เมล็ดกาแฟที่เดินทางไกลกว่า 800 กิโลเมตร ก่อนจะเดินทางมาถึงแก้วกาแฟของเรา ชวนคุยกับ ‘ชลทิพย์ อั๋งสกุล’ นักศึกษาฝึกงานแอมเนสตี้ ประเทศไทย ผู้ฝันใฝ่อยากเห็นเมืองเปลี่ยนเรื่องสิทธิมนุษยชน

การเลือกสถานที่ฝึกงานอาจเป็นใบเบิกทางในการค้นหาตัวตนและความชอบของเด็กคนหนึ่ง ก่อนที่พวกเขาจะก้าวเข้าสู่โลกการทำงานจริง หลายคนจึงเลือกร่อนใบสมัครไปเรื่อยๆ ไม่ต่างจากการยื่นใบสมัครเข้าทำงาน แต่สำหรับ ‘ชล – ชลทิพย์ อั๋งสกุล’ กลับมองว่าแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยมีอะไรให้น่าค้นหามากกว่านั้น

‘ชลทิพย์’ ยอมรับว่าเขารู้จักแอมเนสตี้จากการรณรงค์ยกเลิกโทษประหารชีวิต ซึ่งเขาในวันนั้นที่อยู่ในวัยมัธยมปลายยอมรับว่าไม่เห็นด้วยกับแนวทางขององค์กรมากเท่าไหร่นัก และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาอยากรู้จักแอมเนสตี้มากขึ้น จึงลองศึกษาทำความเข้าใจอย่างจริงจังแล้วค้นพบว่า นี่แหละคือสถานที่ที่เขาอยากจะลองเข้ามาฝึกฝนทักษะบางอย่างให้แหลมคมมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชน เพราะ ‘ชลทิพย์’ เคยเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ไม่เข้าใจว่าสิทธิมนุษยชน มีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์คนหนึ่งอย่างไร

และนี่คือบทสนทนาว่าด้วยเรื่องราวที่เริ่มจากความไม่รู้ของ ชลทิพย์ อั๋งสกุล นักศึกษาฝึกงานแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ คณะสังคมศาสตร์ สาขาสังคมวิทยาเพื่อการพัฒนา เอกการพัฒนาชุมชนเมือง ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยมองว่าสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องไกลตัว

เลือกเรียนพัฒนาชุมชน เพราะอยากเห็นเมืองไทยก้าวไปข้างหน้า

“ผมชอบดูบ้านเมืองนะ โดยเฉพาะที่กรุงเทพฯ ผมมองว่ากรุงเทพฯ มีปัญหามากกว่าแค่เรื่องชุมชนและมากกว่าที่อื่นๆ ในประเทศ ซึ่งรูปแบบของปัญหาอาจจะแตกต่างกันก็จริง แต่คิดว่าท้ายที่สุดแล้วปัญหาในเมืองใหญ่ยังไงก็ต้องเริ่มแก้ไขในสักวัน”

ชลทิพย์เล่าย้อนกลับไปช่วงเลือกเรียนวิชาเอกเกี่ยวกับการพัฒนาชุมชนเมือง ซึ่งเขาเห็นปัญหาเหล่านี้มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผังเมือง ชุมชนแออัด เมื่อเกิดการแออัด ทำให้ปัญหาอื่นย่อมตามมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสุขภาวะ ทั้งน้ำเน่าเสีย กองขยะสูงเป็นภูเขา รวมถึงปัญหาอาชญากรรมที่มีเข้ามาไม่เว้นวัน ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เขาเห็นและอยากจะเปลี่ยนแปลงเมือง แม้จะดูเป็นความคิดฝันที่ใหญ่โต แต่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งเขาอยากจะทำตรงนี้ให้สำเร็จในสักวันหนึ่ง

นอกจากเรื่องเมืองที่ชลทิพย์สนใจแล้ว เขายังมีงานอดิเรกที่ชื่นชอบคือการถ่ายภาพตึกรามบ้านช่อง ซึ่งการที่เขามองเห็นบ้านเมืองผ่านเลนส์กล้อง ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่า สิ่งที่หลายคนเคยมองผ่านสายตา บางทีอาจปรากฏอยู่ในภาพถ่ายแต่ละใบก็เป็นได้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาแบ่งเวลาระหว่างการเรียนไปกับการเดินถ่ายภาพตามสถานที่ต่างๆ ในเมือง

