บทความสัมภาษณ์ : Agender fashion สู่ความเท่าเทียมทางเพศ กับ ไดม่อน เจตน์ตุรงค์ เจ้าของแอค Tiktok ที่มีผู้ติดตามกว่าหนึ่งแสนคน

21 กุมภาพันธ์ 2565

Amnesty International Thailand

ผลงานโดย 

นางสาวเกศรินทร์ จันทร์วิเศษ

นางสาวทัศนีย์ ดอกเตย

นางสาวณัฐวดี จีนนาฏ

นางสาวปรางวลัย เงินฉาย

มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลพระนคร คณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน สาขา เทคโนโลยีการโฆษณาและประชาสัมพันธ์

นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันการแต่งกายถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เมื่อการแต่งกายมีความชัดเจนขึ้นก็เริ่มมีการกำจัดเพศให้กับเสื้อผ้า โดยมองว่าการแต่งกายเป็นการบ่งบอกทางเพศ คือผู้ชายต้องใส่กางเกงเพื่อให้สะดวกต่อการดำเนินชีวิตและผู้หญิงต้องใส่กระโปรงเพื่อแสดงออกถึงความเป็นเพศหญิง แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปการแต่งกายจึงมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เมื่อก้าวเข้าสู่ยุคของแฟชั่นที่เทรนด์การแต่งตัวสไตล์ต่าง ๆ ทันต่อกระแสโลก ผู้ชายเองก็เริ่มหันมาสนใจการแต่งกายแบบผู้หญิงมากขึ้น โดยไม่ได้สนใจว่าเสื้อผ้านั้นเป็นของเพศหญิงหรือเพศชาย ทำให้ขอบเขตของการแต่งกายเริ่มน้อยลงและการแต่งกายยังแสดงออกได้ถึงพฤติกรรมส่วนบุคคลและบุคลิกภาพความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้ด้วย 

Agender Fashion การแต่งตัวที่ไร้ข้อจำกัดทางเพศ โดยไม่เอาคำว่าเพศมาเป็นข้อจำกัดให้กับเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย ซึ่งจะเน้นถึงความชื่นชอบ รสนิยม เหมาะกับสไตล์การแต่งตัวของตัวเองโดยไม่ได้มองว่าเสื้อผ้าชิ้นนั้นเป็นของเพศไหน การแต่งกายในยุคปัจจุบันเดินทางมาถึงจุดที่ผู้ชายหลายคนเริ่มสนใจเลือกที่จะหยิบเอาเสื้อผ้าผู้หญิงมาสวมใส่ ยังเป็นการแสดงออกถึงความเสมอภาคทางเพศในด้านการแต่งกายด้วย แต่ในสังคมที่ยังไม่คุ้นชินกับการแต่งกายเช่นนี้ จึงทำให้มีการถูกวิพากษ์วิจารณ์และบุคคลบางกลุ่มยังไม่ยอมรับกับเรื่องนี้

ไดม่อน-เจตน์ตุรงค์ ลอยใหม่ หนึ่งในดาว Tiktok เจ้าของ Account @Dicxm_phisunee ที่มียอดติดตามกว่า 102.3K ซึ่งปัจจุบันทำงานเป็น Personal Shopper มีความชื่นชอบการแต่งกายในไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ และยังเป็นผู้ที่เป็นกระบอกเสียงให้กับการแต่งกายแบบไม่จำกัดเพศ 

ในการชื่นชอบการแต่งกายโดยไร้ขีดจำกัดทางเพศนี้ ทำให้มีสไตล์การแต่งตัวเป็นของตัวเอง ยังเป็นกระบอกเสียงและส่งเสริมการแต่งตัวที่ไร้ข้อจำกัดทางเพศ ที่มองว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่ชื่นชอบเสื้อผ้าผู้หญิงเท่านั้นเอง จุดเริ่มต้นของการแต่งกาย ไดม่อน-เจตน์ตุรงค์ ลอยใหม่ จะเป็นอย่างไร มาทำความรู้จักไปพร้อมกัน

 

จุดเริ่มต้นที่ทำให้คนรู้จักและติดตามจากอะไร 

ปัจจุบันทำงานเป็น Personal Shopper ซึ่งเป็นเซลล์ที่แบบต้องรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับลูกค้า ในช่วงโควิด เจ้าของร้านรู้สึกว่าอยากทำอะไรที่ช่วยเพิ่มยอดขายของร้าน เลยเสนอไปว่าให้ลองทำคลิปวิดีโอ แรก ๆ ก็ไม่ได้มาเล่น Tiktok แต่ทำ Reel มาก่อนใน Instagram ได้ประมาณสักเดือน 2-3เดือน หลังจากนั้นก็ได้มีโอกาสทำคลิปมาลง Tiktok แล้วก็เริ่มมีคนสนใจแต่เป็นคลิปตลก ก็เริ่มมีคนสนใจและติดตามมากขึ้น และมีครั้งหนึ่งผมอยู่ห้องเฉย ๆ ไม่มีอะไรทำ เลยลองหันมาแต่งชุดของผู้หญิง ก็ถ่ายคลิปลง Tiktok เหมือนเดิมผลตอบรับกลับดีมาก มีคนทักมาเพื่อขอเอาคลิปไปลงช่องทางต่าง ๆ จากนั้นก็ทำคอนเทนต์แต่งตัวผู้หญิงออกมา

