แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลชี้ว่า ชุมชนชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ตอนเหนือของเมียนมากำลังเผชิญกับการบังคับใช้แรงงาน วิกฤติด้านอาหารและสุขภาพ การจำกัดเสรีภาพในการเดินทางอย่างเข้มงวดและความขัดแย้งทางอาวุธที่ทวีความรุนแรงขึ้น พร้อมเตือนถึงการตัดสินใจส่งผู้ลี้ภัยจากบังคลาเทศกลับเมียนมาอย่างเร่งร้อนนั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติจะจัดการประชุมระดับสูงว่าด้วยสถานการณ์ของชาวโรฮิงญามุสลิมและชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ในเมียนมา โดยการประชุมครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดทำแผนให้ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญากว่าหนึ่งล้านคนที่อาศัยอยู่ในบังกลาเทศสามารถเดินทางกลับบ้านเกิดในเมียนมาได้ หลังจากที่ชาวโรฮิงญาส่วนใหญ่ถูกกองทัพขับไล่อย่างรุนแรงให้ออกจากเมียนมาในปี 2559 และ 2560
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้สัมภาษณ์ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาจำนวน 15 คนที่เดินทางมาถึงบังกลาเทศภายในปีที่ผ่านมา ล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 ผู้ลี้ภัยเหล่านี้ซึ่งมาจากทั้งเมืองมองดอ (Maungdaw) และเมืองบูตีต่อง (Buthidaung) ทั้งสองเมืองถูกกองทัพอาระกัน (Arakan Army) ยึดไปจากกองทัพเมียนมาในปี 2567 นอกจากนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ยังได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ขององค์การสหประชาชาติ นักการทูต นักวิจัย และองค์กรด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศอื่นๆ อีกด้วย
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ยังได้พบปะกับตัวแทนจากฝ่ายการเมืองและมนุษยธรรมของกองทัพอาระกัน ได้แก่ องค์กรสหสันนิบาตแห่งอาระกัน (the United League of Arakan – ULA) และสำนักงานประสานงานด้านมนุษยธรรมและการพัฒนา (the Humanitarian and Development Coordination Office – HDCO)
“สภาพการณ์ในรัฐยะไข่ตอนเหนือของเมียนมายังห่างไกลจากความพร้อมที่จะให้ชาวโรฮิงญาเดินทางกลับคืนถิ่นฐานได้อย่างปลอดภัย”
โจ ฟรีแมน นักวิจัยด้านเมียนมาของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
“ในสายตาของชาวโรฮิงญาจำนวนมาก กองทัพอาระกันได้กลายเป็นผู้กดขี่แทนที่กองทัพเมียนมา เนื่องจากกองทัพเมียนมากำลังใช้พลเรือนชาวโรฮิงญาเป็นโล่มนุษย์ในการต่อสู้กับกองทัพอาระกัน ขณะเดียวกัน กลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงญาก็กำลังเปิดฉากการโจมตีครั้งใหม่ในพื้นที่ดังกล่าวด้วย การที่สหรัฐฯ ลดความช่วยเหลือลงอย่างมากนั้น ยิ่งซ้ำเติมวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรม ซึ่งกำลังขาดแคลนเสบียงและราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
”แม้ว่าการประชุมในวันนี้จะให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับวิกฤตชาวโรฮิงญาในเวทีระดับนานาชาติ แต่ความพยายามใดๆ ที่จะผลักดันการส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับประเทศโดยไม่จัดการกับอันตรายร้ายแรงที่ชุมชนต่างๆ กำลังเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นชาวโรฮิงญา ชาวยะไข่และชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ในบังกลาเทศและเมียนมาร์ อาจจะก่อให้เกิดหายนะได้”
