ลูกฟุตบอลหลากสี

4 ตุลาคม 2564

Amnesty International Thailand

เขียนโดย ปรียวัฒน์ จอดนอก 

ผลงานจากโครงการ Writers that Matters: นัก(อยาก)เขียน เปลี่ยนโลก 

ในหัวข้อ สิทธิมนุษยชนผ่านมุมมองของฉัน

     สิทธิมนุษยชน หมายถึง สิทธิ ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ที่มีตามธรรมชาติซึ่งติดตัวมนุษย์ทุกคนนั้นมาตั้งแต่กำเนิด ทุกคนนั้นต่างมีสิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคด้วยกันทั้งสิ้น ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและมีการรับรองไว้ โดยทุกคนทั่วโลกนั้นให้การยอมรับ

     บุคคลทุก ๆ คนในโลกนั้นต่างมีสิทธิที่จะมีความรู้สึกนึกคิด การกระทำ เป็นของตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น รวมถึงตัวของข้าพเจ้าด้วยเช่นกัน แต่การที่เรานั้นมีสิทธิ ไม่ใช่ว่าเราจะทำให้ตามใจของตนเองได้เสมอไป การที่เรามีสิทธิอยู่ในตัวของเราเองอยู่แล้วนั้น เราต้องคำนึงด้วยว่าสิ่งที่เรานั้นได้คิด พูดหรือกระทำลงไปนั้น ทำให้บุคคลรอบข้างของเราเกิดความเดือดร้อนหรือไม่ เช่น การที่เราพูด สิ่งที่เราพูดออกไปนั้นไปทำให้ผู้อื่นเกิดความเศร้าหรือไม่ หรือการที่เราได้กระทำสิ่งใดลงไปนั้น ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เราได้ทำให้บุคคลรอบข้างเดือดร้อนหรือเปล่า ซึ่งสิ่งที่ได้กระทำไปนั้นอาจจะทำให้เราไปละเมิดสิทธิของผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ด้านการพูดนั้น เช่น การพูดเหยียดหยาม การใช้ถ้อยคำที่รุนแรง ซึ่งทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเศร้าและเสียใจ และอีกด้านคือการกระทำ เช่น การทำร้ายร่างกาย การใช้แรงงานที่เกินกำลังความสามารถของบุคคล เป็นต้น

     ข้าพเจ้าเป็นคนที่ชอบเล่นฟุตบอลและชอบดูกีฬาฟุตบอลเป็นอย่างมาก ข้าพเจ้านั้นเคยอ่านข่าวเจอเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้านั้นไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น เรื่องเกิดนี้ขึ้นเมื่อไม่นาน ในคืนวันอาทิตย์ที่ 11 หรือเช้ามืดวันจันทร์ที่ 12 เวลา 02.00 น. เดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ. 2564 หรือปี ค.ศ. 2021 ที่ผ่านมา ในการแข่งขันฟุตบอลรายการยูโร 2020 ในรอบชิงชนะเลิศ เป็นการพบกันระหว่างทีมชาติอิตาลีและทีมชาติอังกฤษ ในครึ่งเวลาครึ่งแรกและครึ่งหลัง รวมถึงการต่อเวลาพิเศษ ทั้ง 2 ทีม ได้เสมอกัน 1 ประตูต่อ 1 ทำให้ต้องไปตัดสินในลูกจุดโทษ และเป็นทางฝ่ายของทีมชาติอังกฤษที่โชคไม่ดีนัก ยิงจุดโทษไม่เข้าถึง 3 ลูก ทำให้ทีมชาติอิตาลีชนะจุดโทษไป 3 ประตูต่อ 2 เป็นผลให้ทีมชาติอิตาลีคว้าแชมป์ฟุตบอลรายการยูโร 2020 ผู้ที่ยิงลูกจุดโทษพลาดมี 3 คน ทั้ง 3 คน เป็นคนผิวสีทั้งหมด คนแรก คือ มาร์คัส แรชฟอร์ด นักเตะของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อายุ 23 ปี คนที่ 2 คือ จาดอน ซานโช อายุ 21 ปี ปัจจุบันเป็นนักเตะของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และคนสุดท้ายก็คือ บูกาโย ซากา มีอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น นักเตะจากทีมอาร์เซนอล ทั้ง 3 ทีมนี้ เป็นทีมจากพรีเมียร์ลีกประเทศอังกฤษ ซากาผู้ที่แบกความหวังของแฟนบอล เป็นคนยิงลูกจุดโทษคนสุดท้าย แต่น่าเสียดายที่ผู้รักษาประตูของทีมชาติอิตาลีพุ่งปัดได้ถูกทาง ทำให้เขานั้นร้องไห้เสียใจเป็นอย่างมากหลังจากจบเกมที่ทีมชาติอังกฤษได้ปราชัยต่อทีมชาติอิตาลี