ชลทิพย์เดินทางสำรวจแทบทุกหนแห่งในเมือง ก่อนจะพบว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี บ้านบางหลังเป็นเพียงหลังคามุงสังกะสีแทรกตัวอยู่ตามตึกสูง นี่คือสิ่งที่คนไทยต้องเผชิญอยู่ในทุกเมื่อเชื่อวัน บนความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ปรากฏผ่านสายตา บริบทเหล่านี้คือความเป็นจริงที่ทำให้เขาเห็นแล้วถึงกับต้องหยุดชะงัก และสนใจที่อยากจะเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนสังคมให้มีความเสมอภาคมากยิ่งขึ้นได้

“ผมเริ่มจับกล้องถ่ายรูปตอน ม.2 และเริ่มมีโปรเจกต์ส่วนตัวตอน ม.6 ชื่ออัลบั้ม ‘คนข้างทาง’ แต่ผมลบไปแล้วนะ เพราะว่าผมไปสัมภาษณ์คนไร้บ้านตรงหัวลำโพง ถามเรื่องราวชีวิตของเขา และถ่ายเป็นพอร์ตเทรต ให้ค่าตอบแทนเขาไป เป็นอัลบั้มภาพที่ผมทำแล้วรู้สึกผิดจึงลบไป เพราะรู้สึกว่ามันเป็นภาพของสวนสัตว์มนุษย์ เพราะผมเหมือนไปเอาความสงสารของเขามาขาย ตอนนั้นเอาลงในเฟซบุ๊ก ชื่อเพจ ‘Rainysep่’ โดยภาพจะมีทั้งหมด 6 ภาพ 6 คน เป็นเรื่องราวของเขา กว่าจะมาเป็นคนข้างทาง ถ่ายเมื่อปี 2564”

ส่วนเหตุผลที่ชลทิพย์ชอบถ่ายภาพเป็นเพราะเขามองว่าภาพทุกใบที่ถ่ายออกมา สะท้อนถึงคุณค่าบางอย่าง และคุณค่าเหล่านั้นทำให้ชีวิตนักศึกษาของเขาไม่เหี่ยวเฉา เรียกว่าสถานที่ที่เขาไป ภาพที่เขาถ่าย เป็นเหมือนน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตนักศึกษาคนหนึ่งให้อยากพัฒนาเมืองให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น

“ผมชอบความรู้สึกทุกครั้งที่ได้จับกล้องถ่ายรูป ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมทำอยู่มีคุณค่า ผมเคยอยู่บ้านและไม่ได้ทำอะไร รู้สึกว่าไม่ได้สร้างคุณค่าอะไรให้กับสังคมและตัวเองเลย”

กระทั่งตัดสินใจยื่นผลงานภาพถ่ายชุมชนในสถานที่ต่างๆ สมัครเข้าฝึกงานที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เพราะอยากจะรู้จักองค์กรแห่งนี้มากขึ้น

“ในสายตาคนนอก ผมยอมรับว่าตอนแรกไม่รู้ว่าแอมเนสตี้ทำอะไร แต่พอศึกษาดู เห็นว่ามีเรื่องที่เราสนใจ คือเรื่องการยกเลิกโทษประหารชีวิต ผมเลยอยากลองสมัครมาฝึกงานที่นี่ดู เพราะหลายๆ องค์กรเขาไม่กล้าแตะเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แต่ที่นี่กล้า ผมมองว่าที่นี่เพดานสูงมากเมื่อเทียบกับที่อื่น ที่นี่เฟี้ยวจริง”

เมื่อถามถึงสิ่งที่ชลทิพย์ชอบที่สุดในการทำงานที่นี่ เขาตอบว่าเขาชอบวิธีคิด เช่น บางเรื่องที่คิดว่าตัวเองคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยเล็กน้อยที่เขายังคิดไม่ถึงเพื่อให้การทำงานนั้นลงลึกไปในรายละเอียด เช่น การออกแบบภาพโปสเตอร์รับสมัครงานที่ต้องตระหนักถึงความหลากหลายทางเพศ ที่ปัจจุบันไม่ได้มีแค่เพศชาย และหญิง แต่ต้องคำนึงถึงอัตลักษณ์ทางเพศและความหลากหลายของมนุษย์ให้มากขึ้น