 

มีความคิดเห็นอย่างไรกับคำว่าตัวตนของพี่ อยากให้พี่นิยามมันหมายถึงอะไร 

การแต่งกายมันแสดงให้เห็นถึงความชัดเจนและการแสดงจุดยืน ที่หันมาแต่งกายเป็นผู้หญิง เราไม่ได้เป็น LGBTQ+ แต่เป็นผู้ชายแท้ อยากให้รู้สึกว่าโลกมันเปิดกว้างเกี่ยวกับผู้ชายใส่กระโปรงแล้ว เพราะว่าปัจจุบันนี้เริ่มมีมาแล้ว ตั้งแต่ได้ทำ Tiktok ขึ้นมารู้สึกว่าการแต่งกายแบบนี้กำลังมาแล้วและยังไม่มีใครที่ชัดเจนในการแต่งกายมาก เลยกล้าที่จะก้าวขึ้นมาเพื่อเป็นกระบอกเสียงในเรื่องนี้

 

จุดเริ่มต้นที่ทำให้หันมาใส่กระโปรงหรือแต่งตัวเป็นแบบผู้หญิง

รู้สึกว่าเสื้อผ้ามันไม่ยุติธรรมกับผู้ชาย ผู้หญิงใส่เสื้อผ้าผู้ชายได้แต่ทำไมผู้ชายใส่เสื้อผ้าผู้หญิงไม่ได้ ผู้ชายใส่เสื้อผ้าผู้หญิงโดนมองว่าดูแปลกแต่ทำไมผู้หญิงใส่เสื้อผ้าผู้ชายแล้วเป็นเรื่องปกติ อีกอย่างหนึ่งเราแต่งตัวผู้ชายมาเยอะมากจนอิ่มตัว แล้วมีโอกาสได้มาใส่กระโปรง แต่ก่อนที่จะมาใส่กระโปรง ก็แต่งตัวสไตล์อื่นไปเรื่อย ๆ จริง ๆ พึ่งมาใส่กระโปรงเมื่อกลางปี 63 นี่เอง เริ่มจากใส่กระโปรงยาวมาก่อน จากนั้นก็เริ่มมาใส่กระโปรงแบบสั้น จากเสื้อโอเวอร์ไซส์กลายเป็นเสื้อครอป จากเสื้อยืดธรรมดากลายมาเป็นเสื้อแบบผูกคอหรือเปิดหลัง มันเลยเกิดการพัฒนามาจนถึงทุกวันนี้ 

 

ครอบครัวหรือคนรอบข้าง มีความเห็นอย่างไรบ้างในการที่หันมาแต่งตัวแบบผู้หญิง

ตอนที่แต่งแรก ๆ เพื่อนเคยมาพูดว่าแต่งแบบนี้ระวังไม่มีแฟนนะ เพราะเราเป็นคนที่ทำอะไรไปสุดตั้งแต่การแต่งกายทุกสไตล์อยู่แล้ว เราก็มีสะดุดบ้าง เราก็อยากมีความรักแบบคนอื่นเขานั่นแหละ แต่เราก็รู้สึกว่าเราเป็นตัวของตัวเองอะ มันไม่มีอะไรที่ผิด สักวันก็คงจะเจอคนเหมือนกันอยู่บ้างแหละ เราก็เลยก้าวผ่านตรงนั้นมา แล้วในมุมมองของครอบครัวก็ไม่ได้สนับสนุนเลย เพราะว่าครอบครัวทำงานราชการทั้งหมด เขาไม่ได้ชอบเรื่องแฟชั่นอยู่แล้ว ซึ่งพ่อแม่ก็ไม่ชอบการสัก เจาะจมูก เจาะหู ซึ่งเรามีครบเลยตามที่เขาไม่ชอบ แต่เราก็เข้าใจนะ เราจะไปใส่ในสถานที่ที่เขาไม่ชอบทำไม มันทำให้เราเกิดพลังด้านลบกับตัวเอง ในการสร้างกำลังใจของการแต่งตัวคือเราต้องแต่งตัวไปในสถานที่ที่เราชอบก่อน มันจะทำให้เกิดแรงบันดาลใจ เหมือนกับการแต่งตัวให้ถูกสถานที่ แต่งตัวให้ถูกกาลเทศะก็เท่านั้นเอง

 

มีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการแต่งกายของสังคมในปัจจุบันและมีความเปิดกว้างแค่ไหน 

