เพราะฮีโร่ล้วนเป็นคนธรรมดา: “Activerse” ชวนค้นหาพลังพิเศษของคุณ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง

หากจะกล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ หนึ่งเหตุการณ์ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือการชุมนุมใหญ่ที่เกิดขึ้นหลายครั้ง ใน พ.ศ. 2563 – 2564 ที่ไม่เพียงแต่โดดเด่นที่ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นเยาวชนและคนรุ่นใหม่เท่านั้น แต่พลังมหาศาลของกลุ่มคนเหล่านี้ได้แสดงออกผ่านเสียงตะโกนโห่ร้อง คำปราศรัยที่ทรงพลัง และความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบการชุมนุมที่หลากหลาย รวมทั้งข้อเสนอที่แหลมคมจน “ทะลุเพดาน” อย่างที่ไม่เคยปรากฏในการลุกฮือครั้งใดของประชาชน แม้หลายครั้งจะต้องเผชิญกับการปราบปรามโดยเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าพลังของผู้ชุมนุมจะลดลงแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ ภาพอันทรงพลังเหล่านี้กลับจางหายไป ทุกวันนี้การชุมนุมทางการเมืองกลายเป็นเรื่องเล่าที่ถูกบันทึกไว้ในสื่อต่างๆ ขณะที่คนรุ่นใหม่ต่างแยกย้ายกันไปตามเส้นทางของตัวเอง เหลือเพียงอดีตแกนนำผู้ชุมนุมที่ยังปรากฏตัวตามสื่อและการเคลื่อนไหวต่างๆ ทว่าพลังกลับไม่ได้มากเท่ากับเมื่อ 5 ปีก่อน พลังที่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงของคนรุ่นใหม่หายไปแล้วจริงหรือไม่ และพวกเขาอยู่ที่ไหน ทำอะไรในตอนนี้?

 © Supanut Arunoprayote

คนรุ่นใหม่หายไปไหน?

จริงอยู่ที่ผู้ที่ชุมนุมเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลายคนถูกกล่าวหาด้วยข้อหาความมั่นคง และถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำเป็นจำนวนมาก ทว่ายังมี (อดีต) ผู้ชุมนุมอีกมากมายที่กลับไปใช้ชีวิตตามปกติของตัวเอง ไม่ว่าจะกลับไปเรียน หรือทำงาน โดยยังมีพื้นที่อย่างโซเชียลมีเดียให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์รัฐของพวกเขายังคงดังอยู่

รศ.ดร. กนกรัตน์ เลิศชูสกุล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เขียนหนังสือ “สงครามเย็น (ใน) ระหว่างโบว์ขาว” และเป็นผู้สังเกตการณ์การเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ตั้งแต่ พ.ศ. 2563 ให้ความเห็นว่า จากการชุมนุมเมื่อ 5 ปีก่อนนั้น ในแง่ข้อเสนอยังไม่มีข้อใดที่ประสบความสำเร็จ หลังจากการชุมนุมทางการเมืองปิดม่านลง ฉากใหม่ที่เกิดขึ้นก็คือ คนรุ่นใหม่ต่างกลับไปทำหน้าที่ที่พวกเขาควรจะทำตั้งแต่แรก นั่นคือการเรียนหนังสือ 

“เขาต้องไปสั่งสมความเข้าใจ ทำความเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงจริงๆ มันมีกลไกอะไรบ้าง เพราะตอนชุมนุมเรารู้อย่างเดียวว่าต้องเรียกร้อง กดดันรัฐบาล แต่เราไม่เข้าใจเลยว่าการเปลี่ยนแปลงกฎหมายทำอย่างไร เรารู้แต่การระดมผู้คน แต่เราไม่รู้เรื่องการจัดสร้างเครือข่ายเพื่อสร้างความเข้มแข็งในภาคประชาชน มันเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับคนที่เป็นแกนนำในการชุมนุมประท้วง เพราะการชุมนุมในโลกปัจจุบันคือการทำโซเชียลมีเดีย จัดการชุมนุม เจรจากับตำรวจ นั่นเป็นทักษะที่พัฒนาในช่วงนั้น แต่มันไม่ใช่การพัฒนาเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมจริงๆ เพราะฉะนั้น วงจรชีวิตของนักศึกษาจริงๆ ก็คือต้องกลับมาเรียนหนังสือ กลับมาทำความเข้าใจต่อกลไกในการเปลี่ยนแปลงสังคมจริงๆ” กนกรัตน์อธิบาย

นอกจากนี้ อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้การชุมนุมของคนรุ่นใหม่หายไป คือการที่รัฐบาลทั่วโลกปรับตัวและพร้อมรับมือกับการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ โดยใช้วิธีการอย่างนิติสงคราม โซเชียลมีเดีย และสร้างไมโครอินฟลูเอนเซอร์ของตัวเอง คนรุ่นใหม่เองก็ต้องเรียนรู้ที่จะยกระดับขบวนการของตัวเองไปด้วย จากกลุ่มเคลื่อนไหวเล็กๆ ที่กระจัดกระจายไปตามการชุมนุม ก็เริ่มก่อร่างสร้างตัวในฐานะองค์กรภาคประชาสังคม ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัด คือการถือกำเนิดขององค์กรภาคประชาสังคมหน้าใหม่หลายองค์กร ที่ยกระดับการรณรงค์ไปสู่การสร้างความรู้ความเข้าใจ การทำโครงการกับกลุ่มเป้าหมายที่มีปัญหาและยังไม่ได้รับการแก้ไข และการผลักดันกฎหมายในเชิงนโยบาย

“เราต้องบอกว่าเขาไม่ได้หายไป รูปแบบการทำงานของเขาเปลี่ยนแปลงไป และมันเปลี่ยนแปลงการทำงาน สำคัญมากก็คือ จากแค่การระดมผู้คนผ่านความโกรธ ความกลัว ความเกลียดชัง (Mobilization) กลายเป็นเครือข่ายเชิงสร้างสรรค์ (Constructive Network) ที่นำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบาย ซึ่งเขาก็จะเปลี่ยนไปสู่อีกรูปแบบหนึ่งที่จะทำงานในการสร้างเครือข่ายและทำให้เกิดการผลักดันไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระยะยาว” กนกรัตน์กล่าว

ในขณะที่หลายประเทศ หลังการชุมนุมยุติลงด้วยชัยชนะของประชาชน แต่ข้อเรียกร้องกลับไม่ได้ถูกนำไปสู่สถาบันทางการเมือง กลายเป็นว่าข้อเรียกร้องต่างๆ ก็หายไป พร้อมกับผู้นำคนใหม่ที่เข้ามายึดอำนาจต่อ แต่สำหรับประเทศไทย สถาบันทางการเมือง เช่น พรรคการเมืองต่างๆ ได้ทำหน้าที่ “ดูดซับ” ความตึงเครียดในการชุมนุมบนท้องถนน เข้าไปสู่ระบบรัฐสภา ที่ให้ทางเลือกใหม่แก่ผู้คน

จากพื้นที่การต่อสู้บนท้องถนน ซึ่งมีต้นทุนสูง อันตราย แล้วก็ไม่เห็นชัยชนะ พรรคการเมืองเหล่านี้ดูดซับความตึงเครียด และทำให้คนมีทางเลือกในการไปต่อสู้ในพื้นที่ที่มีต้นทุนต่ำกว่า คุณไปฟังปราศรัย มู้ดเดียวกับการชุมนุมเลย คุณไปเลือกตั้ง คุณรู้เลยว่าหนึ่งเสียงของคุณมีความหมาย เพราะฉะนั้น คนรุ่นใหม่ก็รู้ว่าไม่ต้องเหนื่อยขนาดนั้นก็ได้ เพราะว่าการชุมนุมมันเต็มไปด้วยความตึงเครียด และไม่มีการชุมนุมที่ไหนในโลกอยู่ได้นาน และการชุมนุมประท้วงอย่างเดียวเป็นแค่พื้นที่แสดงพลัง อัตลักษณ์ แต่ไม่ใช่พื้นที่ในการเปลี่ยนแปลง” กนกรัตน์กล่าว 