“ตอนผมออกแบบภาพโปสเตอร์ ยอมรับว่าไม่ได้คิดถึงเรื่องเพศสภาพเลย เราก็ทำเป็นแอนิเมชันผู้ชายคนเดียวนั่งอยู่บนหน้าคอมพิวเตอร์ พี่เขาบอกว่าต้องมีผู้หญิงด้วยหรือไม่ต้องมีผู้ชายคนนี้เลยก็ได้ จะได้ดูเท่าเทียมกัน ทักษะนี้โคตรว้าว เวลาผมทำงาน ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ก็ดีครับ ได้ความละเอียดอ่อนมากขึ้น”

800 กิโลเมตรก่อนจะเดินทางมาถึงแก้วกาแฟ

อีกหนึ่งงานใหญ่ที่ชลทิพย์ปั้นขึ้นมาขณะกำลังฝึกงานคือ “โครงการ 800 กิโลเมตรก่อนจะเดินทางมาถึงแก้วกาแฟ” โปรเจ็กต์ที่ดึงเอารสสัมผัสอันโดดเด่นของกาแฟจากจังหวัดน่าน ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ถึง 800 กิโลเมตร มาเป็นตัวชูโรง ชลทิพย์เล่าให้ฟังว่าเขาเริ่มเดินทางวันที่ 8 เมษายน เวลา 17:00 น. เลือกนั่งรถทัวร์จากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่จังหวัดน่านอย่างไม่ลังเล ก่อนจะเช่ารถมอเตอร์ไซค์เพื่อขึ้นไปบนดอย ระยะทางอีกกว่า 50 กิโลเมตร กว่าจะถึงจุดหมายก็กินเวลานานถึง 2 ชั่วโมง แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาหมดไฟในการผลักดันโครงการนี้ให้สำเร็จ

จุดหมายของชลทิพย์คือการเข้าร่วมเวิร์กช็อปเป็นเวลา 2 วัน 1 คืน เพื่อทำความรู้จักสายพันธุ์กาแฟกว่า 6 ชนิด โดยมี ‘กล้วย-วิชัย กำเนิดมงคล’ ผู้ก่อตั้งกาแฟเดอม้ง เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดให้กับนักศึกษาจากแดนไกลคนนี้ที่เดินทางไปที่นั่น

“สายพันธุ์กาแฟที่เด่นคือ สายพันธุ์กาแฟคาติเมอร์ เป็นสายพันธุ์ย่อของอาราบิกา ซึ่งเขาฮิตปลูกกันในทางภาคเหนือ ผมดูกระบวนการทุกขั้นตอน ตั้งแต่ ตากกาแฟ สี  คั่ว ชง เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นกาแฟสดเป็นยังไง เห็นตั้งแต่ยังเป็นเม็ดเชอร์รี่สีแดง

สุดท้ายชลทิพย์เลือกกาแฟสายพันธุ์คาติเมอร์กลับมา เพื่อเริ่ม “โครงการ 800 กิโลเมตรก่อนจะเดินทางมาถึงแก้วกาแฟ” ไม่ใช่เพราะรสชาติเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เขาไม่ได้มองว่าสิ่งที่ตัวเขาชอบจะทำให้ทุกคนชอบเหมือนกันได้ แต่ชลทิพย์มองว่ากาแฟสายพันธุ์คาติเมอร์จะทำให้ทุกคนสัมผัสได้ถึงเสียงสะท้อนจากคนบนภูเขาสูงได้มากขึ้น เช่น การดื่มด่ำกาแฟที่เป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่สร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ ให้ผู้คนในพื้นที่ห่างไกล และได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุน ส่งเสริม และผลักดันให้พวกเขาไม่ต้องเดินทางร่อนเร่มาทำงานไกลในต่างแดนอย่างกรุงเทพมหานคร และมีส่วนสร้างความภาคภูมิใจในชุมชนที่มีการทำธุรกิจอย่างเป็นธรรม บนพื้นฐานความเป็นมนุษย์ที่มองว่าทุกคนเท่ากัน

“ผมมองว่ากาแฟทุกที่อร่อยหมด ผมจะไม่ชูความอร่อยเพราะความอร่อยมันเป็นเรื่องปัจเจกเกินไป กาแฟที่อร่อยจริงๆ ไม่ได้อร่อยแค่เพียงปลายลิ้นที่ได้ลิ้มลองรสชาติเท่านั้น แต่การได้ยินเรื่องราวหรือเรื่องเล่าถึงที่มาของเมล็ดกาแฟ ก็ทำให้กาแฟนั้นๆ อร่อยได้เช่นกัน  ซึ่งแต่ละที่ก็มีเรื่องราวที่แตกต่างกันออกไป”

