มอแกน เสียงที่หายไปจากพ.ร.บ. SEC

หากเพียงแค่ลองจินตนาการว่าวันนึงที่ดินที่คุณอาศัยมามากกว่าทศวรรษ กำลังจะมีการสร้างพื้นที่ท่าเรือกว่า 6000 ไร่ และลองจินตนาการอีกครั้งว่าพื้นที่ที่คุณออกไปทำงานเลี้ยงชีพกำลังจะถูกปิดกั้นจากโครงการขนาดมหึมาของรัฐบาล เพียงแค่นั้นคุณจะทำอย่างไร

หลายคนอาจจะจินตนาการสถานการณ์เช่นนั้นไม่ออก และประชาชนที่อยู่ในจังหวัดระนอง นครศรีธรรมราช สุราษฎ์ธานี และชุมพร รวมถึงชาวมอแกน ก็เช่นเดียวกัน นี่คือสิ่งที่พวกเขาจะต้องพบเจอ หากโครงการที่เรียกว่า “แลนด์บริดจ์” ภายใต้ พ.ร.บ. ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ หรือ พ.ร.บ. SEC ผ่านและอนุมัติให้มีการดำเนินการภายในช่วงปี 2568 – 2569 ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ของรัฐและย่อมมาพร้อมกับผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของชุมชน สิ่งแวดล้อม รวมไปถึงวิถีชีวิตที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นนั้นจะส่งผลอย่างรุนแรงกับชนเผ่าพื้นเมืองมอแกนซึ่งใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยทรัพยากรบริเวณนั้นเป็นหลัก

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยขอชวนทุกคนมาอ่านข้อค้นพบของ กุลปรียา มณีรัตน์ นักศึกษาฝึกงานจากฝ่ายรณรงค์เชิงนโยบาย ที่ได้ทำการศึกษาค้นคว้า และเล่าเรื่องราวดังกล่าวภาพมุมมองและบทสัมภาษณ์จากภาคประชาสังคม

บทความนี้จะเป็นการนำเสนอปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น รวมไปถึงข้อมูลจากการสัมภาษณ์ข้อเท็จจริง และปัญหาที่เกิดขึ้นผ่านมุมมองของตัวแทนภาคประชาสังคม ได้แก่ EnLaw และเครือข่ายรักษ์ระนอง ซึ่งทั้งสององค์กรนั้นได้มีการติดตามความเคลื่อนไหวของ พ.ร.บ. SEC รวมไปถึงการลงพื้นที่สอบถามและให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการกับชาวมอแกนโดยตรง

โครงการแลนด์บริดจ์คืออะไรและตั้งอยู่ที่ไหน

โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน หรือเรียกกันว่า “แลนด์บริดจ์” เป็นแผนการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่เชื่อมระหว่างท่าเรือในระนอง (แหลมอ่าวอ่าง ต.ราชกรูด อ.เมือง) และชุมพร (บริเวณแหลมริ่ว ต.บางน้ำจืด อ.หลังสวน) โดยทางรถไฟรางคู่ ระบบการขนส่งทางท่อ (pipeline) และทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองตัดผ่าน เป็นตัวเชื่อมระหว่างท่าเรือของท่าเรือฝั่งชุมพรและท่าเรือระนอง ซึ่งท่าเรือดังกล่าวต้องมีการขุดลอกและถมทะเลกว่า 6,000 ไร่ จำนวนดังกล่าวยังไม่นับรวมพื้นที่อื่น ๆ เช่น พื้นที่หน้าท่าเทียบเรืออีกกว่า 5,000 ไร่1

โครงการนี้ถูกผลักดันครั้งแรกในยุคพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ปี 2532 ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรม (Southern Sea Board) และก็ถูกผลักดันมาเรื่อยๆ จนกระทั่งวันที่ วันที่ 21 สิงหาคม 2561 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติกรอบการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC) ที่มีแลนด์บริดจ์เป็นโครงการสำคัญลำดับแรก และ 1 มีนาคม 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เดินหน้าศึกษา โครงการวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม ขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน

sec landbridge
ภาพ 1 พื้นที่การพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์
Land Bridge Effect ผลกระทบโครงการท่าเรือน้ำลึกแลนด์บริดจ์ ชุมพร – ระนอง. หน้า 10.

สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เผยแพร่รายงานการศึกษาว่าโครงการดังกล่าจะทำให้เกิดการผลักดันผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (Gross National Product:GNP) จาก 4% เป็น 5.5% [2] 2แต่รายงานของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ ‘สภาพัฒน์’ และ ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยแพร่เมื่อ 8 พ.ย.2565 ทำการศึกษาแบบเปรียบเทียบสี่แนวทาง โดยมีความเห็นต่อโครงการแลนด์บริดจ์ว่า ไม่คุ้มค่าและจะส่งผลต่อผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม อีกทั้งเสียงวิจารณ์จากภาคประชาสังคมในประเด็นผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของคนที่อยู่ในพื้นที่ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนยังมีข้อกังวลถึงการขาดการมีส่วนร่วม และจะส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ [3]

ทั้งนี้ การพัฒนาดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการออกกฎหมาย พ.ร.บ. ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (Southern Economic Corridor) หรือ พ.ร.บ SEC ซึ่งจะมีผลบังคับในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช ร่างกฎหมายนี้มีการผลักดันมาตั้งแต่ปี 2566 และได้ปิดรับฟังความคิดเห็นไปเมื่อช่วง 20 เมษายน 2568 ต่อมาได้มีการเสนอร่างต่อสภาผู้แทนราษฎรในการประชุมสามัญ วันที่ 3 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา เพื่อดำเนินการโครงการภายใน 2569

ร่างกฎหมายดังกล่าวมีปัญหาที่น่ากังวลเป็นอย่างมาก มีลักษณะที่ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมาย เช่น การยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมือง การเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ อำนาจของคณะกรรมการนโยบายที่มีขอบเขตกว้างมาก ปัญหาเรื่องการตรวจสอบการใช้อำนาจ หรือแม้กระทั่งปัญหาการขัดแย้งกับสิทธิบางอย่างในกฎหมายรัฐธรรมนูญ[4]

อย่างไรก็ดีร่างกฎหมายนี้ไม่ได้เป็นร่างฉบับแรก แต่มีต้นแบบมาจากพ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษตะวันออก พ.ศ. 2561 และได้ส่งผลกระทบทางด้านรายได้ ด้านสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตชุมชนอย่างมากในภาคตะวันออก

ชาว “มอแกน” และชีวิตทะเลอันดามัน

หนึ่งในผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการทำโครงการแลนด์บริดจ์ คือ วิถีชีวิตและการทำมาหากินของคนในพื้นที่ที่ทำการประมงเป็นหลักจะได้รับผลกระทบมาก โดยเฉพาะชาวมอแกนซึ่งอาศัยความอุดมสมบูรณ์ของทะเลในการใช้ชีวิตและทำการประมงเพื่อสร้างรายได้และดูแลครอบครัว

ชาวมอแกนถือเป็นกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองเดินทางทำมาหากินตามชายฝั่งทะเลในทะเลอันดามันหลายศตวรรษ และไม่ยึดถือครอบครองที่ดินเป็นของตน ในช่วงฤดูฝนมอแกนจะสร้างบ้านเรือนในบริเวณอ่าวที่เป็นจุดหลบลม ซึ่งในบริเวณระนอง ชาวมอแกนอยู่ที่เกาะพยาม เกาะเหลาและเกาะช้าง  เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลง พื้นที่บนเกาะมีการออกกรมสิทธิ์ส่วนบุคคล ทำให้ชาวมอแกนที่เข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่ในช่วงหน้าฝนถูกบีบขับให้ไปอยู่ในบริเวณท้ายเกาะ [5]

ชาวมอแกนมีวิถีชีวิต ความรู้และภูมิปัญญาการใช้ชีวิตใกล้ชิดกับทะเลเป็นอย่างมาก อาศัยอยู่บนเรือ และในขณะเดียวกันก็ใช้เรือในการหาสัตว์ทะเลเพื่อดำรงชีพโดยใช้วิถีประมงดั้งเดิม การใช้เรือที่เรียกว่า “ก่าบาง” ซึ่งเป็นเรือขนาดเล็กเพื่อออกทะเล หรือการจับปลาด้วยวิธีการใช้ฉมวก หรือการฟังเสียงปลาใต้น้ำ อีกทั้งยังมีความรู้ด้านการเดินเรือ การสังเกตสภาพอากาศและคลื่นลมทะเล

