รายงานสถานการณ์ชุมนุมและการคุกคามปิดกั้นการชุมนุม ระหว่างวันที่ 1321 ตุลาคม 2563

26 ตุลาคม 2563

Amnesty International Thailand

1. ภาพรวมสถานการณ์

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563 การชุมนุมใหญ่ของ “กลุ่มคณะราษฎร” เพื่อเรียกร้องสามข้อ คือ 1) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากนายกรัฐมนตรี 2) ให้รัฐสภาเปิดวิสามัญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน และ 3) ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ก่อนหน้านั้นหนึ่งวันคือวันที่ 13 ตุลาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าสลายการชุมนุมและจับกุมผู้ชุมนุมของกลุ่ม “คณะราษฎรอีสาน” บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ต่อมาในช่วงเช้าวันที่ 14 ตุลาคม เวลาประมาณ 08.00 น. ผู้ชุมนุมเริ่มมาร่วมตัวกันและเริ่มเคลื่อนขบวนในช่วงบ่ายเวลาประมาณ 14.00 น. ไปยังทำเนียบรัฐบาล การชุมนุมของคณะราษฎรดำเนินไปอย่างคู่ขนานกับมวลชนและเจ้าหน้าที่รัฐที่ใส่เสื้อเหลืองรวมตัวกันตลอดสองข้างทางถนนราชดำเนินเพื่อรอรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10  

ก่อนขบวนผู้ชุมนุมคณะราษฎรจะมุ่งหน้าไปยังทำเนียบรัฐบาล เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันสองเหตุการณ์คือ เหตุการณ์แรกเวลาประมาณ 13.00 น. เกิดการปะทะกันบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หน้าร้านศรแดง เนื่องจากผู้ชุมนุมฝ่ายเสื้อเหลืองกับผู้ชุมนุมคณะราษฏร เกิดการกระทบกระทั่งกันขึ้น มีการขว้างปาขวดน้ำใส่กันแล้ว โดยมีเจ้าหน้าที่พยายามเข้าไปสกัดกั้นเพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลาย และเหตุการณ์ที่สองเวลาประมาณ 17.00 น. บริเวณถนนพิษณุโลก ด้านหน้าทำเนียบรัฐบาลได้มีขบวนเสด็จฯ ผ่านมา ผู้ชุมนุมกลุ่มคณะราษฎรจึงได้ชูสัญลักษณ์ 3 นิ้วพร้อมกับส่งเสียงโห่และเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ชุมนุมที่ถูกจับกุมไป ผู้ชุมนุมจำนวนหลายหมื่นคนยึดถนนบริเวณโดยรอบทำเนียบรัฐบาลได้ ท่ามกลางกระแสข่าวการสลายการชุมนุมในตลอดทั้งคืน อย่างไรก็ตามอานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มคณะราษฎร ประกาศว่า ให้ผู้ชุมนุมแยกย้ายในช่วงเช้าของวันที่ 15 ตุลาคม และในเย็นวันเดียวกันให้ไปชุมนุมกันบริเวณสี่แยกราชประสงค์

อย่างไรก็ตามเช้ามืดของวันที่ 15 ตุลาคม เวลา 04.00 น. รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ได้ออก “ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร” โดยอ้างเหตุผล คือ 1) มีบุคคลหลายกลุ่มปลุกระดมให้มีการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายก่อให้เกิดความปั่นป่วนและความไม่สงบเรียบร้อย 2) มีการกระทำที่กระทบต่อขบวนเสด็จพระราชดำเนิน 3) การชุมนุมกระทบต่อมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19 และ 4) กระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงฯ เป็นจุดเริ่มต้นของการสลายการชุมนุมของตำรวจปราบจราจลที่เริ่มตั้งแต่เวลา 04.30 น. แกนนำผู้ชุมนุมอย่าง อานนท์ นำภา, พริษฐ์ ชิวารักษ์ และประสิทธิ์ ครุธาโรจน์ ถูกจับกุมตัว การสลายการชุมนุมได้นำมาสู่การชุมนุมใหญ่โดยไม่มีแกนนำครั้งแรกที่บริเวณแยกราชประสงค์ และนำมาสู่การสลายการชุมนุมในวันที่ 16 ตุลาคม อีกครั้งบริเวณถนนพระราม 1 ใต้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยาม

การใช้ยาแรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสลายการชุมนุมส่งผลให้การชุมนุมขยายตัวมากขึ้นทั้งในด้านพื้นที่ชุมนุมที่ดาวกระจายไปทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมทั้งจำนวนผู้ชุมนุมก็ขยายตัวมากขึ้น ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ก็ยังคงใช้เทคนิคในการคุกคามติดตาม จับกุม และดำเนินคดีกับผู้เข้าร่วมชุมนุมด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์การชุมนุมจะยังไม่มีทีท่าจะยุติลงแต่วันที่ 22 ตุลาคม พลเอกประยุทธ์ ก็ได้ประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งในระยะเวลาตั้งแต่ 13 – 21 ตุลาคม 2563 มีการชุมนุมทั่วประเทศอย่างน้อย 76 ครั้ง มีผู้ถูกจับกุมทั้ง 90 ราย และถูกดำเนินคดี 84 ราย

 

2. การชุมนุม: สถิติ รูปแบบ และข้อเรียกร้อง

การชุมนุมระยะเวลาตั้งแต่ 13 – 21 ตุลาคม 2563 มีการชุมนุมทั่วประเทศอย่างน้อย 76 ครั้ง แบ่งเป็นกรุงเทพฯ อย่างน้อย 16 ครั้ง โดยการชุมนุมอย่างน้อย 15 ครั้งเป็นการชุมนุมภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิกร้ายแรง และต่างจังหวัดอย่างน้อย 60 ครั้ง หลังการสลายการชุมนุมด้วยกำลังตำรวจในช่วงเช้ามืดวันที่ 15 ตุลาคม บริเวณทำเนียบรัฐบาลการชุมนุมในกรุงเทพฯ หลังจากนั้นมีลักษณะที่เหมือนกันคือ ไม่มีแกนนำชัดเจน และไม่มีการจัดการ (การ์ด, เครื่องเสียง) และจุดพลิกที่ทำให้การชุมนุมขยายตัวขึ้นคือ การสลายการชุมนุมในวันที่ 16 ตุลาคม บริเวณถนนพระราม 1 ใต้บีทีเอสสถานีสยามที่มีการฉีดน้ำเข้าสู่ผู้ชุมนุม จนกระทั้งวันที่ 17 ตุลาคม มีการชุมนุมเกิดขึ้นทั่วประเทศอย่างน้อย 22 จุด กล่าวเฉพาะกรุงเทพฯ มีการชุมนุมแบบดาวกระจายนับได้อย่างน้อย 4 แห่ง เช่น ห้าแยกลาดพร้าว วงเวียนใหญ่ แยกบางนา และสกายวอร์คบีทีเอสอโศก ซึ่งเป็นปรากฎการที่ไม่เคยพบมาก่อนหน้านั้น

การชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคณะราษฎรในวันที่ 14 ตุลาคม มีข้อเรียกร้องชัดเจนสามข้อ คือ พลเอกประยุทธ์ ลาออก, เปิดประชุมสภาฯ รับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อมาเมื่อแกนนำถูกจับตัว การชุมนุมหลังจากนั้นจึงเพิ่มข้อเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ชุมนุมโดยไม่มีเงื่อนไข นอกจากนี้เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2563 การชุมนุมที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดย “นักศึกษากลุ่มประชาคมมอชอ” ได้ยื่นข้อเรียกร้องสามข้อต่อมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คือ ให้มหาวิทยาลัยแสดงจุดยืนเกี่ยวกับนักศึกษาที่ถูกจับ, รัฐหยุดคุกคามประชาชน และยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงทันทีและปล่อยเพื่อนของเรา

 

3. เทคนิคการคุกคาม/ปิดกั้น

การชุมนุมระหว่างวันที่ 13 – 21 ตุลาคม 2563 อย่างน้อย 76 ครั้งทั่วประเทศยังคงพบการคุกคามและปิดกั้นผู้ชุมนุมที่ชุมนุมอย่างสงบและปราศจากอาวุธ จะเห็นว่าเทคนิคต่างๆ ที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้เพื่อพยายามสร้างอุปสรรคให้กับการชุมนุมไม่ได้ผล และความพยายามในการบีบรัดผู้ชุมนุมกับกลายเป็นการเพื่มแรงต้านต่อรัฐบาลมากยิ่งขึ้น โดยในรอบ 9 วันดังกล่าวเจ้าหน้าที่รัฐได้พยายามใช้เทคนิคต่างๆ ในการคุกคาม ปิดกั้น และสร้างอุปสรรคในการชุมนุมดังนี้

 

3.1 ถูกจับกุมและดำเนินคดี

ข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 13 – 21 ตุลาคม 2563 มีผู้ชุมนุมถูกจับกุมอย่างน้อย 90 ราย และมีผู้ถูกดำเนินคดี 84 ราย รายงานไอลอว์ พบว่าเจ้าหน้าตำรวจมีการใช้ทั้งการตั้งข้อหา หมายเรียก และหมายจับทั้งคดีใหม่เก่ามาบังคับใช้กับกลุ่มแกนนำผู้จัดการชุมนุมและผู้เข้าร่วมการชุมนุม อีกทั้ง แกนนำและผู้ชุมนุมหลายคนก็ไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัว นอกจากนี้ยังมีเยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปีอย่างน้อยสามคนถูกจับกุม โดยหนึ่งคนได้รับการปล่อยตัวภายหลังแต่อีกคนหนึ่งถูกดำเนินคดี แต่ได้รับการประกันตัวจากศาลเยาวชน

 

สำหรับคดีที่ผู้ชุมนุมถูกต้องข้อหามีดังนี้

1. ป.อาญา มาตรา 110 ประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระราชินีหรือรัชทายาท ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบหกปีถึงยี่สิบปี

2. ป.อาญา ม.116 ข้อหายุยงปลุกปั่นฯ โทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี

3. ป.อาญาฯ ม.215 มั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อความวุ่นวาย โทษจำคุกไม่ 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

4. ป.อาญาฯ ม.358 ร่วมกันทําให้เสียทรัพย์ โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท

5. ป.อาญาฯ ม. 360 ทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ จำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

6. ป.อาญาฯ ม.368 ไม่ปฏิบัติตามคําสั่งเจ้าพนักงาน โทษจำคุกไม่เกิน 10 วัน ปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

7. ป.อาญาฯ ม.385 ร่วมกันกีดขวางทางสาธารณะจนอาจเป็นอุปสรรคต่อความปลอดภัยหรือความสะดวกในการจราจร โทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท 

8. ป.อาญาฯ ม.391 ร่วมกันใช้กำลังทำร้ายผู้อื่น แต่ไม่เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

9. ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ชุมนุมทำกิจกรรมหรือมั่วสุมที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

10. พ.ร.บ.โรคติดต่อ ม.34 (6) กระทำการหรือดำเนินการใด ๆ ซึ่งอาจก่อสภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะซึ่งอาจเป็นเหตุให้โรคติดต่ออันตรายแพร่ระบาด โทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท

11. พ.ร.บ.จราจรทางบก ม.114 ร่วมกันวาง ตั้ง ยื่น หรือแขวนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือกระทำด้วยประการใด ๆ ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจร โทษปรับไม่เกิน 500 บาท

12. พ.ร.บ.รักษาความสะอาดฯ ม.12 ร่วมกันขูด กระเทาะ ขีด เขียน พ่นสี หรือทำให้ปรากฏด้วยประการใดๆ ซึ่งข้อความ ภาพ หรือรูปรอยใดๆ บนถนน โทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท

13. พ.ร.บ.รักษาความสะอาดฯ ม.19 ร่วมกันตั้ง วาง หรือกองวัตถุใดๆ บนถนน โทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท

14. พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ม.10 ฐานการไม่แจ้งการชุมนุมสาธารณะ

15. พ.ร.บ.คอมฯ ม.14(3) นำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร

 

3.2 สลายการชุมนุม

การสลายการชุมนุมเกิดขึ้น 3 ครั้ง คือ ครั้งแรกวันที่ 13 ตุลาคม การสลายชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เจ้าหน้าที่ใช้กำลังเข้าสลายมีการฉุกกระชากผู้ชุมนุมจนสามารถจับตัวได้ทั้งหมด 23 คน  ครั้งที่สองวันที่ 15 ตุลาคม การสลายชุมนุมบริเวณทำเนียบรัฐบาล  และครั้งที่สามวันที่ 16 ตุลาคม 2563 สลายชุมนุมบริเวณถนนใต้รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสยาม การสลายครั้งนี้ ตำรวจชุดปราบจราจล พร้อมโล่ กระบอง และรถฉีดน้ำ ใช้กำลังสลายการชุมนุมโดยเริ่มจากการกระชับพื้นที่เข้าใกล้ผู้ชุมนุม และประกาศให้ผู้ชุมนุมเลิกการชุมนุม โดยให้เวลา "5 นาที" เมื่อผู้ชุมนุมไม่เลิกจึงเกิดการปะทะ ตำรวจใช้กำลังหลายร้อยนายตั้งแถวหลายชั้นเดินเข้าหาผู้ชุมนุม และใช้รถแรงดันน้ำฉีดไปที่ผู้ชุมนุมหลายครั้ง จนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากแรงดันน้ำและถอยแนวร่นไปทางสี่แยกปทุมวัน โดยยังมีการใช้น้ำสีฟ้าฉีดสลับกัน ผู้อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า รู้สึกแสบตาและแสบบริเวณผิวหนัง การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจในครั้งนี้ ถือเป็นการใช้ความรุนแรง ซึ่งผิดกับตำรวจที่อ้างเสมอว่าได้ "ทำตามหลักสากล"

  

3.3 การติดตามคุกคาม 

รายงานจากศูนย์ททนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนมีการชุมนุมนอกพื้นที่กรุงเทพมหานคร อย่างน้อย 3 ครั้ง คือ วันที่ 18 ตุลาคม ชุมนุม #เผด็จการเป็นเหตุศรีสะเกษจะไม่ทน, ชุมนุม #อำนาจเจริญไม่ทนเผด็จการ และชุมนุม #สุพรรณจะไม่ทน พบว่า ผู้จัดและผู้มีบทบาทในการปราศรัยถูกเจ้าหน้าที่คุกคาม ทั้งโทรถามประวัติ ติดต่อไปยังคนใกล้ชิด ไปหาถึงบ้าน รวมทั้งการข่มขู่ห้ามไม่ให้ประชาชนไปชุมนุม

