มาเลเซียสวบสวนผู้ประท้วงอย่างสงบจากเหตุความวุ่นวายหลังจากกษัตริย์แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่

4 มีนาคม 2563

Amnesty International

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเผยว่าการสอบสวนคดีต่อผู้ประท้วงอย่างสงบกว่า 20 คน หลังเข้าร่วมการชุมนุมประท้วงที่มาเลเซียช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นสัญญาณที่น่าตกใจของทัศนคติของรัฐบาลใหม่ที่มีต่อสิทธิมนุษยชน 

 

ตำรวจได้เรียกตัวนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างน้อย 20 คน เพื่อมาให้ปากคำและเข้ารับการสอบสวนช่วงสายของวันนี้ ในจำนวนนี้ประกอบด้วยทนายความฟาเดียห์ นัดวา ฟิกรี หนึ่งในผู้จัดการประท้วง ซึ่งเคยเข้ารับการสอบสวนเมื่อวันที่ 3 มีนาคม และต้องยอมให้ตำรวจเข้าถึงแอกเคาท์ทวิตเตอร์ของเธอโดยการบังคับ 

 

นิโคลัส เบเคลัง ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าวว่า การเรียกตัวบุคคลต่างๆ ของตำรวจเกิดขึ้นภายหลังการชุมนุมอย่างสงบ ถือเป็นการหวนกลับไปสู่อดีตที่เป็นเผด็จการของมาเลเซีย

 

“รัฐบาลใหม่ต้องไม่บั่นทอนความก้าวหน้าด้านสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมา การสอบสวนเหล่านี้ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความจริง และต้องมีการยกเลิก ประชาชนชาวมาเลเซียในประเทศต้องได้รับอนุญาตให้รวมตัวกันและประท้วงอย่างสงบ” 

 

ภายหลังสัปดาห์แห่งความวุ่นวายทางการเมืองเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ หลังพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งมูห์ยิดดิน ยัสซิน อดีตรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของมาเลเซีย ภายหลังความสับสนหลายวัน หลังจากมหาธีร์ มูฮัมหมัด นายกฯ คนก่อนได้ลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากมีความแตกแยกเกิดขึ้นในรัฐบาลผสมปะกาตัน หะราปัน 

 

ยัสซินได้รับการแต่งตั้ง หลังได้รับความสนับสนุนจาก UMNO แนวร่วมพรรคการเมืองเก่าแก่และเคยเป็นพรรครัฐบาลมานาน แต่พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งปี 2561 การแต่งตั้งนายกฯ ใหม่ครั้งนี้ส่งผลให้เกิดเสียงต่อต้าน เนื่องจากพวกเขามองว่าเป็นการปฏิเสธผลการเลือกตั้งในปี 2561 ซึ่งเป็นเหตุให้รัฐบาลผสมปะกาตัน หะราปันที่มีแนวทางปฏิรูปเข้าสู่อำนาจ 

 

การรวมตัวประท้วงเกิดขึ้นโดยการนัดผ่านโซเชียลมีเดีย เพื่อต่อต้านการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีมูห์ยิดดิน ยัสซินในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 ที่จัตุรัสเมอร์เดก้า กรุงกัวลาลัมเปอร์ และมีการจัดประท้วงอีกจุดหนึ่ง หน้าห้างสรรพสินค้าใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันต่อมา

 

ในเบื้องต้นตำรวจเห็นว่า ฟาเดียห์ นัดวา ฟิกรีเป็นผู้จัดการประท้วงทั้งสองครั้ง ต่อมามีการเรียกตัวบุคคลอื่นเพื่อมาให้ถ้อยคำด้วย ในปัจจุบัน เธอถูกสอบสวนตามข้อหาละเมิดพระราชบัญญัติยุยงปลุกปั่นและพระราชบัญญัติการสื่อสารและมัลติมีเดีย

 

คาดว่านักเคลื่อนไหวคนอื่นๆ ที่ถูกเรียกตัวมาให้ถ้อยคำ เป็นเพราะพวกเขาได้ขึ้นเวทีปราศรัยในการประท้วงช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงเป็นเหตุให้ตกเป็นเป้าหมายของทางการ 

 

พระราชบัญญัติยุยงปลุกปั่น เป็นกฎหมายที่ถูกใช้มาเป็นเวลานาน โดยมีเป้าหมายเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และผู้วิจารณ์อื่นๆ ซึ่งต่างพูดต่อต้านผู้มีอำนาจในมาเลเซีย กำหนดบทลงโทษทางอาญาที่รุนแรงต่อผู้ที่ศาลตัดสินว่ามีความผิด รวมทั้งโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับเป็นเงินจำนวนมาก หรือทั้งจำทั้งปรับ 

 

 “รัฐบาลใหม่ของมาเลเซียต้องทำให้ประชาชนมั่นใจอย่างเร่งด่วนว่า จะเคารพและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของบุคคลทุกคนในประเทศ รวมทั้งผู้วิจารณ์รัฐบาลด้วย” 

“การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลต้องไม่นำไปสู่จุดสิ้นสุดของการปฏิรูปด้านสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ รวมทั้งการยกเลิกกฎหมายที่กดขี่เสรีภาพอย่างเช่น พระราชบัญญัติยุยงปลุกปั่น” นิโคลัสกล่าว

 

ข้อมูลพื้นฐาน 

ทางการมาเลเซียเคยใช้กฎหมายต่างๆ รวมทั้งประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติการสื่อสารและมัลติมีเดีย และพระราชบัญญัติยุยงปลุกปั่นซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยมีเป้าหมายเป็นผู้ประท้วงอย่างสงบ 

พระราชบัญญัติยุยงปลุกปั่นกำหนดเป็นความผิดอาญาต่อการกระทำหลายประการ รวมทั้งบุคคล “ซึ่งมีแนวโน้มยุยงให้เกิดความกระด้างกระเดื่องต่อผู้ปกครองหรือรัฐบาล” หรือ “การตั้งคำถามต่อประเด็นใดๆ” ซึ่งความจริงเป็นการกระทำที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญของมาเลเซีย หากศาลตัดสินว่ามีความผิด พวกเขาอาจได้รับโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 ริงกิต (หรือ 37,460 บาท) 

กฎหมายนี้ไม่สอดคล้องกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และละเมิดสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบ ที่ได้รับการคุ้มครองตามข้อ 19 และ 21 ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR) ทั้งยังได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญของมาเลเซีย

ฟาเดียห์ นัดวา ฟิกรีอยู่ระหว่างถูกสอบสวนตามข้อหาในมาตรา 4(1)(a) ของพระราชบัญญัติยุยงปลุกปั่น ซึ่งกำหนดฐานความผิดเกี่ยวกับการกระทำที่เป็นการยุยงปลุกปั่น และมาตรา 233(1)(a) ของพระราชบัญญัติการสื่อสารและมัลติมีเดีย ซึ่งกำหนดฐานความผิดเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายอินเตอร์เน็ตอย่างมิชอบเพื่อคุกคามบุคคลอื่น