แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ “Solidarity for Arnon: We Are All Arnon – Raise Your Sign, Stand for Justice” ในวันที่ 25 มิถุนายน 2568 ที่บริเวณป้ายรถโดยสารสาธารณะที่ด้านหน้าศาลอาญารัชดา เพื่อแสดงจุดยืนเคียงข้างอานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชนที่ถูกดำเนินคดีจากการใช้เสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ กิจกรรมในวันนี้มีเป้าหมายเพื่อเรียกร้องให้ทางการไทยยุติการดำเนินคดีอาญาทั้งหมด และให้สิทธิในการประกันตัวและปล่อยตัวเขาโดยทันทีและไม่มีเงื่อนไข

คดีที่ 9 ของอานนท์ นำภา วันแห่งคำพิพากษาและคำถามถึงความยุติธรรม
กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นในวันเดียวกับที่ศาลชั้นต้นนัดอ่านคำพิพากษาใน คดีมาตรา 112 คดีที่ 9 หมายเลขดำ อ. 2887/2564 ของอานนท์ นำภา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปราศรัยในการชุมนุม “#2ธันวาไปห้าแยกลาดพร้าว เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2563 ในการปราศรัยครั้งนั้น อานนท์ได้วิพากษ์กระบวนการยุติธรรม วิจารณ์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปได้ แม้จะอาศัยอยู่ในบ้านพักทหาร ตลอดจนเสนอข้อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้ คำพิพากษาคดีของอานนท์ นำภา ยังสะท้อนถึงการละเมิดสิทธิในการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม เนื่องจากในกระบวนการพิจารณาคดี พบข้อกังวลหลายประการ อาทิ ศาลปฏิเสธคำร้องขอเรียกพยานหลักฐานฝ่ายจำเลย โดยอ้างว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญเมื่อจำเลยปฏิเสธการซักค้านโดยไม่มีพยานหลักฐาน ศาลกลับยกเลิกการไต่สวนทั้งหมด และนัดฟังคำพิพากษาทันที และศาลสั่งให้พิจารณาคดีลับ โดยอ้างเหตุผล “ความมั่นคงของชาติ” โดยไม่มีรายละเอียดชัดเจน และห้ามเผยแพร่ข้อมูลในห้องพิจารณา ซึ่งขัดต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศ

กิจกรรมในวันนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญระดับโลก “Write for Rights 2024” ที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เชิญชวนผู้คนทั่วโลกส่งจดหมายให้กำลังใจนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ในกรณีของอานนท์ นำภา มีจดหมายและโปสการ์ดมากกว่า 300 ฉบับ ที่ส่งจากประเทศไทย รวมถึงการรวบรวมรายชื่อ 7,301 รายชื่อ ยื่นต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เรียกร้องให้ปล่อยตัวและยุติการดำเนินคดีกับอานนท์และนักกิจกรรมที่ใช้เสรีภาพโดยสงบ
แอมเนสตี้ เสนอทบทวนกฎหมาย “หมิ่นประมาทกษัตริย์” และไม่ลืมนิรโทษกรรมประชาชน
บัญชา ลีลาเกื้อกูล ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ขอให้รัฐบาลไทยยุติการควบคุมขังนักกิจกรรมและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนภายใต้กฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์ หรือมาตรา 112 พร้อมทบทวนกฎหมายดังกล่าวให้สอดคล้องกับพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะ ICCPR หรือ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ขณะที่การดำเนินคดีและการคุมขังผู้ที่แสดงความเห็นทางการเมืองถือเป็นการละเมิดพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยต้องปฏิบัติตามในฐานะสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC)
“เราขอเรียกร้องให้ปล่อยตัวอานนท์ นำภา และผู้ถูกคุมขังทุกคนจากการใช้สิทธิในเสรีภาพในการแสดงออกโดยทันทีและไม่มีเงื่อนไข รัฐบาลไทยควรทบทวนการใช้กฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์ให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน เช่น ICCPR เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำกฎหมายมาใช้ละเมิดสิทธิประชาชนอย่างเกินขอบเขตดังเช่นกรณีที่ผ่านมา และเรายืนยันว่าจะ ‘ไม่ลืมเรื่องนิรโทษกรรมประชาชน’ และจะเดินหน้าผลักดันร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมประชาชนเข้าสู่การพิจารณาอย่างเต็มที่พร้อมให้กำลังใจและสนับสนุนนักโทษทางความคิดอย่างต่อเนื่อง” บัญชากล่าว
“สำหรับในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ ซึ่งเป็นวันเปิดสมัยประชุมสภา รัฐบาลจะต้องเดินหน้าผลักดันร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฉบับประชาชน ให้เข้าสู่การพิจารณาอย่างเต็มที่ และถือเป็นวาระเร่งด่วน”
ภายในกิจกรรมวันนี้ผู้เข้าร่วมได้สวมหน้ากากใบหน้าอานนท์ ถือโปสเตอร์จากแคมเปญ Write for Rights “เขียน เปลี่ยน โลก” ร่วมถ่ายภาพกับสแตนดี้ของอานนท์และพูดคุยแลกเปลี่ยนกำลังใจกัน พร้อมทั้งได้มีการแจก “ไอศกรีมรสชาติตาสว่าง” ที่สื่อถึงความเป็นมนุษย์ของเขาในฐานะทนายความผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและความเป็นพ่อของลูกทั้งสองสองคนที่รอคอยให้พ่อได้สิทธิในการประกันตัวในวันใดวันหนึ่ง