แม้การใช้ชีวิตของชาวมอแกนที่ดูเหมือนเรียบง่าย แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความยากลำบาก เพราะว่าไม่ใช่ว่าทุกบ้านจะมีเรือเป็นของตัวเอง ภายในชุมชนเองยังคงต้องพึ่งพากันเอง รายได้ของชาวมอแกนต่อครัวเรือนตกอยู่ที่ประมาณ 9000 – 11,000 บาท ซึ่งถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับประชากรกลุ่มอื่น ๆ [6]

รสิตา ซุ่ยยัง ตัวแทนจากเครือข่ายรักษ์ระนองกล่าวถึงวิถีชีวิตของชาวมอแกนเอาไว้ว่า

“วิถีชีวิตเขาอยู่ทะเลหมดเลย ไปนอนอยู่ในทะเล หาหงหาหอย กุ้ง ปู ปลามาให้ลูก นั่นคือชีวิตเขา”

นอกจากนี้เรื่องของที่อยู่อาศัยก็เป็นอีกปัญหาเช่นเดียวกัน แม้ว่าชาวมอแกนจะอาศัยอยู่ในท้องทะเลเป็นส่วนใหญ่ แต่พื้นที่บนบกหรือเกาะพยามนั้น ชาวมอแกนไม่ได้มีกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ดังกล่าว ความเป็นอยู่ของชาวมอแกนมีความคล้ายคลึงกับชนเผ่าพื้นเมืองกลุ่มอื่น ๆ ในประเทศไทย กล่าวคือ ชนเผ่าพื้นเมืองยังคงเผชิญกับปัญหาเรื่องของความมั่นคงในชีวิต [7]

ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นปัจจุบันของการไม่มีบัตรประชาชนนั้นเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิต่างๆ ได้ เช่น  เรื่องของการศึกษา การเข้าระบบสาธารณสุข ฯลฯ กรณีของชาวมอแกน หากต้องการที่จะทำบัตรประชาชนนั้น จะต้องมีการไปตรวจ DNA เพราะชาวมอแกนบางส่วนที่มีบัตรประชาชนนั้น เมื่อมีลูกหลาน จำเป็นต้องอาศัยการตรวจ DNA เพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางสายเลือด อย่างไรก็ตาม การตรวจนั้นจำเป็นต้องมีค่าใช้จ่าย รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทาง แต่ด้วยภาระค่าใช้จ่าย และรายได้ที่แทบจะไม่เพียงพอในการเลี้ยงชีพ การตรวจนั้นจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากไปโดยปริยาย

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นความลำบากในการใช้ชีวิต หรือการที่ไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการต่าง ๆ ได้ หากมีการสร้างโครงการระดับที่ต้องขุดลอกพื้นที่และถมทะเลอย่างโครงการแลนด์บริดจ์ การใช้ชีวิตของพวกเขาจะต้องมีความยากลำบากขึ้นไปอีก เพราะพื้นที่ในท้องทะเลถูกจำกัด ปัญหาที่ตามมาคือการออกเรือไปไกลขึ้น ข้อจำกัดเรื่องเครื่องมือ ต้นทุนที่สูงขึ้นในการหาสัตว์ทะเล รวมไปถึงเรื่องของความเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตมากขึ้นสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของ “ชนเผ่าพื้นเมือง” ตามมาตรฐานระหว่างประเทศ

“ชนเผ่าพื้นเมือง” อยู่ในทุกประเทศรวมถึงประเทศไทย โดยปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง (United Nation Declaration on the Rights of Indigenous People: UNDRIP) ไม่ได้กำหนดคำนิยามโดยชัดเจนเนื่องจากเป็นเจตนาของผู้ร่าง โดยการนิยามชนเผ่าพื้นเมืองควรเป็นสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในการระบุตัวตนด้วยตนเอง (right of self-identification) และเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเอง (right to self-determination)

อีกทั้ง ทางสหประชาชาติได้ให้หลักเกณฑ์เพิ่มเติมในการระบุว่าเป็น ชนเผ่าพื้นเมือง ผ่านการระบุว่า 

การนิยามตนเองในฐานะชนเผ่าพื้นเมืองในระดับบุคคล และได้รับการยอมรับจากสมาชิกของชุมชนนั้นๆ