ส่วนที่เขาเลือกเดินทางไกลมายังภูเขาแห่งนี้ ชลเล่าย้อนกลับไปยังสมัยเรียนตอนเด็ก ช่วงปี พ.ศ. 2555 ช่วงเวลานั้นทำให้เขารู้จักกับผู้ก่อตั้งกาแฟเดอม้งเป็นครั้งแรก จากการได้เห็นข่าวเกี่ยวกับคนที่อยู่บนภูเขาสูง หรือที่หลายคนเรียกว่า ‘ชาวม้ง’ เท่าที่เขาจำความได้ตอนนั้น คนกลุ่มนี้ถูกกล่าวหา ถูกตีตราว่าเป็นคนทำให้เกิดภูเขาหัวโล้น เพราะการทำไร่เลื่อนลอยหรือไร่หมุนเวียน ชลบอกว่าแม้ว่าตอนนั้นเขายังเด็กและอายุยังน้อยมาก แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องราวที่ไม่เคยลืมสำหรับเขาในช่วงวัยนั้น ซึ่งนั่นเป็นส่วนหนึ่งที่บ่มเพาะการดำเนินชีวิตของชลให้อยากเป็นคนหนึ่งที่ช่วยหว่านเมล็ดพันธุ์ความรู้และความคิดใหม่ให้สังคม เพื่อไม่ให้คนเหล่านั้นถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำความผิด ทั้งที่ในความเป็นจริงการทำไร่หมุนเวียนเป็นวิถีชีวิตของชาวบ้านในท้องถิ่นนั้นๆ และมีหลักวิชาการมายืนยันว่าไม่ใช่เรื่องผิดมากมายในปัจจุบัน

“ผมไปคุยกับพี่เขา (วิชัย กำเนิดมงคล) ที่จังหวัดน่าน แต่ก่อนสื่อทุกช่องก็จะไปเล่นข่าวที่น่านในปีนั้นเป็นเขาหัวโล้น เพราะตัดไม้ทำลายป่า สมัยนั้นชาวบ้านบนดอยเขาฮิตปลูกข้าวโพดกัน ที่นี้เขาเลยเริ่มตั้งวิสาหกิจกาแฟเดอม้งขึ้นมา โดยเขาจะทำเป็นเกษตรประณีต คือสามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้”

ข้อความจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้องที่จะมาฝึกงานรุ่นต่อไป

ผมได้เรียนรู้อะไรจากที่นี่เยอะมาก มีความละเอียดรอบคอบมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับเพศที่หลากหลาย คือการทำงานไม่ควรมีแค่เพศใดเพศหนึ่ง ควรจะมีความหลากหลายผสมผสานลงไป

สิ่งที่ผมอยากฝากถึงนักศึกษาฝึกงานรุ่นถัดไปคือ คุณเข้ามาคุณจะได้มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น สำหรับผมรู้สึกว่าการได้มาฝึกงานที่นี่ ทำให้ผมเติบโต ถ้ามีโครงการที่อยากลองทำ ก็ลองมาสมัครที่นี่ดู เพราะแอมเนสตี้มีทุนให้สำหรับทุกความฝันที่อยากทำ

สักวันหนึ่งคุณก็ต้องโตเป็นผู้ใหญ่ แต่คุณจะเป็นผู้ใหญ่เร็วขึ้น เมื่อได้ร่วมงานกับที่นี่ สำหรับผมมองว่ามันเป็นข้อดี และสิ่งสำคัญที่สุดที่ได้จากที่นี่คือ ตราบใดที่คุณเป็นมนุษย์ เรื่องของสิทธิมนุษยชน เป็นเรื่องของทุกคน

ติดตามผลิตภัณฑ์ในโครงการ 800 กิโลเมตรก่อนจะเดินทางมาถึงแก้ว ที่จุดประกายฝันจาก ‘ชล – ชลทิพย์ อั๋งสกุล’ นักศึกษาฝึกงานแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ได้เร็วๆ นี้ได้ทุกช่องทางในแอมเนสตี้ ช็อป ไทยแลนด์ ที่จะนำเรื่องราวของเมล็ดกาแฟร้อยเรียงสู่ผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมเรื่องสิทธิและรายได้สู่ชุมชน เพื่อให้คนทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และสื่อสารให้เรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องของทุกคน

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแอมเนสตี้
บริจาคสนับสนุนแอมเนสตี้