“ให้มันจบที่รุ่นเรา” ไม่มีอยู่จริง?: จาก Silenced Period สู่ Golden Period 

“ม็อบส่วนใหญ่ทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จในวันม็อบเลย จนม็อบเสร็จ มีไม่ถึง 10% มันเป็นปกติ การเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้นหลังจากการชุมนุมทั้งนั้น” นี่คือความจริงข้อหนึ่งที่เราอาจไม่ทันได้รับรู้ ด้วยอุณหภูมิการชุมนุมที่ร้อนแรง พร้อมกับสโลแกนอันเชิญชวนที่ว่า “ให้มันจบที่รุ่นเรา” ซึ่งที่จริงแล้ว การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไม่เคยจบในชั่วอายุคนเดียว แต่เป็น “การต่อสู้ตลอดชีวิต” (Lifelong Struggle) เช่นกรณีการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศ และการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน ซึ่งผ่านการต่อสู้กับการถูกปราบปรามและถูกทำให้เป็นเรื่องผิดกฎหมายมาหลายครั้ง และใช้เวลานานถึง 60 ปี กว่ากฎหมายการแต่งงานของคนเพศเดียวกันจะได้รับการยอมรับ

“การทำความเข้าใจว่าทำไมการชุมนุมหายไป มันก็ต้องประเมินในหลายมิติ และในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งสังคมโลก ต่อให้มันเปลี่ยน มันไม่เคยเปลี่ยนตอนชุมนุมประท้วง มันเปลี่ยนหลังจากชุมนุมประท้วงหลายปี แต่สิ่งที่เราบอกก็คือว่า มันเปลี่ยนจากยุคแห่งความเงียบ (Silenced Period) สู่ยุคทอง (Golden Period) คือเป็นช่วงเวลาที่การเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงมันเติบโตและเบ่งบานในพื้นที่ที่ไม่อันตรายอีกแล้ว” กนกรัตน์กล่าว

จาก Mobilize สู่ Organize ทำอย่างไรให้ทุกคนมีส่วนร่วมในระยะยาว?

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เราพบว่าต้นทุนในการออกมาเรียกร้องและสร้างการเปลี่ยนแปลงนั้นสูงเสมอ หลายคนต้องแลกด้วยชีวิต หลายคนจ่ายด้วยอิสรภาพ และนักเคลื่อนไหวจำนวนไม่น้อยต้องลี้ภัยและไม่อาจกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอนได้อีก ราคาที่ต้องจ่ายจากการกดปราบผู้เห็นต่าง ทำให้เราเชื่ออย่างสนิทใจว่าสังคมไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ยิ่งเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่ยังคงต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดในแต่ละวัน ความหวังในการเปลี่ยนแปลงสังคมก็ยิ่งริบหรี่เต็มที ที่สำคัญก็คือ ชีวิตในวังวนของการอยู่รอดและความหวาดกลัวอำนาจรัฐทำให้เราไม่อาจจินตนาการถึงโลกใบใหม่ที่ดีกว่าได้ 

อย่างไรก็ตาม กนกรัตน์กล่าวว่า ขบวนการเคลื่อนไหวจะเป็นเครื่องมือที่ทำให้ช่องว่างเหล่านี้แคบลง ผ่านพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองที่ลุกขึ้นมาเสนอทางเลือก และทำให้ทุกคนเห็นทางเลือกนั้นอย่างชัดเจน อีกทั้งโซเชียลมีเดียยังเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ทำให้ผู้คนไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ทำให้ทุกคนมองเห็นกันและกันได้โดยไม่ต้องออกไปอยู่บนท้องถนน

“มันเป็นชุดบทเรียนที่คนค่อยๆ เรียนรู้ หนึ่งเสียงสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ สังคมไทยเคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว Single Gateway แค่รีเฟรช กฎหมายยกเลิกเลย ไปเลือกตั้ง อนาคตใหม่ชนะ คนก็ค่อยๆ ใช้เสียงของตัวเอง จนคนรุ่นนี้เชื่อจริงๆ ว่าหนึ่งเสียงสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ คือมันต้องมาจากการสะสมความเชื่อว่ามันเป็นไปได้” กนกรัตน์กล่าว