     หลังจากที่เกมจบแต่แฟนบอลทีมชาติอังกฤษนั้นไม่จบ แฟนบอลได้โพสต์ข้อความเหยียดนักเตะทั้ง 3 คนลงในโซเชียลมีเดีย การเปรียบเทียบว่านักเตะนั้นเหมือนกับลิง มีทั้งการขู่ฆ่า ด่าทอและสาปแช่ง ผู้ที่น่าสงสารที่สุดคือ บูกาโย ซากา เพราะซากามีอายุเพียง 19 ปี แต่กลับต้องมาโดนคำด่าทอและโดนเหยียดจากแฟนบอล เขายังเด็ก ทำให้จิตใจบอบช้ำได้

     มาร์คัส แรชฟอร์ด ผู้ที่มีภาพศิลปะบนฝาผนังหรือบนกำแพงที่มีแฟนบอลได้วาดให้ กลับถูกแฟนบอลมือดีกลุ่มหนึ่งมาพ่นสีสเปรย์ใส่ มีแต่ข้อความที่หยาบคาย เหยียดสีผิว หลังจากที่เจ้าตัวได้ทราบก็ได้รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก แต่แล้วสถานการณ์ก็ดีขึ้น เมื่อมีแฟนบอลหลายคนได้ร่วมกันที่จะต่อต้านการเหยียดสีผิวและให้กำลังใจนักเตะทั้ง 3 คน แฟนบอลหลายคนได้เขียนข้อความใส่กระดาษ แล้วนำไปติดทับข้อความของแฟนบอลที่เขียนเหยียดนักเตะ ไม่ใช่เพียงแค่แฟนบอลเพียงเท่านั้นที่ร่วมให้กำลังใจทั้ง 3 คน ยังมีเพื่อนร่วมทีมชาติอังกฤษและนักเตะจากสโมสรต่าง ๆ อีกหลายคนได้โพสต์ลงในโลกโซเชียลให้กำลังใจทั้ง 3 คน เมื่อนักเตะทั้ง 3 คนทราบ จึงได้ออกมาโพสต์ตอบกลับทั้งแฟนบอลและเพื่อนร่วมอาชีพ ทั้งขอบคุณและขอโทษทุกคนที่ได้ทำพลาดไป และบอกว่าพวกเขาจะกลับมาแข็งแกร่งและดีขึ้นให้มากกว่าเดิม

     เหตุการณ์การเหยียดสีผิวในกีฬาฟุตบอลนี้มีมานานและเกิดขึ้นบ่อยครั้งแล้ว ข้าพเจ้าจะขอยกตัวอย่างเหตุการณ์อีกหนึ่งเหตุการณ์มาสะท้อนให้ผู้อ่านได้เห็นและได้ตระหนักถึงการกระทำที่ไม่สมควร ข้าพเจ้าได้เห็นข่าวนี้เป็นที่โด่งดังมากในโลกออนไลน์และโลกของกีฬาฟุตบอล มีเรื่องราวดังต่อไปนี้

     ในปี 2014 เป็นการแข่งขันฟุตบอลในลีกลาลีกาของประเทศสเปน เป็นเกมที่ทีมบียาร์เรอัลพบกับสุดยอดทีมจากแคว้นกาตาลันอย่างบาร์เซโลนา เหตุการณ์เกิดขึ้นในขณะที่ ดานี อัลเวส ปราการหลังจากทีมชาติบราซิลของบาร์เซโลนากำลังที่จะเตะมุม ได้มีแฟนบอลของทีมบียาร์เรอัลได้โยนกล้วยลงมาใส่เขา เป็นการเหยียดว่าเขาเป็นลิง อัลเวสจึงได้ทำการตอบกลับโดยการปอกกล้วยกินต่อหน้าแฟนบอล แล้วเตะมุมต่อตามปกติ

