ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สังคมโลกได้เผชิญกับแรงสั่นสะเทือนด้านสิทธิมนุษยชน เมื่อกระแสอำนาจนิยมกลับมาเคลื่อนไหวอย่างชัดเจนภายใต้การเรียกขานว่า “ทรัมป์ 2.0” การลดทอนความคุ้มครองและการเลือกปฏิบัติต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศในสหรัฐฯ ได้ทิ้งรอยแผลลึกต่อชุมชน LGBTI และสร้างแรงสั่นสะเทือนที่ไหลบ่าไปยังภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก เหตุการณ์เหล่านี้ไม่เพียงท้าทายความก้าวหน้าทางกฎหมาย แต่ยังกระตุ้นให้ต้องทบทวนบทบาทของภาคประชาสังคมในการผลักดันความเท่าเทียมและเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในยุคที่กระแสแบ่งแยกและกลไกเผด็จการกลับมาโหมกระพือ
ทรัมป์ 2.0: ระบบอำนาจนิยมและการลดทอนสิทธิ
การกลับมาของอุดมการณ์อนุรักษ์นิยม ชาตินิยมภายใต้ฉายา “ทรัมป์ 2.0” ไม่เพียงเป็นเรื่องการเมืองภายใน แต่ยังสะท้อนผ่านการใช้อำนาจบริหารเป็นเครื่องมือจำกัดสิทธิเบื้องต้น อาทิ การพยายามนิยามคำว่า “เพศ” (sex) ให้เหลือเพียงลักษณะทางชีวภาพ การยกเลิกโครงการคุ้มครองไม่ให้เลือกปฏิบัติฐานอัตลักษณ์ทางเพศ และการจำกัดการเข้าถึงบริการสำคัญ เช่น การดูแลสุขภาพเพื่อสร้างอัตลักษณ์ทางเพศ (gender-affirming care) กระบวนการเหล่านี้ใช้อำนาจบริหารเป็นหลักในการบีบขอบเขตความคุ้มครองทางกฎหมาย เพื่อเปลี่ยนกรอบสิทธิขั้นพื้นฐานให้หดแคบลงและสร้างสุญญากาศทางกฎหมายที่เอื้อให้เกิดการรังเกียจและเลือกปฏิบัติ
นอกจากนี้ โครงการ “Project 2025” ซึ่งเป็นแผนงานระยะยาวที่ถูกขับเคลื่อนในสหรัฐฯ มีเป้าหมายในการทบทวน ปรับเปลี่ยน หรือยกเลิกกฎระเบียบระดับรัฐบาลกลาง โดยเฉพาะข้อกำหนดเกี่ยวกับ “รสนิยมทางเพศ” และ “อัตลักษณ์ทางเพศ” เสนอให้ลบทั้งสองคำออกจากเอกสารทางราชการ ยกเลิกมาตรการปกป้องชุมชน LGBTI และเสริมสร้างโครงสร้างให้การเลือกปฏิบัติต่อความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องปกติ ขณะเดียวกัน โครงการนี้ยังผลักดันให้นิยาม “เพศ” ตามมาตรฐานชีวภาพล้วนๆ และปิดกั้นการรับรู้อัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลายจากกฎหมายและนโยบายต่างๆ
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้แถลงเตือนเนื่องในวาระเปิดตัว “รายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลก” (The State of the World’s Human Rights) ประจำปี 2567/68 ว่า การรณรงค์ต่อต้านสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลทรัมป์ได้เร่งแนวโน้มที่เป็นอันตรายให้รุนแรงขึ้นอย่างมาก ทำลายหลักการพื้นฐานของสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และทำให้ผู้คนหลายพันล้านคนทั่วโลกต้องตกอยู่ในความเสี่ยง
