ครบรอบ 3 ปี พร้อมยุติวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด เยียวยาผู้เสียหาย และปฏิรูประบบการใช้กำลัง-อาวุธควบคุมฝูงชนให้สอดคล้องมาตรฐานสากล
กรุงเทพฯ – เนื่องในโอกาสครบรอบ 3 ปีเหตุสลายการชุมนุม “ราษฎรหยุด APEC 2022”
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย พร้อมด้วย พายุ บุญโสภณ นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกยิงด้วยกระสุนยางในระยะประชิดจนสูญเสียการมองเห็นถาวร ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ พล.ต.ท. รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อเรียกร้องให้มีการสอบสวนที่อิสระ โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างครบถ้วนตามหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ

เพชรรัตน์ ศักดิ์ศิริเวทย์กุล ผู้จัดการฝ่ายรณรงค์แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เผยว่า ประเทศไทยต้องแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การใช้กำลังสลายการชุมนุมอย่างรุนแรงเกินความจำเป็นและไม่ได้สัดส่วนนั้น จะไม่ได้รับการยอมรับอีกต่อไป รัฐจำเป็นต้องสอบสวนอิสระและมีประสิทธิภาพ เอาผิดเจ้าหน้าที่ที่ละเมิดสิทธิ และจัดให้มีการเยียวยาและการรับรองความเป็นผู้เสียหายและหรือหยื่อจากการใช้ความรุนแรงโดยเจ้าหน้าที่รัฐอย่างครบถ้วน พร้อมเร่งปฏิรูประบบการใช้กำลังและอาวุธควบคุมฝูงชนให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อป้องกันไม่ให้ความรุนแรงเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่รัฐต้องดำเนินการทันที ไม่ปล่อยให้ผู้เสียหายรอคอยความยุติธรรมอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอย่างที่เป็นอยู่
การใช้กำลังและอาวุธควบคุมฝูงชนต้องเป็นมาตรการสุดท้ายเท่านั้น — การยิงกระสุนยางใส่ใบหน้าเป็นการละเมิดร้ายแรง
เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 กลุ่มราษฎรหยุดAPEC2022 ประกอบด้วย ชาวบ้านจากเครือข่ายภาคประชาสังคม นักศึกษา และประชาชนจำนวนมาก ได้รวมตัวชุมนุมประท้วงโดยสงบเพื่อสะท้อนข้อกังวลต่อผลกระทบจากนโยบาย BCG (Bio-Circular-Green Economy) และเรียกร้องให้รัฐบาลรับฟังเสียงของประชาชน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนกลับปิดกั้นเส้นทางและใช้กำลังสลายการชุมนุมโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า มีการผลักดัน ทำร้ายร่างกาย และยิงกระสุนยางใส่ฝูงชนอย่างไม่ได้สัดส่วน หนึ่งในกระสุนยางถูกยิงเข้าดวงตาขวาของพายุ บุญโสภณในระยะประชิด ส่งผลให้เขาสูญเสียการมองเห็นถาวร

แม้เหตุการณ์จะผ่านมาแล้วกว่า 3 ปี แต่การสอบสวนกลับไร้ความคืบหน้า และยังไม่มีมาตรการเยียวยาที่ชัดเจนต่อผู้เสียหาย แนวปฏิบัติของสหประชาชาติระบุชัดว่า การใช้กำลังต้องเป็นทางเลือกสุดท้าย ต้องสอดคล้องกับหลักความจำเป็นและได้สัดส่วน ห้ามยิงกระสุนยางใส่ศีรษะหรือใบหน้า เจ้าหน้าที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย และต้องเคารพศักดิ์ศรีและความปลอดภัยของผู้ชุมนุมโดยสงบเป็นอันดับแรก
พายุ บุญโสภณ ผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกยิงด้วยกระสุนยาง เปิดเผยว่า ความเจ็บปวดที่สุดไม่ใช่เพียงบาดแผลทางร่างกาย แต่คือการที่ความจริงยังไม่ถูกเปิดเผย เหตุการณ์วันนั้นไม่ได้เป็นเพียงการสลายการชุมนุมประท้วงโดยสงบ แต่คือการทำร้ายศักดิ์ศรีของประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิมนุษยชนของตน แต่สิ่งที่เจ็บปวดกว่าคือ ทางการไทยกำลังเลือกหลับตาไม่มองความจริงทั้งสองข้าง
“ผมไม่อยากให้กรณีของผมกลายเป็นเพียงเรื่องเล่าโศกนาฏกรรมส่วนบุคคล แต่อยากให้เป็นจุดเริ่มต้นของการยุติวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด เพื่อให้คำว่าสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีความหมายที่แท้จริงสำหรับทุกคน”
พายุย้ำว่าการเดินทางมาในวันนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อเรียกร้องสิทธิของตัวเองเท่านั้น แต่เพื่อไม่ให้มีใครต้องสูญเสียชีวิต ร่างกาย หรือเสียศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพียงเพราะลุกขึ้นมาใช้สิทธิในการชุมนุมประท้วงโดยสงบอีกต่อไป
ด้านเพชรรัตน์ ศักดิ์ศิริเวทย์กุล ได้ระบุเพิ่มเติมว่า “ในกรณีของพายุนั้น ได้สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวเชิงโครงสร้างที่หน่วยงานรัฐทุกระดับต้องเร่งแก้ไขอย่างเป็นระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องรับผิดรับชอบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในสังกัดและการใช้กำลังควบคุมฝูงชนที่เกินความจำเป็น ขณะที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายมีหน้าที่ตามกฎหมายในการพิจารณาว่าเหตุการณ์นี้เข้าข่ายการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีหรือไม่ รวมถึงต้องรับรองสถานะผู้เสียหายและกำหนดมาตรการเยียวยาที่เหมาะสม นอกจากนี้ หน่วยงานที่กำกับดูแลสิทธิในการชุมนุมโดยสงบยังต้องทบทวนมาตรการและแนวทางการควบคุมฝูงชนเพื่อให้การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่เป็นไปตามหลักการสากลอย่างแท้จริง เพื่อคุ้มครองศักดิ์ศรีและความปลอดภัยของประชาชนที่ใช้สิทธิในการชุมนุมโดยสงบ ไม่ใช่สร้างความเสี่ยงหรือความรุนแรงเพิ่มเติม”
ตามหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ รัฐต้องจัดให้มีการเยียวยาที่ครบถ้วน ซึ่งรวมถึงการชดเชย (compensation) การฟื้นฟู (rehabilitation) การคืนสภาพเดิม (restitution) การค้นหาความจริงและยอมรับความรับผิดชอบ (truth-seeking และ satisfaction) และการรับประกันไม่ให้เกิดซ้ำ (guarantees of non-repetition) การเยียวยาเหล่านี้ต้องโปร่งใส ทันเวลา และคำนึงถึงศักดิ์ศรีของผู้เสียหายเป็นหลัก

เหตุการณ์นี้ตอกย้ำว่ารัฐไทยต้องดำเนินการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างเร่งด่วน ทั้งการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมโดยสงบและการใช้กำลังให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ การกำกับดูแลอาวุธควบคุมฝูงชนทุกประเภทอย่างเข้มงวด การปรับปรุงขั้นตอนปฏิบัติและการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้เน้นการลดความตึงเครียด (de-escalation) และการคุ้มครองผู้ชุมนุม การสร้างกลไกตรวจสอบอิสระเพื่อสอบสวนการใช้กำลังที่เกินกว่าเหตุ รวมถึงการกำหนดความรับผิดของผู้สั่งการและผู้ปฏิบัติอย่างชัดเจน ทั้งหมดนี้เป็นการปฏิรูปที่จำเป็นเพื่อยุติวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด และป้องกันไม่ให้การละเมิดสิทธิซ้ำรอยเดิมเกิดขึ้นอีก
ซึ่งเพชรรัตน์ได้เสริมอีกว่า “คณะกรรมการต่อต้านการทรมานแห่งสหประชาชาติได้แสดงความกังวลและอ้างถึงกรณีพายุโดยตรง พร้อมเสนอให้ไทยปฏิรูปกฎหมายและแนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ และดำเนินการสอบสวนโดยพลันและเป็นธรรมต่อกรณี พายุ บุญโสภณ รวมทั้งให้มีการเยียวยาผู้เสียหายอย่างรอบด้าน”
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยเรียกร้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งดำเนินการสอบสวนเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 อย่างอิสระ โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งนำเจ้าหน้าที่ที่ใช้กำลังเกินกว่าเหตุเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จัดการเยียวยาอย่างเหมาะสมครบถ้วน ทบทวนกฎหมายและแนวปฏิบัติด้านการควบคุมฝูงชน และการชุมนุม และปรับปรุงการฝึกอบรมการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลนอกจากนี้ แอมเนสตี้เรียกร้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายออกวินิจฉัยว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายการกระทำความผิดตาม พรบ.ป้องกันการทรมานฯ หรือไม่ และดำเนินการเอาผิดกับเจ้าหน้าที่หากพบว่ามีการละเมิดเกิดขึ้น รวมถึงการเยียวยาต่อ พายุ บุญโสภณ และผู้ได้รับผลกระทบ จากการชุมนุมราษฎรหยุด APEC 2022 อย่างเหมาะสม

