โจ ฟรีแมน นักวิจัยด้านเมียนมาร์ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล แสดงความคิดเห็นต่อรายงานการโจมตีทางอากาศโดยกองทัพเมียนมาร์ ซึ่งกล่าวกันว่าคร่าชีวิตพลเรือนไปมากกว่า 20 ราย รวมถึงเด็ก เมื่อมีการทิ้งระเบิดหลายลูกจากนักบินพาราไกลเดอร์ (Paraglider) ที่ใช้ร่มบินติดเครื่องยนต์ (Paramotor) โดยกล่าวว่า
“รายงานเหตุการณ์ที่น่าสยดสยองนี้เกิดขึ้น หลังจากการโจมตีในช่วงดึกของวันจันทร์ที่ผ่านมา (6 ตุลาคม 2568) ในบริเวณภาคกลางของเมียนมาร์ และน่าจะเป็นการเตือนสติที่น่าสยดสยองว่าพลเรือนในเมียนมาร์ต้องได้รับการปกป้องอย่างเร่งด่วน
“ประชาคมระหว่างประเทศอาจลืมเรื่องความขัดแย้งในเมียนมาร์ไปแล้ว แต่กองทัพเมียนมาร์กำลังได้ประโยชน์จากความเข้มงวดที่น้อยลงนี้เพื่อก่ออาชญากรรมสงครามโดยไม่ต้องรับโทษ”
โจ ฟรีแมน นักวิจัยด้านเมียนมาร์ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
“พวกเขายังคงสังหารพลเรือนทุกวัน โดยใช้วิธีการต่างๆ เช่น การใช้นักบินร่มร่อนติดเครื่องยนต์ โดยเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในพื้นที่เดียวกับที่เกิดการโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้น ซึ่งแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้บันทึกไว้ด้วยความวิตกกังวล
“นี่จะเป็นการโจมตีครั้งล่าสุดในบรรดาการโจมตีหลายต่อหลายครั้ง ย้อนกลับไปได้เกือบห้าปีนับตั้งแต่การเริ่มต้นการรัฐประหารในปี 2564 ขณะที่กองทัพพยายามทำให้อำนาจของตัวเองมั่นคง ด้วยการจัดการเลือกตั้งที่ควบคุมขั้นตอนเบ็ดเสร็จภายในปลายปีนี้ กองทัพกำลังยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นในการใช้ความรุนแรงยับยั้งกลุ่มต่อต้านที่ปกติก็โหดร้ายมาโดยตลอดอยู่แล้ว”
“ในขณะที่เตรียมการประชุมในปลายเดือนนี้ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) จำเป็นต้องเพิ่มแรงกดดันต่อรัฐบาลทหารและแก้ไขแนวทางที่ส่งผลร้ายต่อประชาชนชาวเมียนมายาวนานเกือบห้าปี นับตั้งแต่การรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยของประเทศ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติควรรายงานสถานการณ์ในเมียนมาในทุกมิติไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศด้วย”
ภูมิหลัง
รายงานและข้อมูลที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้รับแจ้ง ระบุว่าประชาชนจากชุมชนต่างๆ ในเมืองช่องอู้ แคว้นสะแคง ได้รวมตัวกันในหมู่บ้านแห่งหนึ่งเมื่อค่ำวันที่ 6 ตุลาคม เพื่อร่วมจุดเทียนไว้อาลัยอย่างสงบ เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักโทษที่ถูกคุมขังโดยพลการ คัดค้านการเกณฑ์ทหาร และประณามการเลือกตั้งที่จัดโดยคณะทหารในเดือนธันวาคม พิธีจุดเทียนดังกล่าวจัดขึ้นในคืนวันเพ็ญของเทศกาลตะดิงยุตของเมียนมา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กลุ่มต่อต้านติดอาวุธยังคงเคลื่อนไหวอยู่
จากข้อมูลของผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ระบุว่า การโจมตีครั้งแรกเมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. คร่าชีวิตผู้คนอย่างน้อย 17 ราย รวมถึงเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีอย่างน้อย 1 ราย มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายสิบรายอาการสาหัสเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในพื้นที่ มีรายงานว่าการโจมตีครั้งต่อมาเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. แต่ไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก ทั้งสองเหตุการณ์เกิดขึ้นโดยใช้ร่มบินติดเครื่องยนต์ ซึ่งจะส่งเสียงคล้ายเลื่อยยนต์เมื่อเข้าใกล้ โดยสื่อรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตรวมกว่า 20 ราย
สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ระบุในเดือนกันยายนว่า การโจมตีด้วยร่มบินติดเครื่องยนต์เหล่านี้มักกระทำโดยการทิ้งกระสุนปืนครกขนาด 120 มม. จากท้องฟ้า ซึ่งเป็นการโจมตีแบบไม่เลือกเป้าหมาย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้สัมภาษณ์พยานเหตุการณ์โจมตีด้วยร่มบินติดเครื่องยนต์ในเมืองเดียวกันนี้เมื่อเดือนมีนาคม หลังจากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในภาคกลางของเมียนมาร์
ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าการใช้ร่มบินติดเครื่องยนต์ของกองทัพพม่าเกี่ยวข้องกับการขาดแคลนทรัพยากร เช่น เชื้อเพลิงเครื่องบินเจ็ท ซึ่งกองทัพต้องการสำหรับเครื่องบินขับไล่หรือไม่ โดยในปี 2565 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้เผยแพร่รายงาน Deadly Cargo ซึ่งเกี่ยวกับการขนส่งเชื้อเพลิงเครื่องบินเจ็ทให้กับกองทัพเมียนมาร์ และได้ติดตามกลยุทธ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของกองทัพในการนำเข้าทรัพยากรดังกล่าวนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา