ถึงแม้จะรวมตัวกันได้มากขึ้น แต่ประชาชนมีสิทธิจริงหรือ?
ตลอดไตรมาสแรกของปี 2568 (มกราคม–มีนาคม) การชุมนุมของประชาชนในประเทศไทยยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้จำนวนจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่หลายคนคาดหวังว่าจะนำไปสู่การเปิดพื้นที่ประชาธิปไตย กลายเป็นว่ายังถูกไม่สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในเรื่องสิทธิในการรวมตัวและการแสดงออก มีการชุมนุมทั้งหมดเกิดขึ้น 19 ครั้งทั่วประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นการชุมนุมขนาดเล็ก ตัวเลขนี้มีการชุมนุมที่ปักหลักค้างคืน 6 การชุมนุม หากนับการชุมนุมปักหลักค้างคืน 1 วันเป็น 1 ครั้งจะมีการชุมนุมที่เกิดขึ้นรวมทั้งหมด 83 ครั้งทั่วประเทศ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงเมื่อเทียบในช่วงเวลา 3 เดือนหรือ 90 วันโดยประมาณ
“การชุมนุมทั้งหมดเกิดขึ้น 19 ครั้งทั่วประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นการชุมนุมขนาดเล็ก ตัวเลขนี้มีการชุมนุมที่ปักหลักค้างคืน 6 การชุมนุม ากนับการชุมนุมปักหลักค้างคืน 1 วันเป็น 1 ครั้งจะมีการชุมนุมที่เกิดขึ้นรวมทั้งหมด 83 ครั้งทั่วประเทศ
ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงเมื่อเทียบในช่วงเวลา 3 เดือนหรือ 90 วัน”
นอกจากเรื่องระยะเวลาของการชุมนุมแล้ว จำนวนการชุมนุมก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยในเดือนมกราคมมีการชุมนุม 3 การชุมนุมเดือนกุมภาพันธ์มี 7 การชุมนุม และเดือนมีนาคมมี 9 การชุมนุม รวมทั้งสิ้น 19 การชุมนุม ตลอดไตรมาส ซึ่งในจำนวนนี้ มีเพียง 6 การชุมนุมที่ใช้พื้นที่สาธารณะในกรุงเทพฯ ส่วนอีก 13 การชุมนุม กระจายอยู่ในจังหวัดต่างๆ
ประเด็นที่ถูกเรียกร้องมากที่สุด
สำหรับประเด็นชุมนุมหลักที่ถูกเรียกร้องมากที่สุด เป็นหัวข้อหลักในการชุมนุม 12 ชุมนุม ก็คือ สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ESCR) เพราะประชาชนจำนวนมากยังคงเคลื่อนไหวเพื่อต่อสู้กับผลกระทบจากนโยบายพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ปัญหาที่ดินทำกิน และการจัดการทรัพยากรของรัฐโดยขาดการมีส่วนร่วมที่แท้จริง เช่น ปัญหาที่ดิน การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม การประกอบอาชีพ การเวนคืนที่ดินโดยไม่เป็นธรรม โดยที่โครงการ Entertainment Complex และเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษ SEC เป็น 2 โครงการขนาดใหญ่ที่ถูกชุมนุมต่อต้านมากที่สุด ส่วนหัวข้อรองลงมาได้แก่ สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เช่น การเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญ สิทธิในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งการชุมนุมเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม และตั้งคำถามต่อความไม่โปร่งใสของรัฐยังคงเกิดขึ้น แม้จะเผชิญกับข้อจำกัดด้านกฎหมายและการควบคุมของเจ้าหน้าที่อย่างเข้มข้น ทำให้การแสดงออกที่ควรเป็นสิทธิพื้นฐาน กลับกลายเป็นช่องให้รัฐเอาผิด ตัวอย่างเช่น การเป่าแตรเพื่อไว้อาลัย การปูผ้าข้อความหน้าศาลรัฐธรรมนูญ หรือแม้แต่การชูป้ายเขียนมือ กลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายที่ผู้จัดต้องรับผิดชอบ ทั้งทางแพ่ง อาญา และทางปกครอง
“ประเด็นชุมนุมหลักที่ถูกเรียกร้องมากที่สุด เป็นหัวข้อหลักในการชุมนุม 12 ชุมนุม ก็คือ สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ESCR)”
แม้จะเริ่มต้นปี 2568 ท่ามกลางความหวัง แต่เสียงของประชาชนที่รวมตัวกันผ่านการชุมนุมกลับเบาลงอย่างเห็นได้ชัด เหตุผลไม่ใช่เพราะปัญหาหมดไป แต่เพราะอุปสรรคกลับมากขึ้น โดยกรณีตัวอย่างที่ควรจับตา คือโครงการในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEC) หนึ่งในโครงการที่ประชาชนลุกขึ้นคัดค้านมากที่สุดในช่วงต้นปี เพราะกระทบต่อทรัพยากรท้องถิ่น และถูกผลักดันโดยไร้กระบวนการมีส่วนร่วมที่แท้จริง