นอกจากนั้น แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยยังเรียกร้องไปยังกระทรวงยุติธรรมดำเนินการตามข้อเสนอของคณะกรรมการต่อต้านการทรมานแห่งสหประชาชาติ และแก้ไขกฎหมายให้คำนิยาม “การทรมาน” สอดคล้องกับมาตรฐานสากล รวมถึงครอบคลุมกรณีการใช้กำลังต่อบุคคลที่ไม่ได้ถูกควบคุมตัวด้วย
ดวงดาว เกียรติพิศาลสกุล รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เปิดเผยว่า กรมฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจกับกรณีการใช้ความรุนแรงระหว่างการชุมนุมที่เกิดขึ้นกับ พายุ บุญโสภณ โดยเรื่องดังกล่าวจะถูกนำเข้าสู่การพิจารณาของอนุกรรมการกลั่นกรองข้อเท็จจริง ก่อนเสนอให้คณะกรรมการชุดใหญ่พิจารณาต่อไป พร้อมย้ำว่ากรมฯ มีการอบรมร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การควบคุมฝูงชนเป็นไปอย่างเรียบร้อยและไม่ใช้ความรุนแรง โดยทุกขั้นตอนจะดำเนินการตามระเบียบที่กำหนดไว้
ด้าน นิธิวดี พรหมอาจ หัวหน้ากลุ่มเลขานุการคณะกรรมการและอนุกรรมการ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ระบุว่า แม้กระทรวงยุติธรรมจะไม่สามารถก้าวล่วงอำนาจศาลได้ แต่ถ้าหากให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพติดตามความคืบหน้าของคดี ทางกรมฯ ก็ยินดีที่จะดูแลเรื่องนี้ให้

ทั้งนี้ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพย้ำว่า พร้อมให้การช่วยเหลือในทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นการถูกกระทำจากเจ้าหน้าที่รัฐหรือบุคคลทั่วไป โดยมีทั้งกฎหมายที่ให้การช่วยเหลือด้านการเงิน และมาตรการตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมาน ซึ่งใช้กับกรณีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐโดยตรง
ในปีนี้ พายุ บุญโสภณ เป็นหนึ่งในบุคคลซึ่งแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย คัดเลือกให้เป็นกรณีรณรงค์ภายใต้แคมเปญ “Write For Rights” หรือ “เขียน เปลี่ยน โลก” เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกร่วมกันเขียนจดหมายเรียกร้องความยุติธรรมไปถึงผู้มีอำนาจ และผลักดันให้ทางการไทยยุติวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดในการสลายการชุมนุมโดยสงบ เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างครบถ้วนตามหลักสิทธิมนุษยชน
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยยืนยันว่าจะเดินหน้ารณรงค์ร่วมกับภาคประชาสังคม เพื่อให้สิทธิมนุษยชนได้รับการเคารพ คุ้มครอง เติมเต็มและเกิดขึ้นจริงในชีวิตของทุกคนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:
ฝ่ายสื่อสารองค์กร แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย
โทร: 089-922-9585
อีเมล:[email protected]




