศโปแลนด์ เผยว่า ด้วยการอนุมัติการแก้ไขทั้ง 4 ฉบับนี้ รัฐสภาของโปแลนด์ได้ดำเนินการก้าวสำคัญไปสู่การยุติข้อจำกัดที่โหดร้ายและเข้มงวดของโปแลนด์ในการเข้าถึงการยุติการตั้งครรภ์ ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงต่อชีวิตและสุขภาพของผู้คนจำนวนมาก

“โปแลนด์จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายการยุติการตั้งครรภ์อย่างเร่งด่วน ซึ่งกฎหมายดังกล่าวเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ และฝ่าฝืนพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและสหภาพยุโรป รวมถึงขัดแย้งกับแนวทางการดูแลการยุติการตั้งครรภ์ขององค์การอนามัยโลก

“ในขณะที่การแก้ไขเหล่านี้ต้องผ่านเข้าสู่ขั้นตอนการลงมติครั้งต่อไป สิ่งสำคัญคือนักการเมืองจะต้องรับฟังเสียงของภาคประชาสังคมและผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการห้ามการยุติการตั้งครรภ์แทบทุกกรณี และทำให้กฎหมายดังกล่าวสอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ

“การยกเลิกความผิดสำหรับการยุติการตั้งครรภ์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อประกันว่าทุกคนที่ต้องการบริการยุติการตั้งครรภ์ ตลอดจนผู้ให้บริการยุติการตั้งครรภ์ นักกิจกรรม และผู้สนับสนุนจะไม่ถูกคุกคามจากผลทางอาญาสำหรับการเข้าถึง ช่วยเหลือผู้อื่นในการเข้าถึง หรือให้บริการยุติการตั้งครรภ์”

 

ข้อมูลพื้นฐาน

เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2564 คำตัดสินอันน่าอดสูของศาลรัฐธรรมนูญของโปแลนด์ได้สั่งห้ามการเข้าถึงการยุติการตั้งครรภ์แทบทั้งหมดโดยยกเลิกเหตุผล "ความบกพร่องของทารกในครรภ์อย่างรุนแรงและไม่สามารถรักษาให้หายได้ หรือการเจ็บป่วยที่รักษาไม่หายซึ่งคุกคามชีวิตของทารกในครรภ์" คำตัดสินดังกล่าวได้ยกเลิกเหตุผลทางกฎหมายเพียงข้อเดียวที่เหลืออยู่สำหรับการยุติการตั้งครรภ์ภายใต้กฎหมายที่มีข้อจำกัดอย่างเข้มงวดของโปแลนด์ และการมีผลบังคับใช้ของคำตัดสินดังกล่าวส่งผลให้ขณะนี้มีการห้ามยุติการตั้งครรภ์เกือบทุกกรณีในโปแลนด์ ซึ่งก่อนหน้านี้ กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของการยุติการตั้งครรภ์ถูกกฎหมายประมาณ 1,000 ครั้งต่อปีในโปแลนด์ใช้เหตุผลนี้

ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน ผู้ให้บริการด้านการแพทย์ในโปแลนด์สามารถให้บริการยุติการตั้งครรภ์ได้เฉพาะในกรณีที่สุขภาพหรือชีวิตของหญิงตั้งครรภ์ตกอยู่ในความเสี่ยง หรือหากการตั้งครรภ์เป็นผลมาจากอาชญากรรม อย่างไรก็ตาม ผู้ให้บริการมักปฏิเสธที่จะยุติการตั้งครรภ์แม้ว่าจะถูกกฎหมาย เนื่องจาก "ผลกระทบที่สร้างความหวาดกลัว" ของกฎหมายดังกล่าว

 

อ่านต่อ: https://bit.ly/3VYKU1q

 

----- 

 

 

สหราชอาณาจักร/สหรัฐอเมริกา: การจำคุกจูเลียน อาสซานจ์ 5 ปีในสหราชอาณาจักรเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

11 เมษายน  2567

 

เมื่อวันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมานี้ เป็นวันครบรอบ 5 ปีที่จูเลียน อาสซานจ์ถูกควบคุมตัวในเบลมาร์ช ซึ่งเป็นเรือนจำที่มีความปลอดภัยสูงในสหราชอาณาจักร ในขณะที่เขาต่อสู้กับคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนจากทางการสหรัฐฯ

แอกเนส คาลามาร์ด เลขาธิการ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า จูเลียน อาสซานจ์กล้าที่จะเปิดโปงข้อกล่าวหาเกี่ยวกับอาชญากรรมสงครามที่กระทำโดยสหรัฐฯ สิ่งที่ยอมรับไม่ได้คือการขโมยเวลาในชีวิตของเขาไปหลายปี เขายังคงถูกควบคุมตัวโดยพลการในสหราชอาณาจักรด้วยข้อกล่าวหาที่มีแรงจูงใจทางการเมือง ซึ่งสร้างขึ้นโดยสหรัฐฯ จากการเปิดโปงการกระทำผิดที่ต้องสงสัย ทางการสหรัฐฯ ล้มเหลวในการสอบสวนข้อกล่าวหาอาชญากรรมสงครามอย่างครบถ้วนและโปร่งใส พวกเขาเลือกที่จะมุ่งเป้าไปที่อาสซานจ์สำหรับการเผยแพร่ข้อมูลที่รั่วไหล แม้ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะก็ตาม การประหัตประหารอาสซานจ์ที่กำลังเกิดขึ้นเป็นเหมือนการเยาะเย้ยพันธกรณีของสหรัฐฯ ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ และคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้สำหรับสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก

“หากอาสซานจ์ถูกส่งตัวไปยังสหรัฐฯ จะเสี่ยงต่อการถูกละเมิดอย่างร้ายแรง รวมถึงการถูกคุมขังเดี่ยวเป็นเวลานาน ซึ่งอาจละเมิดข้อห้ามการทรมานหรือการปฏิบัติที่โหดร้ายอื่นๆ การรับรองทางการฑูตที่น่าสงสัยของสหรัฐฯ ในเรื่องการปฏิบัติต่อเขานั้นมีค่าน้อยกว่ากระดาษที่ใช้เขียนเสียอีก นั่นเพราะจะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายและเต็มไปด้วยช่องโหว่

“อาสซานจ์เป็นที่ต้องการตัวเพราะกิจกรรมที่เป็นพื้นฐานของนักข่าวและผู้จัดพิมพ์หนังสือทุกคน ซึ่งมักจะได้รับข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของรัฐบาลจากแหล่งภายนอก Wikileaks เผยแพร่หลักฐานการเสียชีวิตของพลเรือนและข้อกล่าวหาอาชญากรรมสงคราม สาธารณชนมีสิทธิที่จะทราบว่ารัฐบาลของตนกำลังละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ ทางการสหรัฐฯ กำลังปูทางไปสู่บรรทัดฐานที่เป็นหายนะสำหรับเสรีภาพสื่อทั่วโลกหากมีการส่งผู้ร้ายข้ามแดน สหรัฐฯ ต้องยกเลิกข้อกล่าวหาทั้งหมดต่ออาสซานจ์ ซึ่งจะช่วยให้เขาได้รับการปล่อยตัวจากการควบคุมตัวของสหราชอาณาจักรโดยทันที”

 

อ่านต่อ: https://bit.ly/4aAE3zC

 

----- 

 

โลก: บริษัทขนาดใหญ่ต้องลงมือทำมากกว่านี้เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนและจำกัดความเสียหายจากสภาพภูมิอากาศ

9 เมษายน  2567  

 

สืบเนื่องจากงานวิจัยที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 9 เมษายน เกี่ยวกับบริษัทใหญ่ 51 แห่งซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาลงมือทำน้อยเกินไปในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อรักษาภาวะโลกร้อนภายในเป้าหมาย ซึ่งนานาประเทศตกลงไว้ที่ 1.5°C ในศตวรรษนี้

แคนดี โอไฟม์ นักวิจัยด้านความยุติธรรมทางสภาพภูมิอากาศของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า ผู้คนที่ได้รับผลกระทบเลวร้ายที่สุดจากภาวะโลกร้อนคือชุมชนชายขอบที่อยู่ในแนวหน้าของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ สิ่งที่ค้นพบเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีความเสี่ยงมากที่สุดอยู่แล้วจะยังคงต้องแบกรับผลจากวัฒนธรรมความไม่รับผิดชอบต่อสภาพภูมิอากาศของบรรษัทที่เกิดขึ้นในห้องประชุมผู้บริหารที่อยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์

“แทนที่จะดำเนินการที่จำเป็นอย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ลุกลามและละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้คนหลายพันล้านคน บริษัทขนาดใหญ่จำนวนมากกลับพยายามหลอกลวงผู้บริโภค ผู้ถือหุ้น และผู้เสียภาษีด้วยการฟอกเขียวและคำมั่นสัญญาที่ว่างเปล่า

“สิ่งเหล่านี้ประกอบด้วยแผนที่คลุมเครือในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียงเล็กน้อย การพึ่งพาเทคโนโลยีที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ หรือบัญชีหรือแผนการชดเชยคาร์บอนที่น่าสงสัย ในขณะเดียวกันบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลหลายแห่งยังคงขยายการดำเนินงานและดำเนินธุรกิจตามปกติ