นี่ไม่ใช่ประเทศของพวกคุณ
พื้นที่ทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ในเมียนมา ซึ่งมีพรมแดนติดกับบังกลาเทศ ขณะนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพอาระกัน ในเวลาเดียวกัน กองทัพเมียนมายังคงควบคุมเมืองซิตตเว เมืองหลวงของรัฐ ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการลำเลียงความช่วยเหลือและการคมนาคม
ในเดือนพฤศจิกายน 2566 กองทัพอาระกัน ซึ่งมีความเชื่อมโยงอย่างหลวมๆ กับกลุ่มติดอาวุธฝ่ายค้านจำนวนมากและหลากหลายกลุ่มที่ต่อสู้กับกองทัพเมียนมานับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2564 ได้เริ่มเปิดฉากโจมตีพร้อมรุกที่ขับไล่กองทัพเมียนมาออกจากพื้นที่ส่วนใหญ่ในทางตอนเหนือของรัฐ ปัจจุบันกองทัพอาระกันมีอำนาจอย่างเต็มที่ในการควบคุมพรมแดนระหว่างเมียนมากับบังกลาเทศ
ความตึงเครียดที่สั่งสมมาอย่างยาวนานระหว่างประชากรชาวยะไข่ที่นับถือศาสนาพุทธกับประชากรชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ที่นับถือศาสนาอิสลาม ถูกกองทัพเมียนมาใช้ประโยชน์โดยทางกองทัพได้ทำงานร่วมกับกลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงญาและบังคับเกณฑ์พลเรือนชาวโรฮิงญาให้เข้าร่วมการสู้รบกับกองทัพอาระกันซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ
เนื่องด้วยความขัดแย้งทางอาวุธ พลเรือนชาวโรฮิงญาและชาวยะไข่ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกองทัพอาระกันและกองทัพเมียนมา ซึ่งได้ปิดกั้นเมืองซิตตเว เมืองหลวงของรัฐในการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม อีกทั้งยังได้ดำเนินการโจมตีทางอากาศโดยไม่เลือกเป้าหมายซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปจำนวนมาก เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา มีรายงานว่าการโจมตีทางอากาศของกองทัพได้สังหารนักศึกษาชาวยะไข่อย่างน้อย 19 ราย ขณะที่นักศึกษาเหล่านั้นกำลังนอนหลับ
จากข้อมูลของสำนักงานผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ มีชาวโรฮิงญาหลายแสนคนต้องพลัดถิ่นภายในประเทศ และมีชาวโรฮิงญาทั้งชาย หญิงและเด็กมากกว่า 150,000 คน หลบหนีข้ามพรมแดนไปยังค่ายผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศในช่วง 20 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้จำนวนผู้ลี้ภัยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.2 ล้านคน
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล และองค์กรอื่นๆ ได้บันทึกการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นต่อพลเรือนโดยกองทัพอาระกัน รวมถึงการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมายและการควบคุมตัวโดยพลการ
สำหรับพลเรือนชาวโรฮิงญา ชีวิตภายใต้การปกครองของกองทัพอาระกันในรัฐยะไข่นั้นให้ความรู้สึกเจ็บปวดคล้ายคลึงกับชีวิตภายใต้การปกครองของกองทัพเมียนมา หลายคนกล่าวว่าสถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาถูกกองทัพอาระกันสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่าเชื่อมโยงกับกลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงญา รายงานของสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 2 กันยายน ระบุว่า “การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของชาวโรฮิงญาที่รัฐบาลก่อนหน้านี้ได้กำหนดไว้ ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่” และเช่นเดียวกับกองทัพเมียนมา กองทัพอาระกันปฏิเสธอัตลักษณ์ของชาวโรฮิงญาโดยเรียกพวกเขาว่าชาวเบงกาลีหรือชาวมุสลิมเท่านั้น
ตัวแทนของกองทัพอาระกันโต้แย้งว่าพวกเขาเป็นเหยื่อของการโฆษณาชวนเชื่อที่ถูกยุยงโดยนักกิจกรรมชาวโรฮิงญาและกลุ่มติดอาวุธ
จากคำให้การที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล รวบรวมได้ระบุว่า ชุมชนชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ตอนเหนือต้องเผชิญกับข้อจำกัดในการเดินทางอย่างเข้มงวดจากกองทัพอาระกัน ข้อห้ามที่มีลักษณะของการเลือกปฏิบัติในการทำประมงหรือทางเลือกในการยังชีพอื่นๆ การบังคับใช้แรงงาน และการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ การศึกษาและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่ไม่เพียงพอ นอกจากนี้ พวกเขายังคงเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บสาหัสจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ชายวัย 20 ปีรายหนึ่งเล่าว่า ขณะที่ทหารของกองทัพอาระกันกำลังพาเขาและสมาชิกในครอบครัวไปยังค่ายผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ (Internally Displaced Persons – IDPs) เขาเห็นคนอย่างน้อยสี่คนสูญเสียแขนขาจากการเหยียบกับระเบิด
ชายวัย 60 ปีที่หนีออกจากเมียนมาพร้อมครอบครัวในเดือนกรกฎาคม 2568 เล่าถึงชีวิตในค่ายผู้พลัดถิ่นภายในประเทศในเมืองบูตีต่อง ซึ่งเขาถูกย้ายออกไปหลังจากที่กองทัพอาระกันเข้ายึดเมืองบูตีต่องจากกองทัพเมียนมาในเดือนพฤษภาคม 2567 เขาเล่าว่ากองทัพอาระกันกำลังตามหาสมาชิกของกลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงญาที่ค่ายดังกล่าวและทางกองทัพอาระกันก็ได้ “สุ่มจับผู้คนจากฝูงชนและทำให้เขาเหล่านั้นหายไป”
ประชาชนที่อาศัยอยู่ในค่ายยังถูกบังคับให้ทำงาน รวมถึงในพื้นที่แนวหน้าของการสู้รบด้วย
“พวกเขาบังคับให้เราแบกหินและอิฐไปยังจุดตรวจของพวกเขา เรียงซ้อนอิฐและหินเหล่านั้นไว้ในขณะที่เราหิวและกระหายอย่างมาก และเนื่องจากว่าผมอายุเยอะแล้ว พวกเขาไม่ได้บังคับให้ผมทำงานทั้งหมดนั้น แต่ลูกๆ ของผมต้องทำมากกว่า 10 ครั้ง…ถ้าเราไม่ยอมทำงาน [สมาชิกกองทัพอาระกัน] ก็จะตีเราอย่างหนักและ บังคับให้เรานอนคว่ำหน้าขณะที่พวกเขาตีเรา”
ประชาชนที่เคยอาศัยอยู่ในค่ายผู้พลัดถิ่นภายในประเทศในเมียนมาก่อนที่จะหลบหนีไปบังกลาเทศเล่าว่า พวกเขาแทบไม่ได้กินอาหารเลย พวกเขาต้องพึ่งข้าวและน้ำจากบ่อโคลน และเด็กๆ บางคนเสียชีวิตหลังจากเกิดอาการท้องเสียเพราะกินของเหล่านั้น
“พวกเขา [กองทัพอาระกัน] ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเลย แทบจะดูเหมือนว่าพวกเขามีความสุขด้วยซ้ำเมื่อมีคนตาย” ชายวัย 60 ปีกล่าว “พวกเขาจะพูดว่า ‘นี่ไม่ใช่ประเทศของพวกคุณ นี่คือประเทศของเรา แผ่นดินของเรา น้ำของเรา อากาศของเรา ไม่มีสิ่งใดที่นี่ที่เป็นของพวกคุณเลย ออกไปจากประเทศของเรา”
กองทัพอาระกันบอกกับประชาชนว่าหากพวกเขาไม่ปฏิบัติตามกฎหรือปไม่ทำงาน พวกเขาจะถูกขับไล่ออกจากเมียนมา
ไม่มีโรงเรียน ไม่มียารักษา และไม่มีความช่วยเหลือใดๆ
ชายวัย 25 ปี ซึ่งพลัดถิ่นจากบ้านในเมืองบูตีต่องเป็นเวลาแปดเดือนก่อนที่จะมาถึงบังกลาเทศในเดือนมกราคมของปีนี้ กล่าวว่าสภาพความเป็นอยู่ในค่ายผู้พลัดถิ่นภายในประเทศที่เขาอาศัยอยู่นั้น “เลวร้ายมาก”