  • มีความต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์ในช่วงก่อนยุคล่าอาณานิคม หรือก่อนยุคก่อนการตั้งถิ่นฐานของผู้อพยพ
  • มีความยึดโยงกับเขตแดนและล้อมรอบไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติ
  • มีระบบสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองที่เฉพาะ
  • มีภาษา วัฒนธรรม และความเชื่อที่เฉพาะ
  • การรวมกลุ่มที่ไม่ใช่กลุ่มหลักในสังคม
  • มีความมุ่งหมายที่จะรักษาและสืบสานสิ่งแวดล้อมและบรรพบุรุษดั้งเดิมในฐานะประชาชนและชุมชนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว [8]

สิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเองของชนเผ่าพื้นเมืองมีความสัมพันธ์กับสิทธิทางการเมืองของชนเผ่าพื้นเมือง รวมถึงสิทธิในการเข้าร่วมการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อสิทธิของพวกเขาโดยอาจผ่านผู้แทนที่พวกเขาเลือกขึ้นตามกระบวนการทางประเพณีของตนเองสิทธิดังกล่าวได้รับการรับรองในข้อ 3 ของปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง (UNDRIP) ข้อ 1 แห่งกติตามระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม (ICESCR) ระบุว่าทุกคนมีสิทธิกำหนดเจตจำนงของตน โดยมีเสรีภาพในการกำหนดสถานะทางการเมือง การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของตนอย่างอิสระ โดยประเทศไทยได้ให้การรับรอง UNDRIP และเป็นรัฐภาคี ICCPR และ ICESCR ทำให้ประเทศไทยมีหน้าที่ต้องปกป้อง คุ้มครองและส่งเสริมสิทธิดังกล่าวของบุคคลในประเทศ

สิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเองจึงเป็นพื้นฐานและจุดมุ่งหมายของสิทธิเชิงกระบวนการในการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในการมีส่วนร่วมในการกำหนดการพัฒนาทางเศรษฐกิจของตน คือ ความยินยอมที่ได้รับการบอกแจ้ง รับรู้ล่วงหน้าและเป็นอิสระ (Free, Prior and Informed Consent: FPIC) โดยมีองค์ประกอบ คือ

  • อิสระ (Free) คือ การได้รับความยินยอม ไม่มีการบังคับขู่เข็ญ หรือการแทรกแซงใด ๆ นอกจากนี้ยังหมายถึง
    • การที่คนในชุมชนสามารถกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับกระบวนการ FPIC ทั้งหมด เช่น จำนวนครั้งของการประชุม เวลา และสถานที่การประชุม ภาษาที่ใช้ในการประชุม รวมไปถึงกระบวนการตัดสินใจ และรายอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ 
    • สมาชิกในชุมชนทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้อย่างเสรี โดยสามารถที่จะตั้งคำถาม แสดงความคิดเห็น วิจารณ์ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยโดยปราศจากความหวาดกลัว
    • กลุ่มชนเผ่าพื้นพื้นเมืองที่ได้รับผลกระทบมีเสรีภาพในการสร้างเครือข่าย จัดการความร่วมมือ แบ่งปันข้อมูลกับชุมชนอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบ
  • รับรู้ล่วงหน้า (Prior) คือ ความยินยอมนั้นต้องบอกล่วงหน้าอย่างเพียงพอก่อนการอนุญาต หรือการเริ่มดำเนินการ และเวลานั้นต้องเพียงพอต่อการประชุมภายในชุมชน เพื่อหารือกับโครงการนั้น ๆ
  • การบอกแจ้ง (Informed) คือ ได้รับข้อมูลอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมเอกสารประกอบ เช่น ลักษณะ ขนาด วัตถุประสงค์โครงการ ผลกระทบ และใบอนุญาตต่างๆ โดยข้อมูลจะต้องมีการจัดเตรียมในรูปแบบและภาษาที่ใช้ในชุมชนของชนเผ่าพื้นเมืองนั้นๆ
  • ความยินยอม (Consent) คือ ชุมชนนั้น ๆ ได้มีการยิมยอม หรือไม่ยอม หรืออาจเป็นการยินยอมแบบมีเงื่อนไข ทั้งนี้ ความยินยอมนั้นสามารถเพิกถอนได้เสมอ เมื่อมีข้อมูลเรื่องผลกระทบใหม่ๆ เกิดขึ้น หรือการกระทำสร้างความเสียหายต่อชุมชน

ดังน้ัน การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ อย่างในกรณีของการพัฒนาท่าน้ำลึก Land Bridge ที่คาดว่าจะมีผลกระทบต่อชาวมอแกนในบริเวณนั้น รัฐมีหน้าที่ที่จะต้องปกป้อง คุ้มครองและส่งเสริมสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเองผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของชนเผ่าพื้นเมืองตาม FPIC

การมีส่วนร่วมของชาวมอแกนในนโยบายรัฐ

‘ก่อน’ การจัดทำโครงการของรัฐนั้นจะต้องมีการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียเพื่อให้มีการรวบรวมความคิดเห็น ตามมาตรา 77 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 [10] ซึ่งภายใต้หลักการรับฟังความคิดเห็นนั้นต้องเป็นไปตามหลักการ 3 อย่าง ได้แก่ เที่ยงตรง เปิดเผย และยุติธรรม

นอกจากนี้หลักการรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมในทางกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนนั้นมีความเกี่ยวโยงกันหลายฉบับ ไม่ว่าจะเป็นหลักการที่ 10 ของปฏิญญาริโอว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (Rio Declaration on Environment and Development) ระบุว่า

“บุคคลทุกคนต้องสามารถเข้าถึงข้อมูลเรื่องสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในการครอบครองของภาครัฐได้ตามสมควร ทั้งนี้ หมายรวมถึงข้อมูลเรื่องวัตถุและกิจกรรมที่มีอันตรายอาจเกิดขึ้นในชุมชนของตนและโอกาสในการมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ รัฐต้องอำนวยความสะดวกและส่งเสริมการรับรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชนด้วยการทำให้ข้อมูลต่าง ๆ สามารถเข้าถึงได้โดยสาธารณชนทั่วไปเป็นวงกว้าง นอกจากนี้ยังควรมีการประกันเข้าถึงกระบวนการบุติธรรมทั้งทางศาลและกระบวนการทางปกครอง รวมถึงจัดให้มีการจัดให้มีการชดใช้และเยียวยาขึ้น” [11]

หลักการนี้ได้ถูกพัฒนาไปเป็นข้อปฏิบัติบาหลี (The Bali Guildline) ซึ่งมีการกล่าวถึงรายละเอียดเรื่องของการการรับรู้ การมีส่วนร่วมและการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของประชาชน อีกทั้ง ข้อ 10 ของปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง (UNDRIP) ระบุว่า

“ชนเผ่าพื้นเมือง ต้องไม่ถูกบังคับให้โยกย้ายออกจาที่ดินหรือเขตแดนของตน และจะต้องไม่มีการอพยพใด ๆ ปราศจากฉันทานุมัติที่ได้รับการบอกแจ้ง รับรู้ล่วงหน้าและเป็นอิสระ หรือ หลัก Free, Prior, Informed Consent (FPIC) ซึ่งสิทธิที่จะให้ความยินยอม หรือเพิกถอนความยินยอมการกระทำใด ๆ ที่ส่งผลต่อต่อชนเผ่าพื้นเมือง เช่น ผลกระทบต่อที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ [12] เป็นต้น”

การพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ในจังหวัดระนองนั้นจะส่งผลกระทบไม่เพียงแต่ทางสิ่งแวดล้อมแต่รวมถึงชีวิตของชาวมอแกนด้วย รสิตา ซุ่ยยัง ตัวแทนจากเครือข่ายรักษ์ระนองระบุว่าภาคประชาสังคมพยายามเข้าไปให้ข้อมูลและสอบถามความคิดเห็นชาวมอแกนเรื่องโครงการ เพราะเห็นว่าแผนที่ที่จะมีการดำเนินการสร้างท่าเรือในอ่าวระนองนั้นทับซ้อนกับบริเวณอุดมสมบูรณ์และเป็นแหล่งหาอาหารหลักของชาวมอแกน

นอกจากหน่วยงานรัฐจะไม่ได้ติดต่อเชิญชาวมอแกนเข้าร่วมการรับฟังความคิดเห็น ยังมีเรื่องของความหวาดกลัวที่ชาวมอแกนไม่กล้าที่จะแสดงความเห็นต่อโครงการของรัฐ เนื่องจากกำแพงทางภาษา และพวกเขายังไม่ได้รับการอำนวยความสะดวกจากหน่วยงานรัฐอีกด้วย

ทั้งนี้ ชาวมอแกนกลับไม่เคยได้รับเชิญให้ไปแสดงความคิดเห็นในเวทีการรับฟังต่างๆแม้แต่ครั้งเดียว รสิตาเล่าถึงคำถามที่ได้จากชาวมอแกนว่า “เคยได้ยินเขาพูดกันแต่เขาทำ ทำท่าเรือเล็ก ๆ ใช่ไหมพี่ ไม่ใหญ่ใช่ไหม”  ทำให้ตนมองว่า