เอาจริงแค่เราหยิบยกประเด็นนี้มาพูดจริง ๆ จัง ๆ มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่เปิดกว้างในเรื่องนี้แล้ว ถ้าย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว ผู้ชายทาเล็บคือไม่ธรรมชาติ แต่ปัจจุบันผู้ชายเข้าร้านทำเล็บเป็นเรื่องปกติมาก คิดว่าเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องพวกนี้ให้เปิดกว้างมากขึ้นแล้ว และเสื้อผ้าในปัจจุบันก็เริ่มเห็นผู้ชายหันมาใส่กระโปรงและกล้าแต่งตัวตามความชอบของตัวเองมากขึ้น เราอยากเป็นกระบอกเสียงให้คนรุ่นใหม่ ได้ก้าวขึ้นมาหรือมีความชอบแฟชั่น อยากให้เขาได้รับรู้เพื่อให้เกิดการพัฒนาต่อไปในอนาคต 

 

คิดอย่างไรที่มีคนมองว่าการแต่งตัวแนวนี้ต้องเป็น LGBQ+ แน่นอน ไม่ใช่ผู้ชายแท้

คำถามนี้เจอเยอะมากและน่าจะเป็นคำถามที่เยอะที่สุด ทั้งคอมเม้นต์ ทั้งคนรอบข้างจากเพื่อน ๆ ที่เขาถามว่าเป็นหรือเปล่า สามารถถามได้นะไม่ได้ซีเรียสเรื่องนี้ เราพร้อมที่จะตอบ ถามมา 1000 ครั้ง เราก็จะตอบว่าเป็นผู้ชายแท้ครับ ใครที่ว่าผู้ชายแต่งแบบนี้ไม่ได้ให้มาดูเรา เราแต่งได้คุณก็แต่งได้ เราก็เป็นแค่ผู้ชายที่ชอบเสื้อผ้าผู้หญิงเท่านั้นเอง

 

อะไรคือเสน่ห์ของการสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่กำจัดเพศ

มันสนุกและรู้สึกไม่ได้มีกรอบในการแต่งตัว เราสามารถแต่งอะไรก็ได้ ใส่ได้ทุกอย่าง เรามีความสุขในการไล่สี ไล่เฉด ผู้ชายส่วนมากมีเฉดสีแค่ เข้ม ๆ ทึบ ๆ น้ำตาลครีม แต่ผู้หญิงมีสีสัน สีสดได้หมดเลย มันก็เลยสนุกจากที่เคยแต่งมา สมมติว่าผู้ชายแต่งได้ 10 แบบ แต่เมื่อเอาเสื้อผ้าผู้หญิงมารวมกันมันกลายเป็น 200 แบบ มันไม่มีที่สิ้นสุด โดยที่เราสามารถแต่งอะไรก็ได้แล้ว 

 

ในสังคมนี้เชื่อว่ามีอีกหลายคนที่เห็นด้วย แต่ยังไม่มีความกล้าและความมั่นใจพอ อยากให้ช่วยเป็นกำลังใจให้คนเหล่านี้

เป็นเรื่องที่ทุกคนเคยเจอ เราเองก็เคยเจอ ผู้ชายบางคนไม่จำเป็นต้องชอบสีดำเสมอไป ผู้ชายชอบสีชมพูก็ได้ มันก็เหมือนเสื้อผ้าไม่จำเป็นต้องชอบกางเกงยีนส์อย่างเดียว ชอบกระโปรงก็ได้ไม่ผิด เราอยากให้เรื่องนี้มันเปิดกว้างสักที อยากให้กำลังใจทุกคน ยังไงเราก็สามารถทำมันได้แค่เราทำเป็นชีวิตประจำวัน พยายามแต่งตัวเรื่อย ๆ แต่งทุกวัน จนเกิดความเคยชิน เหมือนว่าเสื้อผ้าตัวนี้เราใส่ไม่เคยขึ้นหรือเราใส่ไม่ได้ พอเราใส่ไปเรื่อย ๆ เราจะใส่มันได้ มันจะเกิดการผสมผสานเป็นตัวเองโดยอัตโนมัติ จนทำให้เกิดความมั่นใจและเป็นสไตล์ของตัวเอง

สุดท้ายการแต่งกายก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่เราทุกคนต่างให้ความสำคัญ ถ้าเราไม่มองว่าเสื้อผ้าเป็นเพศ เราจะสามารถแต่งกายอย่างไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นชุดที่แสนสบาย ชุดเดรสหรือชุดเท่ ๆ โดยไม่ต้องมาสนใจว่าคนอื่นจะมองการแต่งกายของเราอย่างไร แค่เราแต่งกายในแบบที่เราชอบ เราสะดวก เพราะสุดท้ายเราทุกคนก็อยากที่จะให้ทุกเพศได้มีความเท่าเทียมในสิทธิการแต่งกายแหมือนกัน โดยไม่ถูกมองว่าแต่งกายด้วยเสื้อผ้าผู้หญิงจะต้องเป็นเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงเท่านั้น ผู้ชายเองก็สามารถใส่ได้ โดยมีข้อจำกัดในการแต่งตัว