     การกระทำของอัลเวส ทำให้เกิดการต่อต้านการเหยียดสีผิวในโลกโซเชียลกันอย่างแพร่หลาย รวมถึงเพื่อนร่วมอาชีพก็ต่างร่วมกันแสดงออกถึงการต่อต้านการเหยียดสีผิว หนึ่งในนั้นก็คือ เนย์มาร์ โดยเนย์มาร์เป็นเพื่อนร่วมทีมชาติบราซิลและเพื่อนร่วมสโมสรบาร์เซโลนาเช่นเดียวกันในขณะนั้น เป็นนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่ยอมรับในวงการฟุตบอล และอีก 4 นักเตะจากลีกผู้ดีหรือพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ได้แก่ เซร์ฆิโอ กุน อาเกวโร นักเตะจากทีมชาติอาร์เจนตินาและทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในขณะนั้น และจากทีมเชลซีในขณะนั้นอีก 3 คน ได้แก่ ออสการ์ , ดาวิด ลุยซ์  และวิลเลี่ยน ซึ่งทั้ง 3 คน เป็นเพื่อนร่วมทีมชาติบราซิลด้วยกันทั้งหมด ทั้ง 3 คน ต่างถ่ายรูปกินกล้วยลงโซเชียล เพื่อเป็นกำลังใจให้อัลเวส รวมถึง เซปป์ บัตเลอร์ ประธานฟีฟ่าในขณะนั้นก็ออกมาโพสต์ในทวิตเตอร์ด้วยถ้อยคำประมาณว่า “เราต้องต่อสู้และจัดการกับการเหยียดทุกรูปแบบร่วมกัน” 

อัลเวสบอกว่า “ผมได้หยิบกล้วยขึ้นมากินโดยไม่ได้วางแผนไว้ก่อน เพราะผมไม่คิดว่าจะมีคนโยนกล้วยลงมา ผมคิดว่าการกระทำที่ไม่ดีแบบนี้ ต้องถูกตอบโต้ด้วยการกระทำที่เป็นการต่อต้าน เป็นการสร้างความแตกต่างได้ดีกว่าวิธีอื่น ๆ”

     จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แฟนบอลที่ทำการโยนกล้วยใส่อัลเวสก็ถูกแบนไม่ให้เข้าสนามของทีมบียาร์เรอัลอีกตลอดชีวิต และได้โดนปรับเงินจำนวนประมาณ 9,850 ยูโรอีกด้วย เหตุการณ์นี้คงจะทำให้แฟนบอลคนนั้น มีความตระหนักถึงสิ่งที่เขาได้ทำลงไป เพื่อการเขาจะได้ไม่ทำซ้ำอีก ทุกคนต่างทำผิดพลาดกันได้ แต่เมื่อเราผิดพลาดแล้ว เราก็ควรนำข้อผิดพลาดมาเปลี่ยนแปลงตัวเรา ให้มีทัศนคติที่ดีขึ้น เพื่อที่สังคมมนุษย์จะได้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขและมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน

     จากที่ข้าพเจ้าได้อ่านข่าวทั้ง 2 เหตุการณ์นั้น ก็ทำให้ข้าพเจ้าได้ตระหนักว่า ทุกคนนั้นที่เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกันทั้งหมด ทุกคนล้วนมีแขน ขา หู ตา จมูก ปาก ทุกคนมีภาษาที่ใช้สื่อสารกันให้เข้าใจ และสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือ “หัวใจ” ไม่ว่าเรานั้นจะสีผิวสีอะไร ไม่ว่าเราจะมีฐานะทางสังคมอย่างไร ไม่ว่าเราจะเป็นคนชนชาติใดก็ตาม เราทุกคนต่างเท่าเทียมกัน เราต่างมีหัวใจและความรู้สึกที่ใช้แสดงออก เราควรคิดว่า การที่เรานั้นได้เหยียดหยามหรือด่าทอผู้อื่นไปนั้น ถ้าเขากลับทำแบบนี้ใส่เราบ้าง เราจะรู้สึกอย่างไร ตามที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่าเราทุกคนต่างมีสิทธิที่จะคิด พูด และกระทำ แต่สิ่งที่เราได้พูดและทำลงไปนั้นได้ทำให้ผู้อื่นเดือนร้อนหรือไม่ บางครั้งคำพูดและการกระทำนั้นอาจทำให้ผู้ที่โดนละเมิดสิทธิได้รับผลกระทบทางความคิดและจิตใจ อาจจะทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ร้ายแรงตามมาก็เป็นได้

     เหตุการณ์การโดนละเมิดสิทธิมนุษยชนของข้าพเจ้าก็มีเช่นกัน เรื่องนี้ผ่านมานานจะ 6 ปีได้ แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนัก แต่ข้าพเจ้าก็มีความรู้สึกน้อยใจมากในตอนนั้น เป็นเหตุการณ์ที่ตัวข้าพเจ้านั้นเล่นฟุตบอลกับรุ่นพี่ เพื่อน และรุ่นน้อง ทุกครั้งเมื่อจะลงสนามเล่นด้วยกัน จะมี 1 ตำแหน่งที่ว่างอยู่คือผู้รักษาประตู ด้วยความที่ข้าพเจ้านั้นเป็นผู้ที่มีรูปร่างอ้วน สมาชิกในทีมจึงสั่งให้ข้าพเจ้าเป็นผู้รักษาประตู ถ้าถามว่าข้าพเจ้าเล่นได้ไหม ก็เล่นได้ แต่ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่ข้าพเจ้านั้นไม่ชอบ เพราะเวลาที่โดนฝ่ายตรงข้ามยิงลูกบอลใส่ ทุกคนในทีมก็จะมาโทษที่ตัวของข้าพเจ้าเพียงคนเดียว ทั้ง ๆ ที่ข้าพเจ้าทำเต็มความสามารถแล้ว แต่กลับมีคำด่ามากมายมาที่ข้าพเจ้า