“ที่ผ่านมาไม่มีส่วนร่วมในเรื่องการที่หน่วยงานมารับฟังความคิดเห็น พี่น้องมอแกนไม่มีส่วนร่วมตรงนั้น ไม่ได้อยู่ในสมการของเขา เขาไม่ได้เอามอแกนไว้ในสมการของเขาเลย”

อีกปัญหาที่ทำให้ชาวมอแกนไม่สามารถเข้าถึงการแสดงความคิดเห็นได้นั้นคือ กำแพงทางภาษา ชาวมอแกนส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถเข้าใจภาษาไทยได้ แต่หน่วยงานไม่ได้มีการอำนวยความสะดวกให้ชาวมอแกนเข้าใจโครงการผ่านภาษาที่เข้าใจได้ สุภาภรณ์ มาลัยลอย ตัวแทนจาก EnLaw ระบุว่า “ชาวมอแกนไม่ได้ภาษาไทยเท่ากับคนไทยทั่วๆ ไป ฉะนั้นการอธิบายการทำความเข้าใจการที่จะตอบคำถามหรือว่ามาตรการที่จะดูแลเขาเนี่ยมันก็ต้องต้องเฉพาะในการที่จะให้ข้อมูลหรือรับฟังความเห็นของกลุ่มนี้โดยเฉพาะ”

สิทธิที่อาจถูกละเมิดหากขาดการรับฟังอย่างมีประสิทธิภาพ

กระบวนการรับฟังนั้น ถือเป็นกระบวนการที่สำคัญเป็นอย่างมากก่อนที่จะเริ่มการดำเนินโครงการ เพราะว่าการดำเนินการสร้างโครงการใหญ่ย่อมมีผลกระทบต่อชุมชนใกล้เคียงและสิ่งแวดล้อมอย่างแน่นอน ดังนั้น กระบวนการประชาสัมพันธ์ การรับฟังความคิดเห็นกับประชาชนจึงเป็นสิ่งท่ีรัฐต้องทำตามอย่างเคร่งครัด ชาวมอแกนก็ถือว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มประชากรที่รัฐต้องมีการผลักดันการเข้าไปมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ทั้งตามกฎหมายภายในและตามข้อปฏิบัติระหว่างประเทศเช่นเดียวกัน แต่ปัญหาที่พบเจอ คือ ชาวมอแกนไม่เคยถูกรับเชิญไปฟังหรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการ มากไปกว่านั้นทางหน่วยงานรัฐไม่เคยมีการอำนวยความสะดวกเพื่อให้เกิดความรับรู้เรื่องผลกระทบแก่กลุ่มมอแกนแม้แต่น้อย เมื่อขาดการรับฟังอย่างมีประสิทธิภาพ ปัญหาที่จะตามมาในภายหลังอาจเกิดขึ้นได้ ดังนี้

1. ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย

นอกจากปัญหาเรื่องในแง่ของการยกเว้นกฎหมายบางอย่างและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบาย ยังมีปัญหาของผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในที่อยู่อาศัย ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights (ICESCR) ข้อ 11.1 รับรองสิทธิมาตรฐานการครองชีพที่เพียงพอสำหรับตนและครอบครัว รวมถึงอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่อาศัยอย่างเพียงพอ อย่างไรก็ตาม โครงการแลนด์บริดจ์และร่างพ.ร.บ.นี้จะทำให้เกิดการไล่รื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากโครงการต้องการพื้นที่ในการก่อสร้างเป็นบริเวณกว้าง ไม่ว่าจะเป็นสะพานเชื่อมท่าเรือ ท่าเรือ พื้นที่เอนกประสงค์ รวมถึงระบบสาธารณูปโภคที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รสิตากล่าวถึงประเด็นนี้ว่า หากต้องมีการย้ายที่อยู่อาศัย ชาวมอแกนจะมีความยากลำบากในการที่ย้ายที่อยู่ใหม่ เนื่องจากเรื่องของค่าใช้จ่าย และเรื่องของการไม่มีบัตรประชาชน