แอกเนส คาลามาร์ด เลขาธิการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า “ผลกระทบจากทรัมป์” ยังซ้ำเติมความเสียหายที่เกิดขึ้นจากผู้นำประเทศต่างๆ ตลอดปี 2567 ทั้งยังได้ฉุดรั้งความพยายามที่ยาวนานนับทศวรรษในการสร้างหลักประกันสิทธิมนุษยชนสากลให้เกิดขึ้นจริง และเร่งให้โลกถลำลึกสู่ยุคใหม่อันโหดร้าย ซึ่งขับเคลื่อนด้วยแนวปฏิบัติที่มีลักษณะอำนาจนิยมและความโลภของบรรษัทข้ามชาติ
“ปีแล้วปีเล่า เราได้เตือนถึงอันตรายจากความถดถอยด้านสิทธิมนุษยชน แต่เหตุการณ์ตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ในกาซาที่ถูกถ่ายทอดสดให้เห็นทั่วโลกแต่กลับถูกเพิกเฉย ได้เผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่า โลกที่รัฐมหาอำนาจละทิ้งกฎหมายระหว่างประเทศและเพิกเฉยต่อสถาบันและกลไกพหุภาคี อาจกลายเป็นฝันร้ายของใครหลายคนได้เพียงใด ในห้วงเวลาที่แนวปฏิบัติที่ละเมิดสิทธิกำลังแพร่ขยายเพื่อผลประโยชน์ของคนเพียงไม่กี่กลุ่ม รัฐบาลและภาคประชาสังคมต้องร่วมมือกันอย่างเร่งด่วนเพื่อนำพามนุษยชาติกลับสู่เส้นทางที่ปลอดภัยกว่า”
“ในห้วงเวลาที่แนวปฏิบัติที่ละเมิดสิทธิกำลังแพร่ขยายเพื่อผลประโยชน์ของคนเพียงไม่กี่กลุ่ม รัฐบาลและภาคประชาสังคมต้องร่วมมือกันอย่างเร่งด่วนเพื่อนำพามนุษยชาติกลับสู่เส้นทางที่ปลอดภัยกว่า”
แอกเนส คาลามาร์ด เลขาธิการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
เมื่อสหรัฐฯ ใช้กลไกโครงสร้างรัฐเพื่อผลักดันนโยบายถดถอย ฝ่ายอำนาจนิยมในประเทศต่างๆ ก็ยิ่งได้รับแรงบันดาลใจ นำวาทกรรม “ค่านิยมดั้งเดิม” มาอ้างว่าช่วยรักษาเสถียรภาพของสังคม กฎหมายปิดกั้นการเผยแพร่ความหลากหลายทางเพศในโรงเรียนหรือสื่อ กลายเป็นเครื่องมือเซ็นเซอร์ความคิดและปราบปรามภาคประชาสังคม ตลอดจนขยายข้ออ้างด้าน “ความมั่นคง” เพื่อยับยั้งการเคลื่อนไหวของผู้พิทักษ์สิทธิ กลไกเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยลำพัง แต่ทำงานเชื่อมโยงกันในลักษณะเครือข่าย ส่งผลให้เกิดวัฒนธรรมแห่งความกลัวและการกีดกันทางสังคม
- รัสเซีย: ภายใต้กฎหมาย “ห้ามโฆษณาชวนเชื่อความรักร่วมเพศ” (gay propaganda law) รัฐบาลรัสเซียออกคำสั่งห้ามเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับชีวิต LGBT+ ในพื้นที่สาธารณะหรือสื่อออนไลน์ โดยอ้างว่าคุกคาม “ศีลธรรมและสุขอนามัยของเยาวชน” กลุ่มนักเคลื่อนไหวและองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่งต้องดำเนินกิจกรรมภายใต้ความเสี่ยงที่จะถูกจับกุมและปรับปรุงโครงสร้างการทำงานให้ลับตาคณะรัฐมนตรีเพื่อความปลอดภัย
- ฮังการี: รัฐบาลฮังการีผ่านกฎหมายห้ามสอนเนื้อหาเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศในโรงเรียน และแบนภาพยนตร์หรือสื่อที่พรรณนาความสัมพันธ์ของเพศเดียวกัน โดยอ้างว่าต้องปกป้อง “ครอบครัวแบบดั้งเดิม” และค่านิยมแห่งชาติตามรัฐธรรมนูญ