จากการระดมมวลชนที่ประสบความสำเร็จหลายครั้งในอดีต สู่วันที่ขบวนการคนรุ่นใหม่พัฒนาสู่รูปแบบใหม่ ความท้าทายที่สำคัญไม่ใช่แค่การต่อสู้กับอำนาจรัฐที่กดทับประชาชนเท่านั้น แต่โจทย์ใหญ่คือ “ทำอย่างไรให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวในระยะยาว” กนกรัตน์มองว่า ขบวนการคนรุ่นใหม่จำเป็นต้อง “Organize” ได้แก่ การยกระดับความรู้ความเข้าใจโครงสร้างทางการเมือง การนำเสนอบทเรียนจากความสำเร็จในที่อื่นๆ ทั่วโลก รวมทั้งการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ สร้างความเป็นเพื่อน เพื่อการทำงานในระยะยาว ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องใช้พลังงานและทรัพยากรมากกว่าการระดมมวลชน

“มันต้องทำให้เขาเชื่อจริงๆ ว่าสิ่งที่เขาทำมันต้องทำอย่างต่อเนื่อง และเขาต้องสนุก อยู่ได้กับมัน ไม่ทำให้เขารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่แปลกแยก ซึ่งอันนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่เรียกว่ายังอยู่ระหว่างทางนะ องค์กรจำนวนมากยังไม่ประสบความสำเร็จ และองค์กรรุ่นใหม่ๆ ยังเน้นงานระดมมวลชนอยู่” กนกรัตน์กล่าว

เพราะฉะนั้น สังคมไทยและสังคมโลกไม่ใช่ว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ต้องใช้เวลา แรงกาย แรงใจ แม้ว่าจะต้องสู้กันไปชั่วชีวิตก็ตาม

“Activerse” คุณคือใครในขบวนการสร้างการเปลี่ยนแปลง

“ไปม็อบ” หรือ “ไม่ไปม็อบ” เป็นคำถามที่น่าจะอยู่ในบทสนทนาของหลายคนในช่วงการชุมนุมเมื่อ พ.ศ. 2563 – 2564 แต่สำหรับปัจจุบันที่การชุมนุมไม่ใช่หนทางในการแสดงพลังกระแสหลัก และขบวนการคนรุ่นใหม่ได้แปรสภาพสู่การเป็นกลุ่มองค์กรเพื่อสังคม คำถามจึงมากกว่าการเลือกที่จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วม แต่คือการหาตำแหน่งแห่งที่ของแต่ละคนในขบวนการเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง

เพื่อชวนคนรุ่นใหม่สำรวจคำถามนั้น แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยจึงเปิดตัว “Activerse” เว็บไซต์อินเตอร์แอคทีฟภายใต้คอนเซ็ปต์ “Gamified Activism” ที่ให้ทุกคน “เล่น–เลือก–ค้นพบ” สไตล์การเคลื่อนไหวของตัวเอง ผ่านแบบทดสอบบุคลิกภาพที่ทั้งสนุก เข้าถึงง่าย และไม่ตัดสินใคร

จอนปรอท วงษ์เทศ เจ้าหน้าที่สื่อสารดิจิทัลและผู้จัดการโครงการ เล่าถึงจุดเริ่มต้นว่า

“แรงบันดาลใจมาจากการเห็นคนรุ่นใหม่จำนวนมากอยากเห็นสังคมดีขึ้น แต่รู้สึกว่าการเป็น ‘นักกิจกรรม’ มันไกลตัวเกินไป” จอนปรอทเล่า “พอถามว่าทำอะไรได้บ้าง คำตอบที่เจอคือ ‘ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน’ หรือ ‘มันไม่ใช่ฉัน’ เพราะภาพจำของนักกิจกรรมมักจะเป็นการขึ้นเวที ชูป้าย หรือเดินขบวน ซึ่งเป็นรูปแบบที่ทรงพลังและต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก แต่หลายคนก็รู้สึกว่ายังไม่พร้อม หรือมันอาจไม่ใช่จุดแข็งของตัวเอง”