“เราไม่มีโรงเรียน ไม่มียารักษา ไม่มีอาหาร และไม่มีความช่วยเหลือใดๆ บางครั้งเราต้องแอบลักลอบนำข้าวกลับมาจากหมู่บ้านที่ยังไม่ได้ถูกเผา เราใช้น้ำจากบ่อน้ำเพียงแห่งเดียวที่เหลืออยู่ อีกทั้งเรายังต้องได้รับอนุญาตจากกองทัพอาระกันก่อนจึงจะสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้”
เขาเล่าว่าพี่ชายของเขาถูกกองทัพอาระกันยิงและได้รับบาดเจ็บ ขณะที่ทหารกำลังพยายามบังคับย้ายผู้คนจำนวนมากและพวกเขาเคลื่อนไหวไม่เร็วพอ ในอีกกรณีหนึ่ง ชายคนดังกล่าวเล่าว่ากองทัพอาระกันสงสัยว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงญา จึงเริ่มทุบตีเขาเพื่อหาข้อมูล และเมื่อภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ของเขาขอให้หยุด พวกเขาก็ทุบตีเธอด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งคู่เชื่อว่านั่นเป็นสาเหตุของปัญหาด้านพัฒนาการของทารกหลังคลอด
“กองทัพอาระกันปฏิบัติต่อพวกเราแย่ยิ่งกว่ากองทัพเมียนมาเสียอีก ทุกครั้งที่เกิดการสู้รบระหว่างสองฝ่าย พวกเขาจะบังคับให้เราทำความสะอาดพื้นที่โดยรอบหลังการสู้รบ เก็บศพและเศษซากต่างๆ แล้วนำไปทิ้งลงแม่น้ำ ผมถูกบังคับให้ทำเช่นนี้มากกว่า 10 ครั้งโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ทุกครอบครัวถูกบังคับให้ต้องส่งคนที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีถึง 70 ปีเพื่อไปเป็นแรงงาน หากใครปฏิเสธก็จะถูกทุบตี” เขากล่าว
หญิงวัย 35 ปี ซึ่งเดินทางมาถึงบังกลาเทศในเดือนมกราคม 2568 หลังจากที่เธอต้องเดินเท้าข้ามภูมิประเทศที่เป็นภูเขาเป็นเวลา 5 วันพร้อมกับลูกๆ ของเธอ เธอกล่าวว่า ชาวนาต้องจ่ายภาษีข้าวให้กับกองทัพอาระกัน และชาวโรฮิงญาต้องยื่นคำร้องโดยต้องเสียค่าธรรมเนียมเพื่อขออนุญาตเดินทาง
“ภายใต้การควบคุมของกองทัพอาระกัน ทุกครัวเรือนถูกบังคับให้จัดเวรยามกลางคืน ซึ่งอาจเป็นเด็กชายอายุตั้งแต่ 10 ขวบไปจนถึงชายวัย 70 ปี อีกทั้งยังถูกบังคับให้ส่งสมาชิกในครอบครัวไปเป็นแรงงานอย่างน้อยเดือนละ 5 ครั้ง” เธอเล่า พร้อมเสริมว่าชายหนุ่มจะถูกเกณฑ์ให้ไปรบด้วย “หากใครปฏิเสธ ก็จะถูกสั่งให้ออกจากประเทศนี้ หรือไม่ก็จะถูกลงโทษ”
คำอธิบายเกี่ยวกับข้อจำกัดด้านการเดินทางที่กองทัพอาระกันกำหนดนั้นสอดคล้องกับรายละเอียดในเอกสารการเดินทางที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้รับ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการต้องได้รับอนุญาตเพื่อที่จะเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ผู้ให้สัมภาษณ์รายหนึ่งเล่าว่าเอกสารการเดินทางที่บังคับใช้นั้นมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและต้องเสียค่าใช้จ่าย บางฉบับมีอายุเพียงสองวัน ขณะที่ผู้ให้สัมภาษณ์อีกรายหนึ่งเล่าว่ากองทัพอาระกันจะอนุญาตให้ประชาชนออกจากบ้านได้เพียงจำนวนจำกัดเพื่อไปทำธุระพื้นฐาน และอนุญาตให้เพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ การบังคับใช้แรงงานถูกนิยามว่าเป็นงานหรือบริการใดๆ ที่เรียกร้องจากบุคคลหนึ่งภายใต้การข่มขู่ด้วยการลงโทษใดๆ และบุคคลนั้นไม่ได้สมัครใจที่จะทำงานนั้นด้วยตนเอง