- โปแลนด์: กลุ่มเครือข่ายท้องถิ่นประกาศให้หลายพื้นที่เป็น “Safe Zone” ต่อต้านชุมชน LGBT+ โดยเทศบาลบางแห่งออกมติเพื่อจำกัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมและเผยแพร่ข้อมูลต่อต้านอัตลักษณ์ทางเพศ ใช้ข้ออ้างด้านความมั่นคงและอุดมคติแห่งชาติเป็นเครื่องมือในการกดขี่
World Pride 2025 ปฏิบัติการร่วมกันระดับโลก เพื่อสร้างผืนผ้าแห่งเสรีภาพที่ไม่ยอมถูกลบเลือน
ท่ามกลางกระแสเผด็จการที่กระชับอำนาจและคุกคามความเท่าเทียมของผู้มีความหลากหลายทางเพศ WorldPride DC 2025 ภายใต้ธีม “Fabric of Freedom” จึงถือเป็นการรวมตัวและการถักทอเส้นใยที่เชื่อมสังคมเข้าดัวยกันใหม่ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น “Fabric” หรือ “ผืนผ้า” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงวัสดุสิ่งทอทั่วไป แต่สื่อถึงโครงข่ายของความสัมพันธ์ มิตรภาพ และความหวังที่พันกันเป็นหนึ่งเดียว ประกอบด้วยเส้นใยแห่งการต่อสู้ของนักกิจกรรมจากที่ต่าง ๆ การสนับสนุนจากองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และความกล้าหาญในการยืนหยัดเคียงข้างซึ่งกันและกัน
- ความหมายเชิงสัญลักษณ์: แต่ละเส้นด้ายสื่อถึงเสียงของชุมชน LGBTI ในภูมิภาคต่างๆ ที่สามารถแตกต่างกันทั้งบริบทและประสบการณ์ แต่เมื่อถูกทอร่วมกันก่อให้เกิดผืนผ้าแห่งความแข็งแกร่งและหลากมิติ ขจัดเส้นด้ายแห่งความหวาดกลัวและความโดดเดี่ยวเพื่อทอทอเป็นผืนผ้าแห่งเสรีภาพ
- การแลกเปลี่ยนบทเรียน: ธีมนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการแลกเปลี่ยนยุทธศาสตร์และนวัตกรรมในการเคลื่อนไหวประเด็น LGBTI (queer movement) ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อสร้างการรับรู้ แนวทางการสร้างพันธมิตรข้ามพรมแดน และกลไกฟื้นฟูจิตใจหลังประสบปัญหาการกดขี่จากรัฐอำนาจนิยม
- การต่อต้านอำนาจนิยมร่วมกัน: เมื่อผืนผ้าทอแน่น ความเป็นหนึ่งเดียวจะกลายเป็นด่านป้องกันที่เข้มแข็งต่อการโหมกระพือของกระแสแบ่งแยกโลก “Fabric of Freedom” จึงไม่ได้เป็นเพียงชื่อธีม แต่เป็นการประกาศว่าขบวนการเคลื่อนไหวเรื่อง LGBTI มีส่วนร่วมในการสร้างสังคมที่เสรีและเท่าเทียมสำหรับทุกคน
ภายใต้ธีมนี้ WorldPride DC 2025 จึงไม่ได้เป็นแค่เวทีเชิดชูให้เห็นความหลากหลาย แต่ยังเป็นพื้นที่ปฏิบัติการสากลที่เชื่อมโยงนักเคลื่อนไหวจากทั่วโลก สร้างสายใยแห่งการสนับสนุนซึ่งกันและกัน และร่วมกันทอผ้าแห่งเสรีภาพที่ไม่มีอำนาจใดพรากจากไปได้
บทเรียนจากไทย: ก้าวสำคัญหลังสมรสเท่าเทียม
สำหรับประเทศไทย เราก้าวข้ามมิติสำคัญทางกฎหมายเมื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2025 นับเป็นหมุดหมายที่สร้างความหวังให้กลุ่มเพศทางเลือกทั่วภูมิภาค องค์กรสิทธิมนุษยชนและภาคประชาสังคมเฉลิมฉลองความสำเร็จนี้พร้อมเดินหน้าขยายผลอย่างเข้มแข็ง ความสำเร็จทางกฎหมายคือจุดเริ่มต้น แต่ยังมีโจทย์สำคัญรอเราอยู่ เช่น การยอมรับเพศตามกฎหมาย (Legal Gender Recognition) ที่ยังขาดกรอบชัดเจนในการแก้ไขเพศสภาพในบัตรประชาชน และการคุ้มครองป้องกันการเลือกปฏิบัติในชีวิตประจำวัน แม้ พ.ร.บ.ความเท่าเทียม ฯ จะมีผลบังคับใช้ แต่ข้อยกเว้นด้านศาสนาและความมั่นคงยังเปิดช่องให้เกิดการกีดกัน รวมถึงปัญหาการคุกคามทางดิจิทัล (TfGBV) ต่อคนข้ามเพศและนักกิจกรรม LGBTI ที่ตำรวจและระบบยุติธรรมยังต้องเร่งพัฒนากลไกการป้องปรามและเยียวยา
รายงาน “อันตรายเกินกว่าจะเป็นตัวเอง (Being ourselves is too dangerous)” ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล พบว่า ผู้หญิงและนักกิจกรรม LGBTI ในไทยยังเผชิญกับการใช้เทคโนโลยีในการคุกคามหลายรูปแบบ ได้แก่
- การสอดแนมดักฟัง (Targeted digital surveillance): บัญชีโซเชียลมีเดียถูกแทรกแซงเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนตัวและเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวของนักกิจกรรม
- การล่าชื่อและปล่อยข้อมูลส่วนตัว (Doxing): เนื้อหาส่วนบุคคล หลายครั้งถูกแชร์โดยไม่ได้รับความยินยอม เพื่อทำลายชื่อเสียงและข่มขู่ให้ต้องหยุดเคลื่อนไหว
- คำขู่คุกคามทางเพศ (Threats of gendered violence): มีการใช้ถ้อยคำข่มขู่ทางเพศและภาพอนาจารส่งตรงถึงเหยื่อ เพื่อหวังสร้างความหวาดกลัวและความอับอาย
- แคมเปญใส่ร้าย (Targeted smear campaigns) และความเกลียดชัง (Hateful and abusive speech): มีการสร้างเรื่องเท็จและข้อความแสดงความเกลียดชังที่เน้นอคติต่อเพศและรสนิยม ส่งผลให้เหยื่อถูกกีดกันในสังคมออนไลน์และออฟไลน์
ธีการเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการโจมตีทางจิตใจ แต่ละเม็ดของความรุนแรงถูกออกแบบมาเพื่อปิดปากนักเคลื่อนไหว สร้างบรรยากาศแห่งการกลั้นกลัว และตอกย้ำอำนาจนิยมที่ปิดกั้นการแสดงออกทางความหลากหลายทางเพศ
เพื่อสู้กับ TfGBV อย่างมีประสิทธิภาพ รายงานยังเน้นย้ำความสำคัญของการมีช่องทางให้เหยื่อเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม พร้อมข้อเสนอแนะว่ารัฐบาลไทยควร
- พัฒนากรอบกฎหมายคอมพิวเตอร์ฯ ให้คำนึงถึงลักษณะเฉพาะของความรุนแรงทางเพศออนไลน์
- ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานสอบสวนด้านความรู้เรื่อง TfGBV โดยอิงแนวทางสิทธิมนุษยชน
- สร้างกลไกเยียวยาครบวงจร ทั้งจิตสังคมและกฎหมาย เพื่อคืนความมั่นคงให้เหยื่อ
