วันที่คุยกับ Thai Political Tarot คือวันที่เรารู้ว่า ประเทศไทยจะยังไม่มีนิรโทษกรรมประชาชน
นั่นคือวันที่ 16 กรกฎาคม 2568
เย็นวันนั้นบรรยากาศขมุกขมัว เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก เดี๋ยวครึ้มฟ้าเหมือนอย่างวันธรรมดาในเดือนกรกฎาคมของประเทศไทย
คำถามแรกที่เราพูดคุยกันจึงหนีไม่พ้นเรื่องราวของนิรโทษกรรมประชาชน
“รู้สึกอย่างไรบ้างที่มันไม่ผ่าน?”
“ถ้าตอบในฐานะประชาชน เราก็รู้สึกว่ามันมีความโกรธแหละนะ”
ต่อจากนี้ไป เราจะเรียกเธอว่า ซัมเมอร์
และเธอคือเจ้าของนามปากกา Thai Political Tarot ผู้เป็นหนึ่งในผู้ร่วมคัดเลือกผลงานในโครงการ FreeRatsadon Postcard Initiative 2025 ภายใต้แนวคิด Unchained Expression
หากคุณเป็นหนึ่งคนที่คุ้นเคยกับการชุมนุมประท้วงที่นำโดยเยาวชนในประเทศไทย ในช่วงปี 2563 เป็นต้นมา อาจเคยได้พบเห็นกับแอคเคาท์ Thai Political Tarot กับภาพอาร์ตในสีสันสบายตา วางลงบนไพ่ทาโรต์ที่เชื่อมโยงความหมายบนหน้าไพ่
คุณอาจเคยเห็นภาพหญิงสาวกับกีตาร์ บนหน้าไพ่เขียนคำว่าอัศวินถ้วย (Knight of Cups)
เห็นไพ่หนึ่งเหรียญ (Ace of Pentacles) บนผืนดินที่แห้งแล้ง
หรือแม้แต่เห็นการตีความเหตุการณ์ทางการเมือง กับไพ่ Six of Swords
ใช่ — เธอเอาไพ่ทาโรต์มาบันทึกยุคสมัย
เอาล่ะ – ทำใจให้สบาย
และบอกไพ่ว่าเราจะกระโจนลงไปในสายธารแห่งกาลเวลาไปด้วยกัน
1992
1991
“จริง ๆ แล้วตอนเด็กเราไม่ค่อยสนใจการเมืองเท่าไหร่ เพราะภาพจำเกี่ยวกับการเมืองที่เห็น หรือสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดถึง มักจะเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกว่าการเมืองไม่ใช่เรื่องของเด็ก”
ซัมเมอร์บอกว่าเธอเป็นตัวอย่างของคนเจนวาย (Gen Y) ที่เกิดในปี 2534 – ปีที่ประเทศไทยมีรัฐประหาร โดยคณะรสช. ที่นำโดยสุนทร คงสมพงษ์
อายุได้หนึ่งปี ก็เกิดการสลายการชุมนุมครั้งใหญ่ อย่างเหตุการณ์พฤษภา 35 ที่พ่อกับแม่ของเธอเล่าในภายหลังว่ามีคนขนย้ายร่างไร้วิญญาณของผู้ชุมนุมผ่านหน้าบ้าน
แต่นั่นไม่ใช่ความเซอร์เรียลเพียงเรื่องเดียว ที่เกิดขึ้นกับเธอ และผู้ร่วมชะตากรรมอีก 960,556 คน ที่เกิดในประเทศไทยในปีนั้น
อายุได้ 15 ปี ประเทศไทยเกิดรัฐประหาร.. อีกครั้ง
อายุ 23 ปี เรียนจบหมาด ๆ – ประเทศไทยก็ยังเกิดรัฐประหาร!
ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่โลกของผู้ใหญ่อย่างเต็มตัวในยุคสมัยแห่งการชุมนุมประท้วงที่นำโดยเยาวชน
“เราพอรู้ข่าวการเมืองบ้าง อย่างเช่นเรื่องรัฐประหาร แล้วพ่อก็จะพูดกับเราบ้างว่าการยึดอำนาจโดยทหารไม่ใช่เรื่องดีสำหรับประเทศ มันคือการพาประเทศถอยหลังไปอีกหลายปี เรายังไม่เข้าใจลึกมากหรอกตอนนั้น แต่มันเป็นคำอธิบายที่ค่อย ๆ วางรากไว้ให้เราเริ่มคิดตามทีละนิด”
เธอบอกว่าคน Generation Y อย่างเธอโตมาในช่วงที่เด็กเริ่มเข้าถึงข้อมูลได้เอง มีความสนใจที่กว้างขึ้น เพียงแต่บรรยากาศในโรงเรียนก็ยังไม่ได้รายล้อมด้วยกลุ่มคนที่สนใจการเมืองเท่าไรนัก ถึงจะเป็นอย่างนั้น ซัมเมอร์ก็ยังจับสังเกต ‘อะไรบางอย่าง’ จากสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว
“บางทีอาจารย์หรือผู้ใหญ่บางคนในโรงเรียน ก็ใช้จังหวะในห้องเรียนในการจิกกัดหรือเสียดสีเด็กที่รู้ว่าเป็นฝ่ายเสื้อแดง หรือบ้านเขาไม่ได้สนับสนุนฝั่งเสื้อเหลือง เรารู้สึกว่าบรรยากาศแบบนี้มันไม่ได้เปิดกว้าง ไม่เฟรนด์ลี่กับเด็กที่สนใจการเมืองเลย”
‘อะไรบางอย่าง’ ที่ว่า กลายเป็นเสียงกระซิบเงียบ ๆ ที่ซึมแทรกอยู่ในบรรยากาศของ ‘ความปกติ’ และพาเธอก้าวสู่วัยมัธยมปลาย ก่อนพบกับคำว่า ‘อุ้มหาย’ เป็นครั้งแรกในหน้าข่าว
“ตอนนั้นมันสะเทือนใจมาก เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน แต่มันไปไกลกว่านั้น — มันคือการทำให้คนหายไปจากชีวิตโดยไม่มีคำอธิบาย”
รัฐประหาร
ในระหว่างช่วงหลังรัฐประหารปี 2549 และก่อนรัฐประหารปี 2557 คือระยะห่างของเวลา 8 ปี
ที่จริงแล้วในช่วงเวลาระหว่างทางนั้น มีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และในหลายครั้ง มันได้ชวนทำให้เราต่างสามารถมองเห็น อะไรบางอย่าง ได้ชัดเจนขึ้น แม้จะอยู่ในวันที่สังคมมองว่า ถ้าหากต้องการจะรักษาบรรยากาศของวงสนทนา ต้องไม่พูดคุยถึงเรื่องการเมือง
“ตอนนั้นมีข่าวของคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเรา ที่โดนล่าแม่มดจากการที่เขาแสดงตัวว่าเป็นเสื้อแดง เหมือนมีคนไปร้องเรียนมหาวิทยาลัยที่เขาสอบติด ตอนเจอข่าวนี้เราก็รู้สึกว่าเรายังไม่ได้ตามการเมืองมากนะ ก็รู้สึกว่าทำไมสังคมมันเป็นแบบนี้”
หลังจากวันนั้นไม่นานนัก ซัมเมอร์เรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 ของมหาวิทยาลัย เธอได้เข้าเรียนกับวิทยากรพิเศษในห้องเรียนหนึ่ง โดยวิทยากรคนดังกล่าวได้เปิดให้ผู้เข้าร่วมชั้นเรียนเขียนคำถามลงบนกระดาษแล้วส่งมาข้างหน้า
ซัมเมอร์คือนักศึกษาทื่นั่งด้านหน้าสุด อาจารย์จึงมอบหมายให้เธอเป็นผู้อ่านคำถามจากเพื่อนร่วมชั้น
“ตอนนั้นเป็นปี 2556 มีเพื่อนคนหนึ่งเขียนคำถามว่า ‘พี่คิดยังไงกับการเมืองไทย’ เราอ่านคำถามนั้นออกไปเหมือนกับที่อ่านคำถามอื่นๆ แต่ผู้ใหญ่ในห้องเรียนนั้นกลับหันมาค้อนใส่เรากันหมด เหมือนเราทำอะไรผิด”
อาจารย์ในห้องไม่เพียงแต่ให้เธอข้ามคำถามนี้ไป แต่ยังได้ฝากความรู้สึกกระอักกระอ่วนและคำถามในใจต่อการพูดถึงเรื่องการเมืองให้กับเธอ
อย่างไรก็ตาม ซัมเมอร์ยังคงยืนยันว่า เธอไม่เคยเสียใจที่อ่านคำถามนั้นออกไปแม้แต่ครั้งเดียว
“เราคิดว่าตอนนั้นมันเป็นความรู้สึกที่ว่า ‘เราทำอะไรไม่ได้’ บรรยากาศทางการเมืองตอนนั้นมันไม่เหมือนปัจจุบัน ไม่ได้เปิดเท่าไร เราก็เลยไม่รู้ว่าจะมีส่วนร่วมยังไง ต้องอินการเมืองแบบไหน หรือคนธรรมดาอย่างเราจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไรด้วย มันเลยเหมือนกับว่ากลายเป็นแค่คนดูคนหนึ่ง”
“แต่พอโตขึ้น เราก็เริ่มรู้ว่าจริง ๆ แล้วทุกคนสามารถทำอะไรบางอย่างได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตาม ตอนนี้เราเห็นว่าเยาวชนหลายคนก็ออกมาเคลื่อนไหวได้ แค่บรรยากาศในสังคมมันเกิดมากขึ้น เราก็ยังเชื่อว่าทุกคนสามารถทำอะไรได้ ถ้าเข้าใจว่าการเมืองมันคือเรื่องของ ‘จำนวนนับ’
หมายความว่า—ไม่ใช่แค่คนเดียว หรือแค่บางกลุ่มจะเปลี่ยนอะไรได้ทั้งหมด แต่มันต้องอาศัย “จำนวนคน” ที่ออกมาร่วมกันเยอะพอ จนเกิดแรงผลักดันขึ้นมาได้ และนั่นก็หมายถึงว่า…ทุกคนมีคุณค่า เสียงของเราแม้จะเป็นแค่หนึ่งเสียง แต่มันมีความหมายเสมอ เหมือนกับเสียงของคนอื่นๆ ที่ลุกขึ้นมาพร้อมกัน”
ก่อนถึง 2563
เพราะตัวเราในวันนี้ ต่างประกอบสร้างจากประสบการณ์และความทรงจำในวันวาน
แม้จะเติบโตมาในช่วงเวลาที่พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และชุดข้อมูลมีอยู่อย่างจำกัด แต่ซัมเมอร์ยังคงติดตามข่าวการเมืองอยู่เรื่อย ๆ กระทั่งปี 2563 มาถึง – ปีที่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 และปีที่เกิดการชุมนุมประท้วงทั่วประเทศไทย
“พอเกิดโควิดขึ้น เราก็ต้องกลับจากออสเตรเลียมาไทยอย่างไม่ตั้งใจนัก พอมาถึงก็กลายเป็นมวลชนในการชุมนุมประท้วงไปเลย”
วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 พรรคอนาคตใหม่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค พร้อมสั่งตัดสิทธิทางการเมืองต่อกรรมการบริหาร แม้ในปี 2562 พรรคดังกล่าวจะได้ได้จำนวน สส. ทั้งสิ้น 81 คนจากการเลือก และได้รับคะแนนเสียงเป็นลำดับที่ 3 ของสภาก็ตาม
“ตอนนั้นมันก็มีความรู้สึกหลากหลายปนกันอยู่ในใจนะ ทั้งขนลุก ทั้งโกรธ ทั้งรู้สึกตกใจว่า ‘ทำไมเผด็จการมันถึงทำอะไรได้ขนาดนี้วะ’ ยุบพรรคการเมืองได้ง่าย ๆ เลยเหรอ มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้”
“พื้นฐานแล้วเราว่าเราเป็นคนกลาง ๆ นะ หมายถึงว่าเราอาจจะไม่ได้ไปทุกม็อบ แต่เราก็เห็น แล้วก็รับรู้ แล้วก็บอกตัวเองว่า เออ เราน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ ในฐานะนักวาด”
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการใช้ปลายปากกาเป็นเครื่องมือในการประท้วง ในห้วงเวลาที่เธอบอกว่าต้องการจะพูดในเรื่องที่สำคัญกับเธอ

จากวันวานที่เธอมองว่าตัวเองเป็นเพียงผู้เฝ้ามองเหตุการณ์
วันนี้ เธอได้หยิบปลายปากกาขึ้นมาวาดภาพเพื่อแสดงออก
2563
“เราจำไม่ได้ว่าไพ่ใบแรกเป็นไพ่ใบไหน แต่ช่วงแรก ๆ จะมีพี่ทราย (ทราย เจริญปุระ) รุ้ง (ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล)”
ภาพของเธอปรากฏบนโซเชียลมีเดีย บนท้องถนน และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวช่วยในการแสดงออกทางการเมืองสำหรับใครหลาย ๆ คน
ซัมเมอร์มองว่าศิลปะมีหลายแบบ หลายแนว และหลายอารมณ์ บางครั้งเธอจะเห็นงานศิลปะที่แสดงความโกรธในช่วงการประท้วง และงานเหล่านั้นได้ส่งพลังในแบบของมัน
ขณะเดียวกัน เธอคิดว่างานของเธออาจไม่ได้ใช้ความโกรธเป็นการประท้วง แต่กลับมองว่างานของเธอได้พาความโกรธไปทำหน้าที่ส่งต่อความหวังและปลอบประโลมใจให้กับผู้คน

และในวันหนึ่ง งานของเธอก็ได้กลายเป็นงานที่วาดความหวังในช่วงเวลาที่นักกิจกรรมถูกจำคุก
