แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เปิดตัวผู้อำนวยการคนใหม่ “บัญชา ลีลาเกื้อกูล” ผู้มีประสบการณ์ในการทำงานระดับนานาชาติ พร้อมเดินหน้าสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบให้กับองค์กร และขยายขอบเขตการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนให้เข้าถึงผู้คนในวงกว้างขึ้น พร้อมมุ่งขับเคลื่อนขบวนการสิทธิมนุษยชนให้เป็นเรื่องของทุกคนทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก
บัญชาเชื่อว่าสิทธิมนุษยชนไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เกี่ยวข้องกับทุกมิติของสังคม ตั้งแต่สิทธิในการมีชีวิต สิทธิในเสรีภาพการชุมนุมประท้วงโดยสงบ สิทธิในเสรีภาพการแสดงออก สิทธิในการเข้าถึงการศึกษาและสาธารณสุขที่ดี ไปจนถึงสิทธิในที่ดินทำกินของกลุ่มคนชายขอบและชาติพันธุ์ ความท้าทายสำคัญต่อจากนี้คือทำอย่างไรให้สังคมเห็นความเชื่อมโยงของประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนกับชีวิตประจำวันของพวกเขา
“เมื่อพูดถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน คนมักคิดว่าเป็นเรื่องของคนอื่น เรื่องไกลตัว แต่แท้จริงแล้ว สิทธิทุกอย่างเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของเราทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการทำงานอย่างเป็นธรรม สิทธิในการเข้าถึงการรักษาพยาบาล หรือสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก คำถามคือเราจะทำให้เรื่องเหล่านี้เป็น ‘เรื่องของทุกคน’ ได้อย่างไร”

บัญชาย้ำว่าสิทธิมนุษยชนไม่ใช่การแบ่งฝั่ง “เห็นด้วย” หรือ “ไม่เห็นด้วย” เท่านั้น แต่คือกระบวนการเรียนรู้ที่ต้องเปิดพื้นที่ให้เกิดการแลกเปลี่ยน เพื่อทำความเข้าใจว่าเหตุใดกลุ่มคนบางกลุ่มถึงต้องการสิทธิขั้นพื้นฐาน และจะทำอย่างไรให้สังคมโดยรวมตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิเหล่านี้ที่ควรเป็นสิทธิของตัวเอง สำหรับแผนการทำงานต่อไปของแอมเนสตี้ ประเทศไทย ภายใต้การบริหารของบัญชาจะมีการยกระดับโครงสร้างองค์กร สร้างระบบที่แข็งแกร่งขึ้น โดยบัญชาให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสิทธิภาพภายในองค์กร เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนประเด็นสิทธิมนุษยชนภายนอกให้ได้อย่างมีพลังมากขึ้น
นอกจากนี้ บัญชายังเน้นว่าจะมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยวิเคราะห์ผลกระทบของโครงการต่างๆ เพื่อให้สามารถนำมาเป็นตัวชี้วัดหรือ “Impact” ให้ชัดเจนขึ้นในเรื่องของผลลัพธ์การดำเนินงานแคมเปญรณรงค์และประเด็นอื่นๆ ที่แอมเนสตี้ขับเคลื่อนเรื่องสิทธิมนุษยชน ส่วนปัจจุบันและในอนาคตแอมเนสตี้ ประเทศไทย อาจจะต้องมีการปรับยุทธศาสตร์การทำงานเพื่อให้ตอบรับกับความเปลี่ยนแปลงของสังคม และสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในปัจจุบัน
บัญชามองว่าแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จะต้องปรับตัวให้ทันกับบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ขณะที่องค์กรจะยังคงยึดมั่นอุดมการณ์ในจุดยืนเดิมควบคู่ไปด้วย นั่นคือการปกป้องสิทธิในเสรีภาพในการแสดงออกและสนับสนุนความยุติธรรมในสังคมต่อจากนี้ ตามเจตนารมณ์ที่เคยดำเนินงานมาหลายสิบปี เพียงแต่จะมีการมองหาโอกาสจากสถานการณ์เรื่องสิทธิมนุษยชนที่โลกให้ความสนใจมากขึ้น รวมถึงนำองค์ความรู้ที่มีจากงานวิจัยของแอมเนสตี้ ห้องเรียนสิทธิมนุษยชน มาปรุงแต่งให้เป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงผู้คนให้มากขึ้น เพื่อค่อยๆ ทำให้เรื่องสิทธิมนุษยชนไม่ดูเป็นเรื่องไกลตัวผู้คนมากเกินไป