สำรวจแนวทางปฏิบัติและเครื่องมือช่วยรับมือกับ TfGBV ได้ที่ makeitsafeonline.amnesty.or.th ซึ่ง รวบรวมเรื่องราวเหล่านี้ดัดแปลงจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นจริง และถูกนำเสนอในรายงาน “อันตรายเกินกว่าจะเป็นตัวเอง” ซึ่งเราได้สัมภาษณ์นักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยทั้งหมด 40 คน แบ่งเป็นผู้หญิงตรงเพศและรักต่างเพศ (cisgender, heterosexual women) 14 คน และกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTI) 26 คน
ก้าวต่อไป: สู่สังคมที่เคารพศักดิ์ศรีหัวใจ
เมื่อกระแสถดถอยจาก “ทรัมป์ 2.0” และกลไกอำนาจนิยมได้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของเราทุกคน สิ่งที่เราทำได้ไม่ใช่เพียงเฝ้าดู แต่ต้องลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องและขยายสิทธิให้คงอยู่ต่อไป ไม่ว่าจะเป็น
- เสริมสร้างพลังประชาชน (Grassroots Mobilization): ร่วมเข้าร่วมแคมเปญและกิจกรรมระดมแรงสนับสนุนสิทธิมนุษยชน เช่น ผ่าน makeitsafeonline.amnesty.or.th เพื่อยื่นข้อเรียกร้องให้คุ้มครองสิทธิ LGBTI ในประเทศไทย
- ขยายเครือข่ายพันธมิตร (Building Alliances): สร้างพันธมิตรข้ามมิติทั้งภายในและระหว่างประเทศ สนับสนุนงานวิจัยและแลกเปลี่ยนข้อมูล สนับสนุนงาน Pride ต่าง ๆ
- ติดตามกฎหมายและผลักดันนโยบาย (Policy Advocacy): ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมาย ทั้งในสหรัฐฯ ภายใต้ Project 2025 และในไทยเพื่อให้มั่นใจว่าการคุ้มครองสิทธิจะไม่ถูกลดทอน
- เสริมสร้างความปลอดภัยดิจิทัล (Digital Security): ใช้เครื่องมือและแนวทางจาก makeitsafeonline.amnesty.or.th เพื่อสร้างความรู้ในการป้องกันตัวและให้การสนับสนุนผู้ถูกคุกคามทางออนไลน์ ลดความเสี่ยงจากความรุนแรงบนโลกดิจิทัล
- การศึกษาและเปลี่ยนทัศนคติ (Education & Awareness): นำหลักสูตรเรื่องสิทธิความหลากหลายทางเพศเข้าโรงเรียน มหาวิทยาลัย และที่ทำงาน จัดเวิร์กช็อป พอดแคสต์ หรือสื่อออนไลน์ เพื่อให้สังคมเข้าใจถึงคุณค่าของความเท่าเทียม
- สนับสนุนองค์กรสิทธิมนุษยชน (Support NGOs): บริจาค สนับสนุน หรือสมัครเป็นสมาชิก Amnesty International และองค์กรท้องถิ่น เพื่อเสริมศักยภาพการทำงานเชิงยุทธศาสตร์
ด้วยการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ไม่ว่ากระแสอำนาจนิยมจะถาโถมอย่างไร ศักดิ์ศรีและสิทธิขั้นพื้นฐานของกลุ่ม LGBTI จะยังคงเป็นผืนผ้าแห่งเสรีภาพที่เราร่วมกันทอและปกป้องไว้ให้ยั่งยืน
กลไกอำนาจนิยมได้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของเราทุกคน สิ่งที่เราทำได้ไม่ใช่เพียงเฝ้าดูแต่ต้องลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องและขยายสิทธิให้คงอยู่ต่อไป
ณธกร นิธิศจรูญเดช เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการรณรงค์สาธารณะ
หากมีข้อเสนอแนะหรือต้องการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับบทความ สามารถติดต่อได้ที่ [email protected]