“Activerse จึงถูกออกแบบให้เป็น ‘พื้นที่ทดลอง’ ที่ปลอดภัยและเป็นมิตร เปิดโอกาสให้ผู้คนได้ลอง เลือก เล่น และค้นพบพลังของตัวเองโดยไม่ต้องพิสูจน์ให้ใครเห็น พร้อมทั้งชวนให้ทุกคนเคลื่อนไหวในแบบที่ถนัด เราใช้ภาษาที่คนรุ่นใหม่คุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็น การ์ตูนคอมิก แบบทดสอบบุคลิกภาพ รวมไปถึงการเล่าเรื่องแบบอินเตอร์แอคทีฟ เพื่อพาพวกเขาเข้าสู่โลกของการมีส่วนร่วมทางสังคม โดยไม่ทำให้รู้สึกว่ากำลังถูกสอนหรือถูกบรรยาย แต่เปิดพื้นที่ให้ได้ค้นพบคำตอบด้วยตัวเอง”

ภายใน Activerse มีบุคลิกภาพหลายแบบ แต่ละแบบมี “คุณค่าของตัวเอง” เท่าเทียมกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เล่าเรื่อง นักวิเคราะห์ ผู้เชื่อมโยง นักสร้างสรรค์ หรือผู้ที่อยู่เบื้องหลังคอยดูแลผู้อื่น ทุกบทบาทต่างจำเป็นต่อการเคลื่อนไหว

ซึ่ง ACTIVERSE ได้รับความร่วมมือจากทีมนิสิตและบัณฑิตจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการพัฒนาเว็บไซต์ให้เป็นประสบการณ์อินเทอร์แอกทีฟที่สมบูรณ์แบบ โดยเน้นการออกแบบ UX/UI ที่สามารถสื่อสารอารมณ์และสะท้อนตัวตนของแต่ละ Archetype ได้อย่างลึกซึ้ง นำโดย วีระวัฒน์ วนมณฑล นักพัฒนาเว็บไซต์ และ กณิศ สุระจรัส ผู้ออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้ (UI Designer ) ร่วมกับ ปัณณสิษฐ์ จิวะพงศ์ (ผู้ร่วมพัฒนาแนวคิดและการออกแบบเกมอินเตอร์แอ็กทีฟ)

ปัณณสิษฐ์ จิวะพงศ์ หนึ่งในทีมผู้สร้างสรรค์ Activerse กล่าวว่า เว็บไซต์นี้ประกอบขึ้นจากความหลงใหลในตัวละครซูเปอร์ฮีโร่จากค่าย Marvel และความชื่นชอบนิทาน ออกมาเป็นสร้างตัวละครต้นแบบ (Archetypes) 6 ตัว ภายใต้เรื่องราวแนวดิสโทเปีย เกี่ยวกับเมืองที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกแห่งความเงียบ พร้อมแบบทดสอบที่ให้ผู้เล่นทดลองเล่น เพื่อหาคำตอบว่าเขาเป็นใครในการเคลื่อนไหวเพื่อเอาชนะอำนาจมืดที่กดทับสังคมอยู่

สำหรับการออกแบบตัวละครต้นแบบ ทีมผู้สร้างได้ ธนิสร์ วีระศักดิ์วงษ์ หรือ “สะอาด” นักวาดการ์ตูนผู้มีชื่อเสียงจากการสร้างสรรค์ผลงานเกี่ยวกับพลังของเด็ก เยาวชน และคนหนุ่มสาว โดยใน Activerse นี้ เขาได้ทดลองออกแบบซูเปอร์ฮีโร่ให้ดูมีความเป็นเด็กและน่ารัก แต่ว่ายังคงมีกลิ่นอายของการต่อสู้เพื่อประเด็นทางสังคมอยู่

“ซูเปอร์ฮีโร่โดยทั่วไปมักจะเป็นผู้ใหญ่ และเป็นตัวอย่างที่ดีให้เด็กได้ แต่ผมคิดว่า อยากลองให้ตัวละครพวกนี้แสดงความเป็นเด็กไปเลย ผมคิดว่าการแสดงบางอย่างที่มีความเป็นเด็กไปเลย มันเป็นธรรมชาติบางอย่างที่คนในยุคสมัยนี้อาจจะเป็นกัน คือต่อให้โตขึ้นมาในระดับหนึ่ง ก็ยังรักษาความเป็นเด็กไว้ หรือว่าอยากกลับไปสนุกกับความเป็นเด็ก”

ธนิสร์กล่าวว่า คาแรกเตอร์ที่เป็นเด็กช่วยให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ไม่ยาก และเมื่อผู้เล่นสามารถสัมผัสความเป็นเด็กได้ ก็อาจจะทำให้สามารถแทนตัวเองเข้าไปในคาแรกเตอร์ได้ง่าย

“ถ้าเราอยากจะเล่าเรื่องในเชิงการผลักดันการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ตัวละครที่จะเล่ามันก็ไม่พ้นคนรุ่นใหม่หรอก เพราะว่าเซนส์ของตัวละครที่อยู่ในช่วงวัยนั้นมันทำให้คนอ่านเชื่อได้ง่าย ผมแทบไม่ต้องอธิบายอะไรเลย เพราะว่าสปิริตของคนรุ่นใหม่มันชัดอยู่แล้วในมุมมองของคนทั่วไป ว่านี่คือช่วงวัยที่จะผลักดันการเปลี่ยนแปลง” ธนิสร์กล่าว

ซูเปอร์ฮีโร่คือคนธรรมดา

“จริงๆ แล้วพลังพิเศษไม่ได้มาจากการปล่อยแสงหรือทำอะไรได้ แต่มันมาจากการที่คุณไม่ยอมแพ้เมื่อปัญหาอยู่ตรงหน้า และมันมีพลังพิเศษเยอะไปหมดเลยในประวัติศาสตร์เรา” ปัณณสิษฐ์กล่าวถึงสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากการทำงานในโปรเจ็กต์ Activerse 

ปัณณสิษฐ์เล่าว่า ในการพัฒนาเรื่องราวใน Activerse เขาได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่องราวของผู้ที่เคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม รวมทั้งเหตุการณ์ทางการเมืองต่างๆ และทำให้เขาได้เข้าใจว่า “ฮีโร่ทุกคนคือคนธรรมดา”

“สิ่งที่เป็นพลังพิเศษที่แท้จริงของเขา ในเกมอาจจะเป็นคลื่นพลังต้องมนต์ สำหรับกระจายเสียง อาจจะเป็นสายฟ้าไวรัลเร็วปรู๊ดปร๊าดเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวออกไปไม่รู้จบ แต่ความจริงแล้ว พลังพิเศษเหล่านี้ของคนที่เป็นซูเปอร์ฮีโร่จริงๆ มันคือความธรรมดาที่เขารู้ว่าปัญหามันเกิดขึ้นจริง และเขากล้าที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา คุณจะเป็นนักเล่าเรื่อง คุณจะเป็นนักวางแผน คุณจะเป็นผู้พิทักษ์ คุณจะเป็นไฟให้กับกลุ่มขบวนการของคุณ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ตาม จุดแรกเลยคือเขาต้องกล้า”

การค้นพบศักยภาพของตัวเองในการเปลี่ยนแปลงสังคมผ่านการเล่นแบบทดสอบใน Activerse จะนำไปสู่การเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมในโลกจริงได้อย่างไร ธนิสร์มองว่า ความเป็นการ์ตูนของ Activerse นั้นสร้างความรู้สึกที่เป็นมิตร และสามารถเข้าถึงคนได้ทุกวัย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการผลักดันประเด็นต่างให้ไปสู่วงกว้างมากขึ้น

ส่วนกนกรัตน์ก็ได้สะท้อนความเห็นของตัวเองที่มีต่อ Activerse ว่า เรื่องราวในเกมช่วยให้ผู้เล่นรู้สึกได้ว่าเมื่อรัฐบาลอำนาจนิยมเข้ามาบดบังพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ในการแสดงออกของประชาชน ทุกคนย่อมได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกัน Activerse ก็ทำให้มองเห็นทางเลือกที่หลากหลายในการสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และทุกคนมีสิทธิที่ได้มีบทบาทของตัวเองในขบวนการ

“มันทำให้คนรู้ว่า เราต้องเตรียมการนะ เรื่องแบบนี้อาจจะเกิดขึ้นก็ได้ เราเคยผ่านชุดประสบการณ์แบบปี 63 และเราเคยเห็นมาแล้ว ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นในอนาคต เราจะเตรียมตัว เราจะคิด เราจะว่าจุดยืนของเราอย่างไร หรือแม้จะไม่ใช่เรื่องการชุมนุมเท่านั้น เมื่อมันเกิดปัญหาหรือเกิดการคุกคามในปริมณฑลทางสังคมของเรา ปริมณฑลทางเศรษฐกิจของเรา เราจะทำอะไร เราจะทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน” กนกรัตน์กล่าว

พลังยิ่งใหญ่ของคนตัวเล็ก

“ผมคิดว่าคนตัวเล็กๆ มีพลังในแบบของเขาที่ค่อนข้างสำคัญ ยกตัวอย่างเป็นรูปธรรมมากๆ คนที่มีผู้ติดตาม (Follower) เยอะๆ คนที่ตัวใหญ่ๆ สิ่งที่เขาจะสื่อสารมันก็จะแคบลงไปเรื่อยๆ ตามผู้ติดตามที่มันโตขึ้น ขณะเดียวกัน คนที่มีผู้ติดตามน้อยๆ ตัวเล็กๆ เขามีอิสระที่จะพูดมากกว่า แล้วรวมตัวกันในกลุ่มคนเล็กๆ ด้วยกัน มันอาจจะเป็นพลังที่ไปได้ไกลกว่า มีอิสระมากกว่า มีนัยสำคัญ และมีความเป็นประชาธิปไตยกว่าด้วยซ้ำ” ธนิสร์ให้ความเห็น

ในมุมมองของธนิสร์ ความเล็กเป็นสิ่งสำคัญและเป็นเหตุผลที่ทำให้คนรุ่นใหม่ทั่วโลกเป็นกลุ่มคนที่สร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้สำเร็จ ขณะที่คนวัยผู้ใหญ่เต็มไปด้วยข้อจำกัดและความกังวลถึงชีวิตความเป็นอยู่และอนาคต

“ในยุคสมัยใหม่ ความเล็กที่กระจัดกระจายในโลกออนไลน์อาจจะดูเหมือนทำให้การรวมตัวกันทำได้ยากขึ้น ดังนั้น การเรียนรู้ที่จะสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความเห็นอกเห็นใจกัน สร้างการขับเคลื่อนบางอย่างร่วมกันจากความเล็ก ผมคิดว่ามันจะมีพลังเสมอ ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง มันอาจจะไม่สำเร็จตอนนี้ก็ได้ อาจจะสำเร็จโดยคนเล็กๆ คนอื่นๆ ที่มาเห็นสิ่งที่เราทำก็ได้” ธนิสร์กล่าว

“สิ่งที่ผมอยากให้ผู้เล่นได้รับมากที่สุดคือความรู้สึกว่า’ฉันมีพลังนี้อยู่ในตัวแล้วนี่เอง’ ไม่ใช่ความรู้สึกว่า ‘ฉันควรจะเป็นแบบนี้’ หรือ ‘ฉันต้องทำแบบนั้น’ แต่เป็นความรู้สึกว่า ‘ฉันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว และมันมีคุณค่า’

และที่สำคัญคือ อยากให้เขารู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียว มีคนอื่นที่มีพลังคล้ายๆ กัน มีคนที่มีพลังต่างออกไปแต่เติมเต็มกัน และพวกเราทุกคนต่างต้องการกันในการสร้างการเปลี่ยนแปลง

ถ้าพวกเขาออกไปจากหน้าจอแล้วรู้สึกว่า ‘ฉันทำอะไรได้บ้าง’ มากกว่า ‘ฉันทำอะไรไม่ได้’แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว” จอนปรอทกล่าว