2. ปัญหาเรื่องของการประกอบอาชีพ

ด้วยวิถีชีวิตที่ผูกพันกับทะเลอย่างแน่นแฟ้น ไม่ว่าจะเป็นความผูกพันเรื่องของที่อยู่อาศัย รวมไปถึงการวิถีการหาเลี้ยงชีพที่อาศัยทะเลเป็นหลัก ด้วยข้อจำกัดเรื่องการทำประมงที่ชาวมอแกนมี ทำให้ไม่สามารถที่จะสู้กับเรือพาณิชย์อื่น ๆ ที่มีเทคโนโลยีที่สูงกว่า สามารถหาสัตว์ทะเลได้มากกว่าเป็นทุนเดิม หากเกิดโครงการดังกล่าวขึ้น ผลกระทบในเรื่องของการประกอบอาชีพย่อมต้องถูกกระทบอย่างหนักมากกว่าเดิมอีกเท่าตัว

นอกจากนี้ ก่อนหน้าชาวมอแกนเคยถูกชักชวนให้ไปทำงานที่ท่าเรือหากโครงการแลนด์บริดจ์สร้างเสร็จแล้ว

“เขาบอกว่าจะให้มอแกนไปทำงานที่ท่าเรือ มอแกนบอกว่าไม่ทำ คุยกับเขาไม่รู้เรื่อง มอแกนคือทะเล มอแกนไม่ใช่ไปทำงานที่ท่าเรือ”  รสิตาเล่าให้ฟังหลังจากได้พูดคุยกับชาวมอแกน

ซึ่งตามมาตรา 40 แห่งรัฐธรรมราชอาณาจักรไทย ทุกคนย่อมมีเสรีภาพในการประกอบอาชีพ [13] แต่ผลจากพ.ร.บ. SEC ที่ให้อำนาจในการดำเนินโครงการ กำลังจะจำกัดวิถีการใช้ชีวิตประมงแบบดั้งเดิมของชาวมอแกนที่แต่เดิมไม่เคยได้รับการช่วยเหลือให้แย่ลงไปกว่าเดิม

“มอแกนเดิมเขาก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว ทุกวันนี้เหมือนจะมีแค่ลมหายใจที่หายใจไปวัน ๆ แล้วหลังจากนี้ลมหายใจก็จะไม่เหลือ”

ความเห็นของรสิตาในกรณีของผลกระทบอาจจะเกิดขึ้นหลังมีการปรับใช้ พ.ร.บ. SEC

3.ปัญหาสิทธิในวัฒนธรรม

หลักการ FPIC ที่พูดถึงก่อนหน้านอกจากต้องการที่คุ้มครอง เรื่องการมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจแล้ว หลักการยังมีการมุ่งที่จะคุ้มครองครอบคลุมไปถึงเรื่องของวัฒนธรรมและภูมิปัญญา

มอแกนมีวัฒนธรรมและภูมิปัญญาที่แตกต่างจากชนเผ่าพื้นเมืองหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเรื่องของประเพณี รวมไปถึงวิถีชีวิต การทำประมงแบบดั้งเดิม เป็นสิ่งที่ชาวมอแกนทำสืบต่อกันมานับรุ่นสู่รุ่น หากมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนนี้ย่อมทำให้วัฒนธรรมและภูมิปัญญาของชาวมอแกนไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ หรืออาจยากลำบาก เพราะเป็นสิ่งหยั่งรากลึกระหว่างการหาเลี้ยงชีพและภูมิปัญญาในชุมชน

ซึ่งตามมาตรา 70 ของรัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้รัฐนั้นต้องส่งเสริมและให้ความคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ให้มีสิทธิดำรงชีวิตในสังคมตามวัฒนธรรม ประเพณีและวิถีชีวิตดั้งเดิมตามความสมัครใจได้อย่างสงบสุข

ประกอบกับใน UNDRIP ข้อ 11 ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิในการปฏิบัติและฟื้นฟูขนบธรรมเนียมและประเพณีของตนเอง

“แม้จะมีการจัดหาที่ใหม่ วิถีชีวิตเขาไม่ใช่คนเมืองที่ขายบ้านนี้ แล้วก็ไปซื้อบ้านใหม่ แต่ว่ามอแกน ไทดำ หรือคนไทยพลัดถิ่น เขามีอาชีพที่มันเป็นภูมิปัญญา มีศักดิ์ศรีของเขาในการประกอบอาชีพนั้น” สุภาภรณ์กล่าวถึงกรณีผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับสิทธิในวัฒนธรรมของชาวมอแกน

ทั้งนี้ ต่อให้พ.ร.บ. SEC จะมีมาตรการการเยียวยาความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น แต่เสียงของชาวมอแกนไม่ได้ต้องการการเยียวยา พวกเขาเพียงแต่ต้องการที่จะใช้วิถีชีวิตในแบบที่ไม่ต้องเบียดเบียนใคร

ข้อเสนอแนะภาคประชาสังคม

ตัวแทนภาคประชาสังคมทั้งทาง EnLaw และเครือข่ายรักษ์ระนองต่างให้ความเห็นว่าการเปลี่ยนแปลง และการที่ยับยั้งผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต้องเริ่มมาจากการให้ชาวมอแกนเข้าไปมีส่วนร่วม และแสดงความคิดเห็นในโครงการ การทำให้ชาวมอแกนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนั้นจะช่วยทำให้การรับฟังความคิดเห็นมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะนอกจากการคำนึงถึงกลุ่มคนธรรมดา จะต้องมีการคำนึงถึงมิติเรื่องกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองที่เป็นคนเปราะบางด้วย

ทั้งนี้ สุภาภรณ์ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “การมีส่วนร่วมที่แท้จริง คือ การที่เข้าใจร่างกฎหมายและผลกระทบทั้งแง่ดีและร้ายของโครงการแลนด์บริดจ์ นอกจากการมีส่วนร่วมแล้ว และการพัฒนานั้นควรจะมีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ทุก ๆ คนต่างควรมีสิทธิและส่วนร่วมในการพัฒนา ต้องมีการมองทุกภาคส่วนให้เท่ากัน ซึ่งเรื่องนี้อาจจะต้องมีการมองย้อนไปถึงกฎหมายรัฐธรรมนูญ” 

การพัฒนาไปข้างหน้าไม่ใช่แค่เพียงการสร้างสิ่งใหม่เพียงอย่างเดียว สำหรับรสิตามองว่า ”การพัฒนาต้องมองถึงสิทธิชุมชน คนในพื้นที่อยู่กันยังไงแล้วพัฒนาจากสิ่งที่มีแต่เดิมอยู่แล้ว เช่น จังหวัดระนองมีแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่น มีอาหารทะเลสดใหม่ ถ้าส่งเสริมเรื่องการท่องเที่ยวและประมงก็จะทำให้ทุกคนในระนองได้การพัฒนาไปด้วย แม้แต่มอแกนก็สามารถเข้าเป็นส่วนร่วมกับเรื่องนี้ได้”

มากไปกว่านั้น ประเทศไทยควรมีมาตรการที่ชัดเจนในการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง โดยเฉพาะชาวมอแกน ทั้งในด้านสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น การเข้าถึงบัตรประชาชน การรักษาพยาบาล และการศึกษาสำหรับเยาวชน ควรมุ่งผลักดันให้เกิดการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองให้เป็นบรรทัดฐาน

ท้ายที่สุด แม้โครงการแลนด์บริดจ์จะไม่ใช่แผนพัฒนาแรกของประเทศ แต่ที่ผ่านมา แผนพัฒนาต่างๆ กลับละเลยการมีส่วนร่วมของประชาชนมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มชนเผ่าพื้นเมือง เช่น ชาวมอแกน

เราจึงอยากเห็นการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ไม่ทำให้ใครถูกมองข้าม และต้องไม่นิ่งเฉยต่อเสียงของชาวมอแกน ผู้อยู่ในพื้นที่ภายใต้ พ.ร.บ. SEC ที่กำลังจะออกมาส่งผลกับชีวิตพวกเขาในทุกมิติ


  1. มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม, กลุ่ม Beach for life, เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนภาคใต้, Landbridge Effect ผลกระทบโครงการท่าเรือน้ำลึกแลนด์บริดจ์ชุมพร – ระนอง (2025), หน้า 20 ↩︎
  2. Thai PBS Policy Watch, (2024), เปรียบเทียบผลการศึกษาแลนด์บริดจ์ สศช-สนข ↩︎

ปกป้องเสรีภาพการแสดงออก

สิทธิของบุคคลทุกคนที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และการแสดงความคิดเห็น เป็นสิทธิในระดับสากลที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายระหว่างประเทศ

สนับสนุนความเท่าเทียม

เราทุกคนต้องได้รับการปกป้องจากการถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งการแสดงออกตามอัตลักษณ์ทางเพศ รสนิยมทางเพศและเพศวิธี ภายใต้หลักการด้านสิทธิมนุษยชน