ส่วนในแง่ของการทำงานกับภาครัฐ บัญชาแบ่งออกเป็น “แนวราบ” และ “แนวรุก” ในการทำงานต่อจากนี้ โดยบัญชาแบ่งแนวทางการทำงานออกเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้
- แนวราบ คือการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อผลักดันหลักสูตรสิทธิมนุษยชนให้สามารถไปอยู่ในระบบการศึกษาได้
- แนวรุก คือการจุดประเด็นปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนและเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง เช่น ส่งเสริมสิทธิผู้ต้องขังทางการเมืองและปกป้องสิทธิสิทธิในเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบ
“เราต้องสร้าง ‘พื้นที่’ ที่ให้คนจากทุกฝั่งสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้ โดยไม่ถูกปิดกั้น เพราะการมีอยู่ของแอมเนสตี้ไม่ได้ทำงานเพียงเพื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เพื่อหลักการสิทธิมนุษยชนที่เป็นสากล”
สำหรับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ภายใต้การนำของบัญชาในเรื่องการสื่อสารกับสมาชิก ผู้สนับสนุน และอาสาสมัคร บัญชาเน้นย้ำว่าหนึ่งในเป้าหมายหลักของเขาคือการสื่อสารกับสมาชิกและผู้สนับสนุนให้มากขึ้น สร้างช่องทางให้สมาชิกสามารถมีส่วนร่วมกับองค์กรได้อย่างเป็นรูปธรรมและขยายฐานสมาชิกและผู้สนับสนุนให้เติบโตขึ้น และเน้นการลงพื้นที่มากขึ้น
“ที่ผ่านมาแอมเนสตี้ทำงานและยืนหยัดเคียงข้างผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิอยู่แล้ว และคิดว่าเราต้องลงไปทำงานกับชุมชนให้มากขึ้น เพื่อจะได้เข้าถึงปัญหาจริงๆ และเปิดพื้นที่ให้สมาชิกมีบทบาทในการเคลื่อนไหวมากขึ้น ถ้าเราทำให้เห็นว่าแอมเนสตี้ ประเทศไทย มีการทำงานกับผู้คนจริงๆ เชื่อว่าจะทำให้เรามีแนวร่วมมากขึ้นจากนี้ไปในเรื่องสิทธิมนุษยชน”
ขยายฐานพลังจากคนทุกกลุ่ม สร้างการมีส่วนร่วมจากประชาชน
ในโลกที่สิทธิมนุษยชนถูกท้าทายมากขึ้นทุกวัน สายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงพัดผ่านมวลมนุษยชาติอย่างไม่หยุดยั้ง ประเด็นสิทธิและเสรีภาพกลายเป็นสมรภูมิที่ต้องต่อสู้ ไม่ใช่เพียงเพื่อปกป้องสิทธิที่มีอยู่ แต่เพื่อขยายขอบเขตให้ทุกเสียงได้รับการรับฟัง ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ยังคงยืนหยัด และพร้อมปรับตัวเพื่อให้ภารกิจด้านสิทธิมนุษยชนก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
เพื่อให้การเคลื่อนไหวมีพลังมากขึ้น บัญชาบอกว่าการสร้างเครือข่ายเป็นสิ่งจำเป็นมากในตอนนี้ แอมเนสตี้จะต้องก้าวข้ามการทำงานบางรูปแบบ และหันไปจับมือกับภาคการศึกษา องค์กรสิทธิมนุษยชนระดับสากล และสื่อมวลชน เพื่อสร้างฐานทรัพยากรและกำลังคนที่แข็งแกร่ง ให้เกิดการร่วมมือกันอย่างลึกซึ้งเพื่อจะช่วยให้การเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนจับต้องได้มากยิ่งขึ้นจนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