เพื่อตอบโต้ต่อข้อกล่าวหาเหล่านี้ ตัวแทนของกองทัพอาระกันกล่าวกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลว่า กองทัพไม่ได้บังคับใช้แรงงานพลเรือน แต่ผู้ถูกคุมขัง เช่น นักโทษคดีอาญาหรือเชลยศึก บางครั้งก็จะถูกสั่งให้ทำงานหรือได้รับมอบหมายงานบางอย่างเพื่อเป็น “การออกกำลังกาย” พวกเขากล่าวว่ากิจกรรมทำความสะอาดใดๆ หลังเกิดความขัดแย้งขึ้นนั้น เป็นงานอาสาสมัครชุมชน และแม้ว่าจะมีค่าธรรมเนียมสำหรับเอกสารอนุญาตเดินทาง แต่ก็อยู่ที่ประมาณ 2,000 ถึง 3,000 จ๊าดเมียนมา หรือประมาณ 1 ถึง 1.50 ดอลลาร์สหรัฐ
พวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้ตกปลา
ในเดือนสิงหาคม โครงการอาหารโลก (The World Food Programme – WFP) กล่าวว่า “ความขัดแย้ง การปิดล้อมและการตัดงบประมาณ ซึ่งเป็นการผสมผสานความเลวร้ายที่ร้ายแรงนี้ ส่งผลให้ความหิวโหยและภาวะทุพโภชนาการเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก” พร้อมเสริมอีกว่า ในรัฐยะไข่ตอนกลาง จำนวนครอบครัวที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการอาหารขั้นพื้นฐานได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 57 เมื่อเทียบกับร้อยละ 33 ในเดือนธันวาคม 2567 ทั้งยังกล่าวอีกว่าสถานการณ์ในรัฐยะไข่ตอนเหนือ ซึ่งองค์กรระหว่างประเทศไม่ได้เข้าไปดำเนินการใดๆ นั้นมีแนวโน้มว่าน่าจะ “เลวร้ายกว่ามาก”
ชายวัย 45 ปี ซึ่งเดินทางมาถึงบังกลาเทศในเดือนกรกฎาคม 2568 เล่าว่า ชาวยะไข่ที่นับถือศาสนาพุทธในเมืองบูตีต่องได้รับอนุญาตให้ทำการประมงและสัญจรไปมาได้อย่างอิสระ ในขณะที่ชาวโรฮิงญาไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้นได้
“พวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้ตกปลาหรือไปที่แม่น้ำ เราไม่สามารถทำงานหรือซื้ออาหารได้เลย กองทัพอาระกันเริ่มเรียกเก็บเงินจากพวกเรา พวกเราถูกบังคับให้ใช้แรงงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง อีกทั้งยังถูกห้ามไม่ให้เดินทางระหว่างหมู่บ้านด้วย ใครก็ตามที่ปฏิเสธกองทัพก็จะถูกลงโทษอย่างรุนแรง” เขาเล่า พร้อมเสริมว่าการลงโทษนั้นรวมถึงการถูกควบคุมตัวและถูกปฏิเสธไม่ให้ได้รับอาหารด้วย
“วันหนึ่ง ผมพยายามออกไปตกปลาเพื่อประทังชีวิต กองทัพอาระกันจับตัวผมไว้ ทุบตีผมด้วยปืนไรเฟิล…และเอาปลาที่ผมจับได้ไป”
ตัวแทนกองทัพอาระกันบอกกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลว่า ข้อจำกัดด้านการเดินทางและการประกอบอาชีพไม่ได้เป็นการเลือกปฏิบัติ และมีผลบังคับใช้กับชุมชนชาวยะไข่ด้วย พวกเขากล่าวว่าเนื่องจากความขัดแย้งทางอาวุธที่เกิดขึ้น ข้อจำกัดเหล่านี้มีความจำเป็นเพื่อความมั่นคงของชุมชน พวกเขายังกล่าวเสริมอีกว่า ชาวโรฮิงญา ซึ่งพวกเขาเรียกว่าชาวมุสลิม ได้รับการจัดหางาน สิทธิและเสรีภาพของชาวมุสลิมจะได้รับการเติมเต็มและได้รับการคุ้มครอง โดยพวกเขาได้ยกตัวอย่างให้เห็นถึงการเปิดมัสยิดในเมืองมองดอ ซึ่งถูกปิดมานานให้สามารถกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง
“เรายินดีกับทุกการกระทำของกองทัพอาระกันที่ได้มอบสิทธิที่ถูกปฏิเสธมานานให้กับชุมชนชาวโรฮิงญา และเราหวังว่าคำมั่นต่อสาธารณะของพวกเขาซึ่งครอบคลุมในเรื่องของการมีส่วนร่วม ความยุติธรรมและความรับผิดชอบจะสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง พวกเขาต้องหลีกเลี่ยงการนำเสนอภาพลักษณ์หนึ่งต่อประชาคมระหว่างประเทศ แต่กระทำต่อชาวโรฮิงญาในภาพลักษณ์อื่น” ฟรีแมนกล่าว
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือต้องการนัดสัมภาษณ์ กรุณาติดต่อ: [email protected]