     ข้าพเจ้าเคยโดนรุ่นพี่คนหนึ่งเหยียดว่า “อ้วนขนาดนี้ วิ่งไม่ทันเขาหรอก เป็นตัวตลกเปล่า ๆ” คำพูดนี้ยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้ามาจนถึงทุกวันนี้ ข้าพเจ้าไม่เล่นฟุตบอลเป็นเวลาหลายเดือน ถ้าถามว่าโกรธไหม ก็คงต้องโกรธ คงไม่มีใครหรอกที่จะบอกว่าไม่โกรธ ข้าพเจ้าหายไปนานหลายเดือน รุ่นพี่จึงถามหา และข้าพเจ้าก็ได้อธิบายเหตุผลที่ไม่มาเล่นฟุตบอลด้วยกันให้เขาฟัง รุ่นพี่ก็ได้ขอโทษข้าพเจ้า ข้าพเจ้านั้นจึงได้ให้อภัยพี่รุ่นพี่คนนั้น เขาก็ได้ทำความเข้าใจและปรับทัศนคติใหม่ ข้าพเจ้าก็พัฒนาตนเองให้เป็นคนที่มีร่างกายที่ดี เล่นฟุตบอลให้เก่งขึ้นมากกว่าเดิม เมื่อทีมของเจ้านั้นเล่นไม่ดี ข้าพเจ้าจะไม่ตำหนิหรือดูถูกลูกทีมของข้าพเจ้า แต้ข้าพเจ้าจะพูดให้กำลังใจเขา เพราะการที่เราเป็นทีมเดียวกัน เราต้องสามัคคีกัน เราต้องมีมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน เปรียบดังเช่นกับสังคม ถ้าคนในสังคมมีความรักและสามัคคี ไม่แบ่งแยก สังคมที่อยู่ก็จะเป็นสังคมที่มีความเข้มแข็งและเป็นสังคมที่น่าอยู่

     บางครั้งคำดูถูกเหยียดหยามก็เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์นั้นได้พัฒนาตนเองให้ดีขึ้น เพื่อที่จะลบคำดูถูกและการถูกเหยียดหยาม แต่ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่คิดเช่นนี้ ผู้ใดกันเล่าจะชอบการที่ต้องโดนตำหนิ ก็คงจะไม่มี การที่ต้องโดนดูถูก การที่โดนเหยียดหยาม ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา หรือแม้กระทั่งสีผิว การที่โดนกระทำแบบนี้มาก ๆ จะทำให้บุคคลนั้นเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตนเองไปโดยปริยาย และอาจจะทำให้บุคคลนั้นเป็นคนที่ไม่กล้าเข้าหาสังคม เพราะผู้คนในสังคมนั่นเองที่เป็นตัวแปรสำคัญทำให้ตัวบุคคลต้องเป็นเช่นนี้

     สิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่ติดตัวทุกคนมาตั้งแต่กำเนิด ทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทุกคนมีความเท่าเทียม ทุกคนต่างมีสิทธิที่จะแสดงออก ทุกคนมีสิทธิที่จะเห็นต่าง แต่สิทธิที่เรามีจะต้องใช้ในแบบที่ไม่ให้เดือดร้อนต่อบุคคลอื่น ถึงแม้มนุษย์จะมีหน้าตา สีผิว หรือฐานะที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนต่างมีหัวใจและความรู้สึกเหมือนกันหมดทุกคน เราทุกคนในสังคมควรที่จะรักกัน สามัคคีกัน ไม่เหยียดกัน ไม่ว่าจะทางคำพูดหรือการกระทำก็ตาม ทุกคนควรที่จะรับฟังความเห็นของบุคคลผู้เห็นต่างอย่างยอมรับ ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นหรือฐานะ เพศ อายุ ระดับการศึกษา หลายคนมีหลายความคิด หลายคนหลายทางเลือก จะทำให้เราอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ทำให้ทุกคนในสังคมได้ตระหนักถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ไกลตัวแม้แต่น้อย สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้โลกของมวลมนุษย์นั้นน่าอยู่ มีแต่ความสุขและความเคารพซึ่งกันและกัน ไม่มีวันเสื่อมคลาย