ด้านปัณณสิษฐ์เสริมว่า “ทุกๆ การเคลื่อนไหว ทุกๆ การมีส่วนร่วม ทุกๆ การแก้ปัญหาของแต่ละคนที่เข้ามาเล่น มันมีส่วนสำคัญมากให้กับขบวนการนี้ในการไปต่อ เราอาจจะรู้สึกว่ามันไม่ได้สำคัญ ไม่ได้ร้อนแรงเหมือนไฟ มันอาจจะไม่ได้ฟังแล้วไวรัลเหมือน Spark แต่ในขณะเดียวกัน ในขบวนการของเรา เราต้องการ Guardian เราต้องการคนตัวใหญ่ๆ ที่มาโอบอุ้มทุกคน เราต้อง Architect ดีๆ สักคนในการวางแผนเพื่อให้แผนการมันรัดกุม หรือว่าต้องการ Leader ที่ทำให้สิ่งที่เราทำวันนี้มันไม่หยุดแค่นี้ แต่ออกผลต่อไป”

“สิ่งที่ผมอยากจะส่งพลังต่อไป คือพลังของทุกคนมันสำคัญ มันเสียงดังพอ และมันมีรูปแบบของตัวเอง ทุกคนคือส่วนร่วมที่สำคัญให้กับขบวนการนี้”  ปัณณสิษฐ์สรุป

จอนปรอท วงษ์เทศ เจ้าหน้าที่สื่อสารดิจิทัลแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย และผู้จัดการโครงการ เล่าถึงที่มาของ Activerse ว่าเห็นคนรุ่นใหม่หลายคนอยากเห็นสังคมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่พอถามว่าจะทำอะไรได้บ้าง คำตอบที่ได้ยินบ่อยๆ คือไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงหรือเราคงทำไม่ได้ เพราะเวลาคิดถึงนักกิจกรรม ภาพที่ผุดขึ้นมาในหัวมักจะเป็นคนที่ขึ้นเวที ชูป้าย หรือเดินขบวนประท้วง ซึ่งเป็นการกระทำที่ทรงพลังและใช้ความกล้ามาก แต่หลายคนรู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อม หรือมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถนัด จึงเป็นที่มาของการจัดทำโครงการนี้ขึ้นมา

“เราจึงออกแบบ Activerse ให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการทดลองและค้นหาตัวเอง ที่นี่ทุกคนสามารถลองเล่น เลือกทาง และค้นพบว่าตัวเองมีพลังแบบไหน โดยไม่ต้องพิสูจน์อะไรกับใคร เราอยากส่งเสริมให้ทุกคนได้เคลื่อนไหวในแบบที่เหมาะกับตัวเอง ผ่านภาษาที่คนรุ่นใหม่คุ้นเคย เช่น การ์ตูน แบบทดสอบบุคลิกภาพ และการเล่าเรื่องแบบโต้ตอบได้ เพื่อพาพวกเขาเข้าสู่โลกของการมีส่วนร่วมทางสังคม โดยไม่รู้สึกว่ากำลังถูกบรรยายหรือสอน แต่เป็นการให้พวกเขาได้ค้นพบด้วยตัวเอง” จอนปรอทอธิบาย

“สิ่งที่เราอยากให้ผู้เล่นได้รับมากที่สุด คือความรู้สึกว่า ‘เราก็มีพลังนี้อยู่แล้วนี่เอง’ ไม่ใช่ความรู้สึกว่า ‘เราควรจะเป็นแบบนี้’ หรือ ‘เราต้องทำแบบนั้น’ แต่เป็นการยอมรับว่า ‘เราเป็นแบบนี้อยู่แล้ว และมันมีคุณค่า’ และที่สำคัญคือ เราอยากให้พวกเขารู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียว มีคนอื่นๆ ที่มีพลังคล้ายกัน มีคนที่พลังต่างกันแต่เติมเต็มกัน และทุกคนต่างก็ต้องการกันในการสร้างการเปลี่ยนแปลง ถ้าพวกเขาออกจากหน้าจอไปแล้วคิดว่า ‘เราทำอะไรได้บ้าง’ มากกว่า ‘เราทำอะไรไม่ได้’ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว” จอนปรอทกล่าวทิ้งท้าย

ร่วมค้นหาพลังของคุณ

ACTIVERSE ชวนทุกคนกลับมาทำความรู้จักตัวเองอีกครั้ง ผ่านคำถามง่ายๆ ที่ว่า “คุณขับเคลื่อนโลกในแบบไหน?” ค้นหาคำตอบของคุณได้ที่ activerse.amnesty.or.th ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป