“สวัสดีแม่ที่รักของพ่อ”
คือข้อความเริ่มต้นของจดหมายถ้อยคำลงท้ายเขียนเป็นคำว่า “รักแม่มาก” ผ่านระยะทางกว่า 9,437 กิโลเมตรจาก “คุณลุง” ถึงคนรักอย่าง “คุณป้า” อัญชัญ ปรีเลิศ
เดือนกุมภาพันธ์ เป็นเดือนแห่งความรักที่คู่รักหลายคนได้ใช้เวลาร่วมกัน ท่ามกลางลมหนาวที่ค่อย ๆ จางไปของประเทศไทย เราได้พูดคุยกับคนรักของอัญชัญ ปรีเลิศ ที่วันนี้ใช้ชีวิตอยู่ประเทศแห่งความรักและการเปลี่ยนแปลงอย่างประเทศฝรั่งเศส
“คุณป้า” คือชื่อที่ผู้คนใช้เรียกอัญชัญ ปรีเลิศ ผู้ถูกคุมขังจากการแสดงออกทางการเมืองที่มีอายุมากที่สุดในประเทศไทยในตอนนี้
“คุณลุง” จึงเป็นคำเรียกที่เราอยากชวนทุกคนมารู้จักคนรักของเธอไปด้วยกัน
‘เล็กโดนจับเมื่อวานนี้ ทหารมาเต็มบ้านเลย’
ก่อนจากลา, 2568
22 พฤษภาคม 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้ายึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนพร้อมประกาศมาตรการพิเศษที่ยังคงบังคับใช้อยู่ในจังหวัดชายแดนใต้อย่างกฎอัยการศึก ทำให้มีผู้ถูกเรียกไปรายงานตัวอย่างน้อย 666 คน มีผู้ที่ถูกจับกุมอย่างน้อย 362 คน และผู้ที่ถูกเรียกและถูกจับรวมกันอย่างน้อย 976 คน
หนึ่งในจำนวนผู้คน 666 คน คือชีวิตที่เปลี่ยนไปของคุณลุง
10 ปีหลังจากวันนั้น เราพูดคุยกันในช่วงเวลาอาหารเย็นของประเทศไทยที่ประจวบเหมาะกับช่วงอาหารกลางวันที่ประเทศฝรั่งเศส บทสนทนาที่เราเริ่มต้นพูดคุยกันจึงเป็นเรื่องเมนูอาหารที่ได้กินในวันนี้
“ที่ฝรั่งเศสวันนี้อากาศยังหนาว อุณหภูมิราว -2 องศา ถ้าช่วงไหนหิมะตกจะเย็นสบาย แต่ถ้าไม่ตกจะหนาวมาก วันนี้เลยทำข้าวต้มเป็นอาหารเย็นทานคู่กับแซลม่อนใส่หม้ออบทำเหมือนปลาแดดเดียว” คุณลุงในวัย 75 ปี เล่าเรื่องเมนูอาหารกลางวันให้เราฟังด้วยน้ำเสียงร่าเริง
ในช่วงเวลาของชีวิตบั้นปลายที่ต้องอยู่เพียงลำพังในต่างแดนคุณลุงมักจะทำอาหารกินเองในชีวิตประจำวัน ในวันว่างจะคอยติดตามข่าวสาร หรือดูสื่อบันเทิงของประเทศไทยบ้าง ของต่างประเทศบ้าง บางวันก็ยังคงออกไปทำงานช่างตามวิชาชีพเก่าในบ้านเกิดที่ติดตัว
ท่ามกลางวิกฤตสิทธิมนุษยชนช่วงหลังรัฐประหารปี 2557 เขาถูกออกหมายเรียกโดยที่ไม่ทันตั้งตัว
ในช่วงเวลาเดียวกันคนรักของเขาถูกควบคุมตัวไปยังค่ายทหาร
ความไม่แน่นอนบนเส้นทางการละเมิดสิทธิมนุษยชน คือจุดเริ่มต้นที่เขาต้องระหกระเหินไปยังต่างแดน
“ช่วงรัฐประหารลุงอยู่ที่หมู่บ้านหนึ่งที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ใช้วิธีออกมาข้างนอกเพื่อใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะหรือใช้มือถือโทรในตัวเมือง เพื่อที่จะติดต่อเข้าไปในกรุงเทพตามปกติเวลาป้า (อัญชัญ ปรีเลิศ) มีอะไรก็จะฝากข้อความติดต่อกัน แต่คืนวันที่ 24 มกราคมกลับติดต่อเขาไม่ได้
“เช้าวันรุ่งขึ้นก็โทรไปหาเขา แต่กลับโทรเข้ามือถือไม่ติด พบว่าไม่เปิดเครื่อง ก็เลยโทรเข้าบ้านข้าง ๆ กัน เขาบอกว่า ‘เล็ก(ชื่อเล่นของอัญชัญ ปรีเลิศ) โดนจับเมื่อวานนี้ ทหารมาเต็มบ้านเลย’ นั่นคือสิ่งที่ข้างบ้านบอก”
25 มกราคม 2558 ด้วยอำนาจของกฎอัยการศึก เจ้าหน้าที่พร้อมอาวุธบุกเข้าจับกุมที่บ้านของอัญชัญ ปรีเลิศ ที่ย่านจรัญสนิทวงศ์ เธอถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อัปโหลดและเผยแพร่คลิปเสียงของ “บรรพต” ซึ่งมีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ในวันเดียวกัน คุณลุงตัดสินใจขับรถมากรุงเทพฯ ให้เร็วที่สุดหลังจากทราบข่าวสาร
“เหยียบไม่คิดชีวิตเลย” เขาเล่า
“พอถึงแถวบ้านก็พบว่าเข้าไปในซอยไม่ได้ จึงต้องจอดรถที่วัดเดินผ่านเร็ว ๆ เข้าไปที่บ้านเห็นคนนั่งอยู่หน้าบ้านไปถามญาติก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกว่าทหารมายืนตั้งแต่ปากทางเข้าที่บ้านเขา ค้นของหมด
“หลังจากวันนั้นก็ติดต่อป้าไม่ได้แล้ว”
ในระหว่างที่ติดต่อกับอัญชัญไม่ได้ เขาขับรถเพื่อตามหาเธอรอบกรุงเทพมหานครจนถึงสมุทรปราการ หลังจากนั้นไม่นานได้รับสายจากเจ้าหน้าที่รัฐ
‘คุณเป็นสามีของคุณอัญชัญใช่ไหม จะปล่อยคุณอัญชัญแล้วนะ ให้ไปเอาเอกสารที่กรมของคุณอัญชัญ แล้วเอามาให้ผมที่ปอท.’
เหมือนกับภาพยนตร์สักเรื่องที่คุณจะได้เห็นฉากการตามหาคนรักที่หายไปบนเส้นทางของการตามหาความยุติธรรม
เพียงแต่เรื่องราวเหล่านี้คือชีวิตจริง ที่เกิดขึ้นกับผู้คนมากมายในช่วงเวลานั้น
“เราไม่แน่ใจเลยว่าเขาจะล่อเสือออกจากถ้ำหรือเปล่า เลยพาลูกน้องของอัญชัญไปด้วย โดยที่ไม่เอารถยนต์ไป แต่บอกทางการว่าเราไปที่นั่นโดยรถโตโยต้าสีขาว จากนั้นก็ได้ยินเสียงลอดจากโทรศัพท์‘จัดการดักมันไว้’
“สิ่งเหล่านี้มันมาถึงตัวเราแล้ว ตอนนั้นลุงใจสั่น พยายามตั้งสติและไปหลบที่ร้านกาแฟ จนกระทั่งวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ลุงตัดสินใจเช็คข่าวและพบว่าถูกดักเจอที่ปากทางเข้าบ้าน นั่นคือสัญญาณว่าเราต้องหนีแล้ว”