นอกจากนี้ อีกเหตุผลที่ทำให้การชุมนุมตามสิทธิและส่งเสียงของตนเองของประชาชน ในสภาพแวดล้อมที่กฎหมายยังคงเป็นเครื่องมือในการจำกัดการแสดงออก ทำให้เสียงของประชาชนเบาลง ไม่ใช่เพราะความพอใจ แต่เพราะความหวาดกลัวและความไม่มั่นใจในสิทธิขั้นพื้นฐานของตนเอง
การอ้าง “ความมั่นคง” โดยไม่มีเหตุผลชัดเจน เนื่องจากเจ้าหน้าที่มักอ้างความมั่นคงเพื่อจำกัดการใช้พื้นที่สาธารณะ หรือออกคำสั่งห้ามการชุมนุมภายหลังจากการที่ประชาชนแจ้งการชุมนุม แม้จะไม่ปรากฏเหตุการณ์ที่เป็นอันตราย แนวโน้มเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเลือกปฏิบัติ และการใช้ดุลพินิจเกินขอบเขตที่อาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน และไม่ได้คำนึงถึงหลักการสันนิษฐานว่าการชุมนุมนั้นเป็นไปโดยสงบจนกว่าจะพิสูจน์ได้ถึงความรุนแรง การตีความกฎหมายอย่างกว้างขวางที่เปิดทางให้เจ้าหน้าที่จำกัดสิทธิของประชาชนได้ตามอำเภอใจ ตัวกฎหมายและการบังคับใช้ยังเป็นอุปสรรค เนื่องจากกฎหมายยังคงถูกใช้ขัดขวางเสรีภาพในการชุมนุม เช่น การห้ามใช้พื้นที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุจำเป็น หรือ การใช้มาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ. การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ซึ่งห้ามใช้พื้นที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล ศาล และพระราชวังในการชุมนุมโดยเด็ดขาด แม้ในกรณีที่ชุมนุมโดยสงบและไม่มีการขัดขวางการทำงานของรัฐ

นายเฝาซี ล่าเต๊ะ เจ้าหน้าที่รณรงค์เชิงนโยบาย แอมเนสตี้ ประเทศไทย ได้ให้ความคิดเห็นต่อสถานการณ์การชุมนุมในปัจจุบันเอาไว้ว่า “แม้การชุมนุมขนาดใหญ่จะไม่ได้เกิดขึ้นแต่จำนวนการชุมนุมบ่งบอกชัดเจนว่ายังมีปัญหาอีกมายมายทีไม่ได้รับการแก้ไขจากรัฐบาลมิหนำซ้ำ บางปัญหาเกิดจากนโยบายรัฐเสียเอง เช่น โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษขนาดใหญ่ที่มิได้ประเมินผลกระทบรอบด้านอย่างแท้จริง เป็นต้น และยังตอกย้ำความทุกข์ใจของประชาชนโดยการปิดกั้นการร่วมกลุ่ม การชุมนุม การแสดงออกเพื่อให้รัฐแก้ปัญหาอีกด้วย”
“บางปัญหาเกิดจากนโยบายรัฐเสียเอง เช่น โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษขนาดใหญ่ที่มิได้ประเมินผลกระทบรอบด้านอย่างแท้จริง เป็นต้น และยังตอกย้ำความทุกข์ใจของประชาชนโดยการปิดกั้นการร่วมกลุ่ม การชุมนุม การแสดงออกเพื่อให้รัฐแก้ปัญหาอีกด้วย”
นายเฝาซี ล่าเต๊ะ เจ้าหน้าที่รณรงค์เชิงนโยบาย แอมเนสตี้ ประเทศไทย
หากรัฐยังเดินหน้าโครงการขนาดใหญ่โดยไม่รับฟังชุมชน และไม่คุ้มครองสิทธิในการรวมตัวของประชาชน เราอาจเห็นความขัดแย้งลุกลาม สิทธิในการชุมนุมเป็นดัชนีสำคัญของประชาธิปไตย ยิ่งโดนทำให้เสียงเงียบลง ยิ่งสร้างความเปราะบางให้กับสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิต ความเป็นอยู่ของประชาชน โดยรัฐบาลสามารถทำงานในเรื่องนี้ได้ทันที ด้วยการส่งเสริมและไม่ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบซึ่งรวมถึงการทบทวนแก้ไข พ.ร.บ. การชุมนุมสาธารณะ ให้สอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งจะสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ประชาชนสามารถแสดงออกอย่างเสรี โดยเฉพาะต่อโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิต
แม้เสียงจะเบาลง แต่ก็ยังชัดว่า “คนยังไม่หยุดสู้” แอมเนสตี้ ประเทศไทย ขอเรียกร้องให้รัฐ เคารพและคุ้มครองสิทธิในการชุมนุมโดยสงบ ตามหลักสากล เพราะนี่คือหนึ่งในรากฐานของสังคมที่เป็นธรรมและเปิดกว้าง ในสภาพแวดล้อมที่กฎหมายยังคงเป็นเครื่องมือในการจำกัดการแสดงออก เสียงของประชาชนจึงเบาลง ไม่ใช่เพราะความพอใจ แต่เพราะความหวาดกลัวและความไม่มั่นใจในสิทธิขั้นพื้นฐานของตนเอง หากรัฐบาลไทยยังไม่แสดงเจตจำนงในการปกป้องเสรีภาพในการชุมนุมอย่างแท้จริง อาจนำไปสู่ความเปราะบางทางสังคม และความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นในอนาคต
อ่านรายงานฉบับเต็มได้ ที่นี่