“ตอนนี้รัฐบาลต้องก้าวเข้ามาเพื่อใช้กฎระเบียบและนโยบายที่บังคับให้ผู้มีบทบาทองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งหลายแห่งเป็นของรัฐหรือรัฐให้การสนับสนุน เพื่อเร่งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างแท้จริง และดำเนินการอย่างแข็งขันต่อผู้ที่ไม่ทำอะไรเลยเพื่อลดภาวะโลกร้อน”

 

อ่านต่อ: https://bit.ly/4aYogKL

 

----- 

 

จอร์แดน: ต้องหยุดปราบปรามการชุมนุมสนับสนุนฉนวนกาซา และปล่อยตัวผู้ถูกตั้งข้อหาจากการใช้สิทธิในเสรีภาพการชุมนุมประท้วงและการแสดงออก

11 เมษายน  2567

 

ทางการจอร์แดนจะต้องยุติการปราบปรามการชุมนุมสนับสนุนฉนวนกาซา และปล่อยตัวนักกิจกรรมหลายสิบคนที่ถูกควบคุมตัวอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายเพียงเพราะการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาลต่ออิสราเอลโดยสงบในทันที แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวเมื่อวันที่ 11 เมษายน

ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2566 ทางการจอร์แดนได้จับกุมผู้คนอย่างน้อย 1,500 คน ซึ่งรวมถึงประมาณ 500 คนที่ถูกควบคุมตัวตั้งแต่เดือนมีนาคม หลังจากการชุมนุมครั้งใหญ่นอกสถานทูตอิสราเอลในอัมมานในเดือนมีนาคม

เรนา เวห์บี เจ้าหน้าที่ฝ่ายรณรงค์ประจำประเทศจอร์แดน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า รัฐบาลจอร์แดนจะต้องปล่อยตัวทุกคนที่ถูกควบคุมตัวโดยพลการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวสนับสนุนปาเลสไตน์ในทันที รัฐบาลต้องประกันว่าผู้ชุมนุมประท้วงและนักกิจกรรมจะมีเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาลต่ออิสราเอลอย่างสงบ โดยไม่ถูกกองกำลังความมั่นคงโจมตีหรือถูกจับกุมอย่างรุนแรง

วิดีโอที่ได้รับการตรวจสอบโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล แสดงให้เห็นว่ากองกำลังความมั่นคงของจอร์แดนนอกสถานทูตอิสราเอลเมื่อวันที่ 25, 26 และ 27 มีนาคม ได้สลายการชุมนุมโดยใช้แก๊สน้ำตา ปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงอย่างรุนแรงโดยใช้กระบอง รวมทั้งไล่ล่าและทุบตีบุคคลอื่นๆ ขณะที่นำตัวออกจากถนน

ผู้ชุมนุมประท้วงอย่างน้อย 165 คนถูกจับกุมระหว่างวันที่ 24- 27 มีนาคม ขณะที่หลายสิบถูกควบคุมตัวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งทนายความของผู้ถูกควบคุมตัวได้บอกกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลว่า หลายสิบคนยังคงถูกควบคุมตัวเพื่อรอการพิจารณาคดี ในขณะที่อย่างน้อย 21 คนถูกควบคุมตัวด้วยด้วยคำสั่งของฝ่ายบริหารอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายตามคำสั่งของผู้ว่าการเมืองอัมมาน แม้ว่าพนักงานอัยการจะอนุญาตให้ปล่อยตัวก็ตาม

ทนายความและนักกิจกรรมบอกกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ทางการจอร์แดนยังได้กำหนดข้อจำกัดใหม่เกี่ยวกับการชุมนุมประท้วงสนับสนุนปาเลสไตน์ รวมถึงการห้ามถือธงปาเลสไตน์และแบนเนอร์ที่มีสโลแกนบางอย่าง และห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าร่วมด้วย พวกเขายังถูกห้ามไม่ให้มีการชุมนุมประท้วงต่อเนื่องหลังเที่ยงคืนอีกด้วย

นอกจากนี้ ผู้ชุมนุมหลายสิบคนยังถูกตั้งข้อหาภายใต้กฎหมายอาชญากรรมไซเบอร์ที่กดขี่ของจอร์แดน จากการโพสต์บนโซเชียลมีเดีย ซึ่งพวกเขาเพียงแสดงการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ วิพากษ์วิจารณ์ข้อตกลงสันติภาพของทางการกับอิสราเอล หรือเรียกร้องให้มีการชุมนุมประท้วงโดยสงบและการนัดหยุดงาน กฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ที่กว้างเกินไปของจอร์แดนยังเอาผิดทางอาญากับคำพูดใดๆ ที่ละเมิดเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอีกด้วย

 

อ่านต่อ: https://bit.ly/4cZQdDU