บัญชามองว่าเรื่องสิทธิมนุษยชนไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของนักกิจกรรมหรือองค์กรเท่านั้น แต่คือสิ่งที่ทุกคนมีส่วนร่วมได้ จากนี้แอมเนสตี้จึงมุ่งเน้นขยายฐานสมาชิกให้เข้าถึงคนทุกกลุ่ม เพื่อให้ประชาชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแรงงานข้ามชาติ ชาติพันธุ์ ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ คนพิการ และผู้ลี้ภัย เพราะพวกเขาเหล่านี้คือผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง และการให้พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนกับแอมเนสตี้ บัญชาเชื่อว่าจะทำให้การเรียกร้องสิทธิเป็นไปได้อย่างแท้จริงและมีพลัง
รับมือกับความท้าทายใหม่ การเพิ่มขีดความสามารถด้านสิทธิมนุษยชนสมัยใหม่
โลกไม่ได้หยุดหมุนแต่กำลังวิ่งไปเหมือนสายพานที่ความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าแอมเนสตี้ยังเดินอยู่ด้วยความเร็วคงที่หรือตามความเร็วของสายพานนี้ ก็เหมือนว่าแอมเนสตี้กำลังย่ำอยู่กับที่ ประเด็นสิทธิมนุษยชนก็เช่นกันเป็นเหมือนสายพานที่กำลังเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว จากนี้สำหรับบัญชา แอมเนสตี้จึงเตรียมพร้อมรับมือกับประเด็นใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสิทธิมนุษยชนในภาคธุรกิจ (BHR) การตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานด้วยกระบวนการทางสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (HRDD) และแนวทาง ESG ที่ผสานหลักสิทธิมนุษยชนเข้ากับสิ่งแวดล้อม สังคมและระบบธรรมาภิบาล เขามองว่าการเข้าไปมีบทบาทในประเด็นเหล่านี้จะช่วยให้เรื่องสิทธิมนุษยชนไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงในขอบเขตของกฎหมายและนโยบาย แต่แทรกซึมเข้าไปในทุกภาคส่วนของสังคมและเศรษฐกิจ
“ไม่มีขบวนการใดสามารถเคลื่อนไหวได้เพียงลำพัง การทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายและประชาชนจึงเป็นหัวใจสำคัญของแอมเนสตี้ การสร้างความร่วมมืออย่างเป็นระบบจะช่วยให้การเรียกร้องสิทธิเป็นไปอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันนโยบาย การรณรงค์เพื่อเปลี่ยนแปลงกฎหมาย หรือการสร้างพื้นที่ให้ประชาชนได้แสดงออกถึงความคิดเห็นของตัวเอง”

บัญชาทิ้งท้ายว่าภายใต้การนำของเขาจากนี้ที่มาเริ่มงานแอมเนสตี้ ประเทศไทย จะไม่เพียงเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนประเด็นแคมเปญด้านสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่จะเป็นศูนย์กลางขององค์ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชน ที่จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในสังคมไทยให้เข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนตั้งแต่การปูพื้นฐานองค์ความรู้ และขอให้รอติดตามการขับเคลื่อนงานขององค์กรต่อจากนี้ไป
“แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยจะยืนหยัดทำงานเพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนโดยมุ่งหวังให้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกชาติพันธุ์ ได้รับความเสมอภาค มีสิทธิเสรีภาพ และดำรงชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์โดยเท่าเทียมกัน ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศและปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เพื่อมุ่งหวังให้คนทุกคนอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสันติสุข”