เปิดข้อเรียกร้องภาคประชาสังคม หลังไทยรับตำแหน่งคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน UN

Amnesty International

ในงานเสวนา Thailand: Human Rights Council ความรับผิดชอบต่อสิทธิมนุษยชน: ความท้าทายที่ไทยต้องเจอในที่นั่งคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งจัดขึ้นโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย คาเทีย คริริชชี ตัวแทนจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้กล่าวถึงโอกาสอันดีที่ไทยได้เข้าเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ โดยมองว่า ไทยจะได้แสดงภาวะผู้นำท่ามกลางความท้าทายด้านสิทธิมนุษยชน และจะได้สร้างมาตรฐานการเคารพในสิทธิมนุษยชนในระดับรัฐและระดับภูมิภาค

นอกจากนี้ นักการทูตชำนาญการ กรมองค์กรระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ก็ได้เสริมว่า การที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิก UNHRC จะช่วยให้ไทยได้นำพัฒนาการด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศมาประยุกต์ใช้กับบริบทในประเทศไทย ตลอดจนนำแนวปฏิบัติที่ดีของประเทศไทยไปนำเสนอในเวทีระหว่างประเทศ รวมทั้งเสริมสร้างความตระหนักรู้ด้านสิทธิมนุษยชน และสร้างพลวัตในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนของไทยให้กับส่วนราชการแล้วก็สาธารณชน ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ภาคส่วนต่างๆ ได้มาทำงานร่วมกันอย่างแข็งขันต่อไป

แม้ที่ผ่านมา ประเทศไทยจะมีความก้าวหน้าด้านสิทธิมนุษยชนในหลายประการ แต่ขณะเดียวกัน ไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายและช่องว่างด้านสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะประเด็นสิทธิเสรีภาพของประชาชน และจากการที่รัฐบาลไทยได้ให้คำมั่นสัญญาต่อประชาคมโลกว่า จะดำเนินการแก้ไขกฎหมายในประเทศที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และจะนำกลไกของสหประชาชาติและกลไกพิเศษมาปฏิบัติภายในประเทศ องค์กรภาคประชาสังคมจึงมีข้อเสนอแนะในประเด็นต่างๆ ดังต่อไปนี้

สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุม

อัครชัย ชัยมณีการเกษ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ชี้ให้เห็นสถิติของการดำเนินคดีต่อผู้ชุมนุมทางการเมือง ซึ่งมีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จนถึงปัจจุบันนี้ มีประชาชนถูกดำเนินคดีจากการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกมากถึงเกือบ 2,000 คน และในจำนวนนี้ มีเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี อยู่ถึง 286 คน

นอกจากนี้ อัครชัยยังเปิดเผยว่า นับตั้งแต่การรัฐประหาร เมื่อ พ.ศ. 2549 จนถึงปัจจุบัน รัฐบาลไทยได้รับหนังสือจากผู้เชี่ยวชาญขององค์การสหประชาชาติอย่างน้อย 111 ฉบับ และมีหนังสือจำนวน 104 ฉบับ แสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก และสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม เช่นเดียวกับใน พ.ศ. 2564 มีหนังสือจากองค์การสหประชาชาติระบุว่า ผู้ชุมนุมไม่ควรถูกดำเนินคดีทางอาญาจากการเข้าร่วมการชุมนุมโดยสงบ และยังแสดงความกังวลกับการใช้มาตรการฉุกเฉิน ความผิดยุยงปลุกปั่น เป็นเหตุผลในการสลายการชุมนุมและจับกุมผู้ชุมนุม

ด้วยเหตุนี้ ทางศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน จึงมีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลไทย เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุม ดังนี้

  1. ต้องยุติการดำเนินคดีทางการเมือง และตรากฎหมายนิรโทษกรรมประชาชนที่ถูกดำเนินคดีจากการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ
  2. ต้องปล่อยผู้ต้องขังทางการเมือง
  3. ยุติการดำเนินคดีกับเด็กและเยาวชนที่ออกมาใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุม

กฎหมายอาญา มาตรา 112

การดำเนินคดีต่อประชาชนโดยใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นอีกข้อท้าทายหนึ่งสำหรับการเป็นสมาชิก UNHRC ของรัฐบาลไทย ซึ่งเฝาซี ล่าเต๊ะ เจ้าหน้าที่ฝ่ายรณรงค์เชิงนโยบาย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย อธิบายว่า ทุกวันนี้ มีจำนวนคดีมาตรา 112 มากถึง 307 คดี แล้วก็มีคนที่ถูกคุมขังด้วยมาตรา 112 กว่า 27 คน ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งหรือเกือบครึ่งของคนที่โดนคุมขังอยู่ในปัจจุบัน

จากสถิติและผลกระทบที่เกิดขึ้น ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้สะท้อนข้อเรียกร้องเกี่ยวกับปัญหาการใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 ดังนี้

  1. ต้องแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ให้สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ มาตรฐานสากล
  2. ต้องประกันสิทธิในการประกันตัวของผู้ต้องหาและจำเลยมาตรา 112
  3. ต้องปล่อยตัวผู้ต้องหาคดีหมิ่นประมาทกษัตริย์ หรือคดีมาตรา 112

สำหรับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ก็มีข้อเรียกร้องในประเด็นนี้ ดังต่อไปนี้

  1. ยกเลิกหรือแก้ไขชุดกฎหมายความมั่นคง ซึ่งไม่ได้หมายความแค่มาตรา 112 แต่รวมไปถึง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยกเลิกหรือแก้ไขให้สอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชน หากแก้ไขให้ตอบโจทย์หลักการสิทธิมนุษยชนได้
  2. เร่งผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมประชาชน และยุติการดำเนินคดี หรือปล่อยตัวผู้ถูกคุมขัง จากการถูกดำเนินคดีทางการเมือง จากการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยไม่มีเงื่อนไข     
  3. รัฐต้องยุติการดำเนินคดีต่อเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี
  4. ตั้งกรรมการสอบสวนการใช้กำลังสลายการชุมนุมในช่วง พ.ศ. 2563 – 2565 และออกคำสั่งเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกฝ่าย รวมถึงการแก้ไข พ.ร.บ.ชุมนุมด้วยเช่นกัน เนื่องจากในช่วงระยะเวลานี้ มีการชุมนุมเกิดขึ้นกว่า 4,000 ครั้ง ซึ่งในจำนวนกว่า 4,000 ครั้งนี้ มีการสลายการชุมนุมที่มีความรุนแรง 74 ครั้ง ในจำนวน 74 ครั้ง จากข้อมูลของ Mob Data มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการชุมนุม 604 คน มีคนที่ต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม ซึ่งปัจจุบันก็ยังหาคนผิดมาลงโทษไม่ได้

กรณีตากใบ

กรณีการสลายการชุมนุมที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เมื่อ พ.ศ. 2547 กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง เมื่อคดีหมดอายุความ และไม่สามารถนำตัวผู้กระทำความผิดมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ นับเป็นความท้าทายต่อบทบาทคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลไทยไม่น้อย ประเด็นนี้ อูเซ็ง ดอเลาะ ทนายความจากมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม เป็นผู้ฉายภาพให้เห็นผลกระทบด้านสิทธิเสรีภาพจากการใช้กฎหมายพิเศษในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งกฎอัยการศึก และ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน

อูเซ็งระบุว่า การบังคับใช้กฎหมายพิเศษเหล่านี้ได้เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถใช้อำนาจได้ตามอำเภอใจ ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากถูกควบคุมตัวโดยไม่มีเหตุและไม่ต้องมีหมายจับ และเจ้าหน้าที่ยังใช้อำนาจนี้ในการคุกคาม กดดันผู้ต้องสงสัย ญาติพี่น้อง หรือจำเลยในคดีความมั่นคงต่างๆ รวมทั้งผู้ได้รับผลกระทบในคดีตากใบด้วย ยิ่งกว่านั้น การใช้อำนาจดังกล่าวนำไปสู่การบังคับให้สูญหาย อาจจะมีการทรมาน รวมทั้งมีการฆ่านอกระบบ หรือวิสามัญฆาตกรรม ในกรณีที่ไม่สามารถหาพยานหลักฐานได้ด้วย

กรณีตากใบ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2547 ที่มีประชาชนจำนวนหนึ่งรวมตัวกันเพื่อชุมนุมกดดันให้มีการปล่อยตัวชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ซึ่งถูกกล่าวหาว่าได้มอบอาวุธให้กับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ทว่าเหตุการณ์กลับบานปลาย นำไปสู่การสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรง มีการใช้กระสุนจริงยิงเข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุม ทำให้มีผู้เสียชีวิตในที่ชุมนุมประมาณ 6 คน ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือ ถูกลำเลียงขึ้นรถบรรทุก และถูกสั่งให้นอนทับกันเป็นชั้นๆ บนรถ ก่อนจะเดินทางไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร ซึ่งใช้เวลาเดินทางนานถึง 5 ชม. จนกระทั่งมีผู้เสียชีวิตถึง 78 ราย และอีกจำนวนมากได้รับบาดเจ็บจนถึงขั้นพิการ

“ประชาชนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งญาติของผู้เสียชีวิต ก็รอคอยความยุติธรรม แล้วก็สงสัยว่าในคดีนี้จะมีใครต้องรับผิดชอบ ก็ปรากฏว่า มีการดำเนินคดีกับแกนนำที่ก่อเหตุในการร่วมชุมนุม แล้วก็มีการไต่สวนการตาย ซึ่งศาลมีคำสั่งว่าผู้เสียชีวิตนั้น เสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ แต่ไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อลงโทษผู้กระทำความผิด หรือตรวจสอบความรับผิดชอบในเคสนี้” อูเซ็งกล่าว

สำหรับกรณีตากใบนั้น สัณหวรรณ ศรีสด คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล ระบุว่า ได้มีความเห็นจากกลไกพิเศษเกี่ยวกับกรณีตากใบว่า อายุความของคดีไม่สามารถนำมาปฏิเสธความยุติธรรมกับครอบครัวของผู้เสียชีวิต และผู้ได้รับบาดเจ็บจากกรณีตากใบได้ และเน้นย้ำว่า ตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ การที่จะสอบสวน กำหนดโทษ หรือเยียวยาต่างๆ แก่ผู้เสียหาย ไม่อาจหยุดลงเพียงเพราะเวลาผ่านไป นอกจากนั้น ความล้มเหลวในการสืบสวนสอบสวน และการนำตัวผู้กระทำผิดมาสู่กระบวนการยุติธรรมของเจ้าหน้าที่เอง ในตัวเองเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ด้านทนายอูเซ็งก็มีข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนี้

  1. รัฐบาลต้องมีความจริงจัง มีความจริงใจในการแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งการยุติการคุกคามพี่น้องในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นญาติ ผู้เสียหาย หรือจำเลยในคดีความมั่นคง
  2. รัฐบาล ในฐานะผู้บังคับบัญชา ต้องแสดงความรับผิดชอบ โดยการกล่าวคำขอโทษอย่างเป็นทางการ โดยการออกแถลงการณ์ หรือเดินทางไปพบญาติของผู้ตายด้วยตัวเอง แล้วก็ทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อระลึกถึงการสูญเสียที่เกิดขึ้น
  3. รัฐบาลต้องสนับสนุนแนวทางสันติภาพให้เกิดขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้รอคอย

นอกจากนี้ สัณหวรรณยังมีข้อเสนอแนะถึงรัฐบาลด้วย ได้แก่

  1. ต้องแก้ไขในเรื่องของวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดในบริบทของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขกฎหมายที่เอื้อให้อาจไม่ต้องรับผิด
  2. แก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการแสวงหาความยุติธรรม เช่น เรื่องอายุความ
  3. พัฒนาระบบสืบสวนสอบสวนให้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ละเอียดถี่ถ้วน มีอิสระ เป็นกลาง และโปร่งใส

ด้าน อ.ดร.ศรีประภา เพชรมีศรี อาจารย์จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับความยุติธรรมในกรณีตากใบว่า แม้กระบวนการยุติธรรมอาจจะไม่ได้นำความยุติธรรมมาสู่คดีก็ตาม แต่อยากให้คำนึงถึงกระบวนการยุติธรรมแบบอื่น เช่น ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน (Transitional Justice) ซึ่งก็มีความสำคัญเช่นกัน

การต่อสู้คัดค้านโครงการเหมืองแร่ถ่านหินที่บ้านกะเบอะดิน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่

นอกเหนือจากสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองแล้ว อีกประเด็นหนึ่งที่เป็นข้อท้าทายสำหรับรัฐบาลไทยในเวที UNHRC คือสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ ที่สะท้อนผ่านกรณีการต่อต้านโครงการเหมืองแร่ถ่านหินที่บ้านกะเบอะดิน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ โดยผู้ที่บอกเล่าเรื่องนี้ คือนักกิจกรรมเยาวชนจากบ้านกะเบอะดิน พรชิตา ฟ้าประทานไพร ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อพื้นที่อยู่อาศัยของตัวเอง ตั้งแต่ พ.ศ. 2562 ถึงปัจจุบัน

บ้านกะเบอะดิน เป็นหมู่บ้านของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโปว์ ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก ทว่าใน พ.ศ. 2562 ชาวบ้านได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับโครงการเหมืองแร่ถ่านหิน จำนวนพื้นที่ 284 ไร่ 30 ตารางวา ทำให้ชุมชนลุกขึ้นมาตั้งคำถาม และต่อสู้คัดค้าน เนื่องจากมองว่า โครงการดังกล่าวนี้จะกระทบต่อวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของชุมชน ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงทำให้สูญเสียพื้นที่ที่ชุมชนอาศัยอยู่มาตั้งแต่อดีต

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พรชิตาและชาวบ้านในหมู่บ้านร่วมกันจัดทำข้อมูลเพื่อยืนยันว่าชุมชนไม่ต้องการเหมืองแร่ถ่านหิน และสื่อสารถึงข้อกังวล รวมทั้งประเด็นการต่อสู้ในบริบทของชุมชน ตามด้วยการสร้างเพจ “กะเบอะดิน ดินแดนมหัศจรรย์” เพื่อบอกเล่าวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของชุมชน และโครงการที่จะเกิดขึ้น เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับคนภายนอกชุมชน รวมทั้งสร้างขบวนการเคลื่อนไหว เพื่อสะท้อนความต้องการของชุมชน เสริมพลังให้คนในชุมชนลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อสิทธิของตัวเอง เพื่อทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชน และปกป้องคนในชุมชนด้วยกัน

และสุดท้าย ชาวกะเบอะดินพึ่งพากระบวนการยุติธรรม เพื่อความอยู่รอดของชุมชน โดยยื่นเรื่องฟ้องศาลปกครองเพื่อให้เพิกถอน EIA ซึ่ง EIA ที่บริษัทจัดทำขึ้น เนื่องจาก EIA ดังกล่าวมีข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง มีการบิดเบือนข้อมูล และชาวบ้านเชื่อว่าการลุกขึ้นมาต่อสู้ของชุมชนครั้งนี้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน

อย่างไรก็ตาม พรชิตาและคนในชุมชนยังต้องเผชิญอุปสรรคมากมาย ในการพยายามปกป้องสิทธิเสรีภาพของตัวเอง

“แม้ว่าจะมีการพูดถึงสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองตามอนุสัญญา หรือตามปฏิญญาสากลต่างๆ แต่ก็ยังไม่มีกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองเท่าที่ควร และเรายังคงถูกมองว่าเป็นพลเมืองชั้นสอง หรือชั้นสาม เราถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกกล่าวหาแล้วก็ตีตราว่าเป็นพวกสกปรก ค้ายาเสพติด ทำลายป่า จากเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา เราจะได้เห็นข่าวว่ามีการพูดถึงกลุ่มชาติพันธุ์หรือว่ากะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในป่าว่าเพราะกลุ่มชาติพันธุ์หรือกะเหรี่ยงตัดไม้ทำลายป่า จึงทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลาก รวมไปถึงน้ำท่วม” พรชิตาอธิบาย

นอกจากนี้ ในการต่อสู้ของเธอและคนในหมู่บ้าน ยังต้องเผชิญกับการคุกคามจากกลุ่มผู้สนับสนุนโครงการเหมืองถ่านหิน บางคนถูกฟ้องร้องเพื่อให้หยุดเคลื่อนไหว

“เรารู้สึกว่าข้อท้าทายอย่างหนึ่งก็คือเราไม่มีอำนาจต่อรอง ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ไม่ได้ถูกพูดถึง ไม่ได้ถูกยอมรับในสังคม มันทำให้ไม่เกิดความชอบธรรม ที่ผ่านมาเราเห็นบริษัทเคลื่อนไหวในเพจ มีตัวแทนบริษัทชอบไปคอมเมนต์ในเพจกะเบอะดิน ดินแดนมหัศจรรย์ เขาบอกว่าเขามีสิทธิที่จะเข้าไปทำตามข้อกฎหมายข้อนี้ ตามมาตรานี้ ตามรัฐธรรมนูญนี้ แล้วก็พูดถึงว่า ชาวบ้านที่อาศัยในเขตพื้นที่ป่าสงวน มีความผิดในการที่จะเข้าไปทำกิน หรือว่าไปดำเนินการอะไร ซึ่งอันนี้เรารู้สึกว่า เขาพูดถึงเรื่องสิทธิของเขาเยอะมาก แต่ในทางกลับกัน เราไม่มีสิทธิอะไรเลยที่จะพูดถึงเรื่องสิทธิที่ตัวเองควรจะได้รับในฐานะคนในพื้นที่จริงๆ” พรชิตากล่าว

แม้การเป็นสมาชิก UNHRC ของไทย จะส่งผลให้ภาพลักษณ์ของประเทศมีความเคารพสิทธิมนุษยชนมากขึ้น แต่ในมุมมองของพรชิตา ประเทศไทยยังมีความเหลื่อมล้ำและการละเมิดสิทธมนุษยชนอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ ที่ชุมชนเจ้าของพื้นที่ไม่สามารถมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นหรือต่อรองใดๆ ได้

“ในภาคเหนือของเราถูกทำให้เป็นพื้นที่ทำเหมืองหลายพื้นที่มาก เช่น เหมืองแร่ฟลูออไรด์ที่แม่ลาน้อย เหมืองแร่แบไรต์ที่ดอยเต่า โรงโม่หินที่แม่สะเรียง รวมไปถึงเหมืองแร่ถ่านหินที่อมก๋อยเอง ซึ่งอันนี้ก็ขัดต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชนเช่นกัน พอไปถึงการมีส่วนร่วม ชุมชนไม่รู้อะไรเลย จากการมีหนังสือเข้าไปว่าจะมีโครงการนี้เกิดขึ้นในชุมชนนะ และชุมชนก็ไม่สามารถที่จะรับรู้ข้อมูลได้เท่าที่ควร รวมไปถึงคนรุ่นใหม่ที่จะต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นๆ ในอนาคต เขาก็ไม่มีอำนาจในการออกมาแสดงความคิดเห็นเช่นกัน อันนี้ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่เราพบระหว่างการต่อสู้ที่ผ่านมา”

“ในฐานะที่เราเป็นประชาชน เราคิดว่าเราสามารถที่จะตั้งคำถามนี้ต่อคณะกรรมการเรื่องสิทธิมนุษยชน ว่าการที่ประเทศเราได้รับการคัดเลือก ได้ทำตามที่ตัวเองถูกคัดเลือกไว้ไหม รวมไปถึงว่าจะมีกลไกอะไรบ้างที่จะสร้างความชอบธรรมให้กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการดังกล่าว หรือว่าที่กำลังต่อสู้กับประเด็นปัญหาแต่ละประเด็นอยู่ ส่วนตัวเราก็อยากจะเห็นประเทศนี้มีความเท่าเทียม ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะชนเผ่าพื้นเมือง แล้วก็ทุกคนเป็นพลเมืองเท่าๆ กันในประเทศนี้” พรชิตากล่าว

ด้านสัณหวรรณ จากคณะกรรมการนิติศาสตร์สากล ก็มีข้อเสนอว่า

  1. ต้องประกันการมีส่วนร่วมของประชาชนที่แท้จริง โดยตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการต่างๆ ในการที่ต้องมีกระบวนการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรแล้วก็พื้นที่ของเขา ซึ่งคำว่าการมีส่วนร่วม หมายถึงคุณภาพในการที่ประชาชนมีสิทธิในการพูด ในการแสดงความคิดเห็น และถ้าเขาปฏิเสธ คำปฏิเสธก็ต้องได้รับการพิจารณาด้วย
  2. การปรับปรุงกฎหมายเรื่องที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อให้การดำเนินโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐมีส่วนเองหรือเอกชน ต้องเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ 
  3. ปรับปรุงแนวทางการดำเนินโครงการพัฒนาโดยเอาสิทธิมนุษยชนเป็นศูนย์กลาง

อย่างไรก็ตาม สัณหวรรณสรุปว่า ในกรอบสิทธิมนุษยชน พันธกรณีต่างๆ ไม่ได้ผูกพันแค่รัฐบาลหรือกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องทำความเข้าใจกับฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ เพื่อให้การปฏิบัติตามพันธกรณีเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคประชาสังคมก็มีความสำคัญมาก จึงต้องมีการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนและภาคประชาสังคมได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจต่างๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ วิถีชีวิต สิ่งแวดล้อม

สำหรับพันธกรณีของไทย สัณหวรรณเสนอว่าควรมีคณะกรรมการติดตามการปฏิบัติตามพันธกรณี เพื่อติดตามและทบทวนการทำงานของรัฐบาลตามข้อเสนอแนะที่ได้รับมา โดยการพูดคุยนี้ควรจะมีภาคประชาสังคม รวมถึงตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบอยู่ด้วย

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแอมเนสตี้
บริจาคสนับสนุนแอมเนสตี้