เช่นเดียวกับอัญชัญ ปรีเลิศ ผู้เป็นคนรัก เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นเครือข่ายของบรรพต หมายจับระบุชื่อในวันที่ 30 มกราคม 2568 พร้อมเขียนข้อกล่าวหาหมิ่นประมาทกษัตริย์และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
“บัญชีธนาคารของลุงถูกอายัติ วันที่ทหารบุกเข้ามาที่บ้าน เขาเจอบัญชีเงินฝากของลุง และยึดเอาไป พอต้องไปกดเงินข้อความบนตู้เอทีเอ็มก็ให้ติดต่อสำนักงานฟอกเงิน ภายหลังสอบถามธนาคารก็ได้รับการแจ้งว่าเงินในบัญชีหายไป”
บนทางแยกในช่วงเวลาหลังรัฐประหาร คุณลุงตัดสินใจระหกระเหินจากบ้านเกิดมุ่งสู่ประเทศเพื่อนบ้านนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2558 เป็นต้นมา เขาไม่ได้พบกับอัญชัญอีกเลย
‘พ่อครัว มีอะไรกิน’
จากฝรั่งเศส, 2568
ชีวิตของผู้ลี้ภัยจากคดีทางการเมืองไม่สวยหรู เขาใช้เวลาสักพัก ก่อนที่จะปรับตัวเข้ากับบ้านเมืองใหม่ โดยมีคำสอนของศาสนาพุทธเป็นผู้ปลอบประโลม เหมือนข้อความในจดหมายที่เขาเขียนถึงอัญชัญลงวันที่ 18 กันยายน 2567
‘จากนี้ไปแม่ก็พยายามทำใจทำสมาธิภาวนาลืม-ลด-ละ-เลิกคิดถึงเรื่องเก่าๆคิดถึงปัจจุบันแล้วก็ข้างหน้าที่มันมีประโยชน์จะดีกว่า
ระหว่างนี้เวลาทำใจ(ให้)ปฏิบัติสมาธิไหว้พระสวดมนต์ทำใจให้สบายมีศาสตร์ความรู้ต่าง ๆ ที่พอจะเอามาเป็นแนวทางการทำมาหากิน’
เพราะสถานที่ที่คู่รักทั้งสองคนมักจะเดินทางไปในวันหยุด คือวัด คุณลุงเล่าว่าเขาชอบไปทำบุญด้วยกันกับอัญชัญและมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำบุญ
“อย่างน้อยที่สุดการทำบุญคือการเอาสิ่งที่เราตระหนี่ถี่ถ้วนหรือความหวงแหนที่ไม่ควรสะสมก็ให้เขาไปศาสนาพุทธสอนให้เราต้องไม่มีอะไรมีแค่ตัวเองแค่เวลาแค่ปัจจุบัน”
ในวัย 75 ปีที่ต่างแดนเขาชอบชอบดูข่าว ดูรายการตลก ไปจนถึงการดูอาจารย์เบียร์คนตื่นธรรม นอกเหนือจากการออกจากบ้านไปทำงานช่างตามวิชาชีพในอดีตหรือแปลหนังสือ เขามักจะเดินเพื่อออกกำลังกายเพื่อทำร่างกายให้แข็งแรง
ฝรั่งเศสกลายเป็นบ้านใหม่ คุณลุงเล่าว่าเขาเองก็ชอบทำอาหารสารพัดชาติในวันว่างแต่ไม่ได้แปลว่าจะลืมรสชาติของอาหารไทย
“อยู่ที่นี่ลุงได้ฝึกปรือเรื่องเป็ด ทำครัวซองต์กินเองบ้างแต่หลัง ๆ หมอก็ห้ามเอาไว้เพื่อรักษาสุขภาพ”
“หนูลองไปถามป้า (อัญชัญ) นะ ป้าติดสเน่ห์ปลายจวักของลุง พวกแกงเขียวหวาน แกงเผ็ด แกงมัสมั่น พะแนงแล้วก็แกงไทย ๆ เวลาป้ากลับมาป้าก็จะถามว่า ‘พ่อครัว มีอะไรกิน’ เพราะเขาทำกับข้าวไม่ค่อยเป็น เลิกงานมาก็มีลุงนี่แหละที่ทำอาหารให้เขากิน”
เราถามเขา “ถ้าป้าออกมาจากเรือนจำคุณลุงจะทำอะไรให้เขากินเป็นมื้อแรก”