ตัวอย่าง กรณีนักเรียน ม.6 ร.ร.หัวตะพานวิทยาคม จังหวัดอำนาจเจริญซึ่งร่วมปราศรัยในการชุมนุม #อำนาจเจริญไม่ทนเผด็จการ ถูกติดตามคุกคาม โดยหลังจากนักเรียนกลับถึงบ้านได้รับการบอกเล่าจากแม่และย่าด้วยน้ำเสียงแตกตื่นว่า ผู้ใหญ่บ้านมาบอกว่า ตอนค่ำตำรวจโทรมาหาและให้บอกไม่ให้ไปร่วมชุมนุม และช่วงดึก มีคนโทรมาหาแม่อีก บอกว่าเป็นตำรวจจากกรุงเทพฯ และพูดในลักษณะข่มขู่ว่า มีคำสั่งมาว่า หากเขาไปร่วมชุมนุมอีก อาจจะถูกดำเนินคดี และถ้าหมายมาถึงบ้านต้องไปรับทราบข้อกล่าวหาร่วมกันทั้งครอบครัว เพราะเขาอายุไม่ถึง 20 ปี อาจจะติดคุกทั้งพ่อแม่ ใช้เงินประกันหลักล้าน ถ้าติดคุกไปอาจโดนซ้อม หมดสิทธิเข้ามหาวิทยาลัย ตอนท้ายชายคนดังกล่าวนัดให้แม่ไปพบที่ สภ.เมืองอำนาจเจริญ ในช่วงกลางวันวันรุ่งขึ้น ซึ่งทำให้แม่เกิดความหวาดกลัว

กรณีหญิงเจ้าของร้านเสริมสวยวัย 32 ปี จังหวัดสุพรรณบุรี เล่าว่า วันที่ 19 ตุลาคม 2563 มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบประมาณ 4-5 นาย เดินทางมาร้านที่น้องสาวของเธอทำงาน โดยมีการถือรูปบัตรประชาชนของน้องเข้ามา แล้วถามว่าน้องได้ร่วมชุมนุมเมื่อวานหรือไม่ น้องยืนยันว่าไม่ได้ไป โดยคาดว่าเจ้าหน้าที่อาจจะเห็นว่าน้องสาวของเธอตัดผมและหน้าตาคล้ายคลึงกัน จึงเข้าใจว่าเป็นตน จากนั้น ตำรวจได้เข้าไปยังร้านของแฟนซึ่งเป็นตึกแถวอยู่ใกล้ๆ กับร้านของน้องสาวเธอ โดยเข้ามาคุยในร้าน และมีการแสดงภาพถ่ายบัตรประชาชนของแฟน เจ้าหน้าที่ถามเช่นเดิมว่าได้ไปร่วมชุมนุมหรือไม่ แฟนเธอก็ยอมรับว่าไป เจ้าหน้าที่ได้พูดคุยสั้นๆ ว่าให้ระมัดระวังการไปร่วม ตอนแรกเจ้าหน้าที่จะขอถ่ายคลิปวิดีโอเพื่อให้แฟนของเธอพูดยอมรับว่าไปชุมนุมด้วย แต่แฟนเธอปฏิเสธ ก่อนเจ้าหน้าที่จะกลับไป

  

3.4 การจำกัดการเดินทาง

การชุมนุมตั้งแต่วันที่ 15 – 21 ตุลาคม 2563 ผู้จัดชุมนุมได้ใช้สื่อโซลเซียลมีเดียในการนัดร่วมตัวกัน ซึ่งเน้นการร่วมตัวกันตามแนวรถไฟฟ้า เนื่องจากง่ายในการเดินทางและการเคลื่อนย้ายผู้คนจากอีกจุดไปอีกจุดได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงทำให้รัฐบาลออกคำสั่งปิดสถานีรถไฟฟ้าหลายสถานีทำให้การชุมนุมมีอุปสรรค

 

3.5 มหาวิทยาลัยตั้งด่านห้ามคนนอกเข้า ตำรวจขอห้ามพูดเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์

วันที่ 18 ตุลาคม มีการนัดชุมนุมที่ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี แต่หน้ามหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานีมีการตั้งด่านจุดตรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครอง โดยอ้างว่าเป็นคำสั่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีห้ามคนนอกเข้า ให้เพียงนักศึกษาและคณะอาจารย์เข้าไปได้เท่านั้น อย่างไรก็ตามนักศึกษาจึงได้ตัดสินใจย้ายไปชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์กรมหลวงประจักษ์ที่อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยไม่ถึง 50 เมตร โดยการชุมนุมครั้งนี้ตำรวจขอให้ผู้จัดไม่ปราศรัยเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์