ข้อมูลพื้นฐาน
อานนท์ นำภา คือทนายความผู้ร่วมก่อตั้งศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (TLHR) อานนท์มีบทบาทสำคัญในการปกป้องผู้ที่ถูกดำเนินคดีจากการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก โดยเฉพาะในช่วงหลังรัฐประหารปี 2557 เขาคือหนึ่งในแกนนำการเคลื่อนไหวปี 2563 ที่ออกมาเสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลไทยอย่างเปิดเผยโดยเฉพาะในประเด็นการใช้กฎหมาย “หมิ่นประมาทกษัตริย์” โดยอานนท์ถูกดำเนินคดีตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ปัจจุบัน อานนท์ถูกดำเนินคดีมากกว่า 26 คดี เป็นคดีตามมาตรา 112 ถึง 14 คดี โดยมีโทษจำคุกรวมสูงถึง 22 ปี 25 เดือน 20 วัน นับเป็นหนึ่งในโทษต่อการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกโดยสงบที่รุนแรงที่สุดต่อการแสดงออกโดยสงบในประวัติศาสตร์ไทยยุคปัจจุบัน แต่ถึงแม้เขาจะอยู่ในเรือนจำ อานนท์ นำภา ยังคงได้รับการยกย่องอย่างต่อเนื่องทั้งในระดับประเทศไทยและระดับนานาชาติ ในฐานะนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม Gwangju Prize for Human Rights, Jarupong Thongsin Award และล่าสุด Front Line Defenders Award 2024 ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ปัจจุบันเขาได้รับรางวัลมาแล้ว 5 รางวัล แบ่งเป็นรางวัลจากต่างประเทศ 3 รางวัล และรางวัลในประเทศ 2 รางวัล ได้แก่ รางวัลจารุพงษ์ ทองสินธุ์ เพื่อประชาธิปไตย (2563) จากสภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในฐานะนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย, Gwangju Prize for Human Rights (2564) จากมูลนิธิ 18 พฤษภารำลึก ประเทศเกาหลีใต้เป็นผู้ต่อสู้กับการกดขี่จากรัฐและเรียกร้องประชาธิปไตย, TIME100 NEXT เป็น 1 ใน 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลต่ออนาคตโลก (2564) จากนิตยสาร TIME ประเทศสหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้นำการเปลี่ยนแปลงเพื่อประชาธิปไตย, Person of The Year – สาขา Social Movement (2564) จากงาน Thailand Zocial Awards โดยไวซ์ไซท์ ประเทศไทย และล่าสุด Front Line Defenders Award for Human Rights Defenders at Risk (2568) จากองค์กร Front Line Defenders ในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยกย่องบทบาทของเขาในฐานะทนายความที่ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แม้ต้องเผชิญกับอันตรายและการคุมขัง ท่าทีของผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนจากองค์การสหประชาชาติ ที่ได้ออกแถลงการณ์ไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยเรียกร้องให้ไทย “ยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112” เนื่องจากมีลักษณะโทษที่รุนแรง กำกวม และเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลยพินิจในการดำเนินคดีอย่างกว้างขวาง และข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 รายงานว่าตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน มีคนที่ถูกดำเนินคดีจากมาตรา 112 ไปแล้วอย่างน้อย 281 คน ใน 314 คดี และในจำนวนนี้มีผู้ที่ถูกลงโทษจำคุกหลายคน และถูกคุมขังต่อเนื่องทั้งที่บางคดีไม่ได้มีเหตุให้ต้องถูกจำกัดอิสรภาพ