“ตอนนั้นมีคนรู้จักเราคนนึง เขามาขอให้เราวาดภาพรุ้งอีกภาพ จริง ๆ เราเคยวาดไปแล้วรูปนึง เป็นไพ่ The Empress หรือไพ่จักรพรรดินี เป็นไพ่ใหญ่ที่เกี่ยวกับผู้หญิงที่มีจุดยืนหนักแน่น แต่ภาพที่เขาขอเพิ่มคือภาพรุ้งกับพี่สาว”
“รุ้งมีพี่สาวสองคน เป็นสามพี่น้อง เราเลยวาดภาพที่ตีความว่าเป็นช่วงเวลาที่รุ้งได้กลับมาอยู่กับครอบครัว เป็นภาพที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น มีความสุข ไพ่ที่เลือกใช้คือ “10 ถ้วย” เพราะไพ่ใบนี้สามารถตีความได้ถึงความสุขทางอารมณ์ที่ครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้ากัน”
“ตอนหลังพี่สาวของรุ้งได้มาเห็นภาพในทวิตเตอร์ และได้นำไปทวีตต่อ”
ความหวัง
5 ปีหลังจากการชุมนุมประท้วงที่นำโดยเยาวชนในประเทศไทยเริ่มขึ้น ซัมเมอร์ได้ร่วมเป็นกรรมการคัดเลือกผลงานโปสการ์ดในแคมเปญ FreeRatsadon Postcard Initiative
และมันทำให้เธอได้มองเห็นความหวังร่วมกันของศิลปิน — ในวันที่กว่า 50 คนยังถูกคุมขังจากการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออก
“ก่อนหน้านี้เราตั้งคำถามว่า คนยังสนใจเรื่องผู้ต้องขังจากคดีทางการเมืองอยู่ไหม หรือความสนใจมันค่อย ๆ หายไปแล้ว แต่คำตอบมันชัดเจนมากเลยจากการมองเห็นงานชุดนี้ว่าคนยังสนใจอยู่ แค่อาจยังไม่มีพื้นที่ที่รวมพวกเขาเอาไว้ หรือไม่มีช่องทางให้เขาเจอกันเท่านั้นเอง”
ซัมเมอร์จึงมองว่าแคมเปญดังกล่าวนี้ เป็นเหมือนพื้นที่ที่ทำให้ผู้คนได้พบกัน
“การสร้างพื้นที่สำคัญมาก — พื้นที่ในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นทางการ หรือใหญ่โต มันอาจมาในรูปแบบของนิทรรศการ การประกวด หรือกิจกรรมเล็ก ๆ สักอย่าง ที่คนยังเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญ”
ในฐานะกรรมการที่มองเห็นผลงานกว่า 81 งาน เธอได้เห็นงานหลายชิ้นที่สะท้อนสัญลักษณ์ของเสรีภาพ และได้มองเห็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจเคยลืมที่จะนึกถึง อย่างเช่น “เส้นขอบฟ้า” บนชิ้นงานของหลาย ๆ คน

ถึงศิลปิน
ซัมเมอร์อยากเห็นศิลปินทุกคนวาดงานต่อไป
เพราะเธอเชื่อว่าหนึ่งงานของใครสักคน จะสามารถส่งข้อความถึงใครอีกคนรอบตัวของพวกเขา
“ไม่ว่าคุณจะได้รับการคัดเลือกหรือไม่ เราว่างานพวกนี้มันมีคุณค่ามาก คนที่ได้มายืนดูภาพของคุณ อาจจะได้รับแรงบันดาลใจบางอย่าง อาจจะเริ่มตั้งคำถามกับมาตรา 112 หรือเริ่มสนใจเรื่องสิทธิมนุษยชนของผู้คน มันอาจเริ่มจากตรงนั้นเลยก็ได้”

“เราเลยอยากให้ทุกคน “วาดต่อไป” สนใจประเด็นนี้ต่อไป หรือถ้ายังไม่มีไอเดียจะวาดตอนนี้ก็ไม่เป็นไร..”
“ก็ยังอยากชวนให้ลองอ่านเรื่องราวของผู้ที่ถูกคุมขังคนอื่น ๆ จากบันทึกเยี่ยมของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน หรือเรื่องราวในบทความของแอมเนสตี้ เราเชื่อว่าการได้อ่านเรื่องราวของเขา จะทำให้เราเข้าใจตัวตนของผู้ที่ถูกคุมขัง เข้าใจว่าพวกเขาเจออะไรมาบ้าง และมันจะเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญมากในการทำงานศิลปะหรือสื่อสารอะไรบางอย่างออกไป”
ร่วมชมส่วนหนึ่งของผลงานจากศิลปินในแคมเปญ FreeRatsadon Postcard Initiative 2025 ได้ที่ นิทรรศการ Freedom Beyond Walls ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 27 กรกฎาคม 2567 ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (หอศิลปกรุงเทพฯ หรือ BACC)
หรือเขียนจดหมายออนไลน์ได้ที่ freeratsadon.amnesty.or.th