เขาตอบ “จะเอาอาหารฝรั่งเศสให้กินเป็นมื้อแรกแล้วก็อาหารที่เขาชอบอย่างพวกแกงไทย”
‘คิดถึง’
กรุงเทพ, ก่อน 2558
14 กุมภาพันธ์นี้ อัญชัญอยู่ในเรือนจำมาแล้ว 1,848 วัน
และเป็น 1,494 วันที่พวกเขาคุยกันผ่านจดหมาย
“ลุงว่าจะเขียนจดหมายไปหาป้าอีก ที่เขียนไปเมื่อ10 วันก่อนโดนตีกลับ แต่ช่วงนี้พอนั่งพิมพ์ไปสักพักแล้วตาลาย พอดีแว่นตกแตก ต้องรอเลนส์ใหม่ไปสักพักหนึ่ง”
ชีวิตบั้นปลายของเขาเต็มไปด้วยความทรงจำกับอัญชัญ ปรีเลิศ แม้ในช่วงเวลาที่ต้องห่างไกลกัน ก็มักจะเขียนจดหมายเพื่อพูดคุยกับอัญชัญบนระยะทางนับพันกิโลเมตร
“ที่จริงเรื่องราวความรักระหว่างลุงกับป้าแบ่งออกเป็นสองยุค” เขาเล่าให้ฟังเหมือนญาติผู้ใหญ่ “ในยุคแรก คือช่วงวัยหนุ่มสาว ญาติของลุงเป็นแฟนกับญาติของป้าที่อยู่บ้านริมน้ำข้าง ๆ ก่อนจะมีเหตุที่ไม่ได้เจอกัน”
น้ำเสียงอบอุ่นทำให้คนฟังอย่างเราอดยิ้มไม่ได้
“ยุคหลังคือช่วงเวลาที่มีเหตุการณ์ทางการเมือง หลังจากที่ลุงเกษียณเราได้ทำกิจกรรมที่นั่นที่นี่บ้าง ก็เลยนัดเจอกันในเพจใต้ดิน กินข้าวด้วยกัน เหมือนถ่านไฟเก่ามันคุกรุ่นน่ะ
“ช่วงนั้นลุงเขียนหนังสือบ้าง เราได้คุยกันตามประสาได้อยู่บ้านด้วยกัน และได้พบรักกันเหมือนเดิม ในช่วงวัยไม้ใกล้ฝั่ง”
“ดูเป็นความสัมพันธ์ที่ดีนะคะ” เราพูด
“อยู่กับป้าก็มีความสุขนะ” คุณลุงเสริม
“เราสองคนไม่มีสถานที่โปรด วันไหนขี้เกียจทำกับข้าว ก็จะคุยกันว่า ‘เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า’ ช่วยกันขับรถกลับบ้าน หารเงินกันใช้จ่าย จะคอยถามกันว่า ‘พ่อมีเท่าไหร่ แม่มีเท่าไหร่ จ่ายพอไหม’ ก็ประมาณนั้น ป้าเขาจะเป็นคนใช้จ่ายเก่งเหมือนกัน แต่เขาจะฟังเราว่าควรใช้หรือไม่ควรใช้
“ตอนนี้ลุงก็เป็นห่วงแกอยู่เหมือนกันที่ต้องอยู่ข้างใน คดีของเราไม่เกี่ยวกับอาชญากรรมเนอะ”
“ถ้าคุณลุงอยากฝากข้อความถึงคุณป้าคุณลุงอยากฝากว่าอะไรคะ”
เขาตอบในทันที “คิดถึง รักป้ามาก ฝากบอกป้าว่ารักป้ามาก เป็นห่วง”
จนกว่าวันที่ได้พบกัน ทั้งสองคนยังคงเขียนจดหมายเพื่อเล่าเรื่องราวภายใต้ผืนฟ้าเดียวกัน
และจนถึงวันนี้ ยังมีผู้ที่อยู่ในเรือนจำจากการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกทางการเมือง หรือมีมูลเหตุเกี่ยวข้องกับการเมือง 42 คน
เขียนจดหมายถึงอัญชัญปรีเลิศและผู้ที่ถูกคุมขังได้ที่ freeratsadon.amnesty.or.th
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแอมเนสตี้
บริจาคสนับสนุนแอมเนสตี้