อัด อวัช รัตนปิณฑะ ถึงเวลาฟัง กับเส้นทางของพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง

16 กรกฎาคม 2564

Amnesty International Thailand

‘อยากรู้ว่าทำไม เราต้องโดนตัดสิน เพราะใจ ที่แตกต่างไม่เหมือนทั่วไป และทำไมต้องทน เพื่อใคร’

นี่คือเนื้อเพลง ‘ถึงเวลาฟัง’ ที่ถูกเขียนโดยศิลปินรุ่นใหม่อย่างวง Mints บอกเล่าเรื่องราวของความรู้สึกอัดอั้นของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการให้ผู้ใหญ่หันมาฟังเสียงของพวกเขา และเรียกร้องให้เราทุกคนเปิดใจรับฟังกันและกันเพื่อพาสังคมไปในอยู่ในจุดที่ดียิ่งขึ้น รวมถึงยังมีท่อนเพลงที่บ่งบอกพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สามารถจุดประกายได้ด้วยมือของทุกคน อย่าง “เราเป็นคนคนนั้นได้ คุณเองก็เป็นคนคนนั้นได้เหมือนกัน” (I can be the one. You can be the one) 

วันนี้ เราจึงขอชวนคุณมาคุยกับคนรุ่นใหม่ อย่าง “อัด อวัช รัตนปิณฑะ” เขาคือหนึ่งในนักแสดงที่ออกมา “คอลเอาท์ (Call Out)” หรือการออกมาแสดงความคิดเห็น ในประเด็นการเมืองและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน 

ปัจจุบัน เขาเป็นนักแสดงที่ฝากผลงานไว้ในวงการบันเทิงมากมาย เป็นผู้กำกับที่ทำงานเบื้องหลังวงการบันเทิง เป็นนักดนตรีและนักร้องนำของวง Mints เจ้าของบทเพลงดังกล่าว เป็นนักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมกับทั้งโครงการ Savethailay และ SOA Thailand ที่สำคัญ เขาคือประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ที่สนใจในเรื่องของสิทธิมนุษยชน และเข้าร่วมการชุมนุมเพื่อประชาธิปไตยหลายต่อหลายครั้ง รวมถึงได้เป็นหนึ่งในคนที่ออกมาพูดเรื่องการเมืองบนโซเชียลมีเดีย เพื่อสื่อสารเรื่องประเด็นสังคมให้ผู้ติดตามนับแสนคนของเขาได้รับฟัง 

และเขาเอง คือหนึ่งในคนที่มองเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดของบทสนทนาด้านการเมืองไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา 

 

ความเปลี่ยนแปลงผ่านสายตาที่เปลี่ยนไป

“บทสนทนาทางด้านการเมืองมันเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก ตอนที่เราอายุ 15 การเมืองถือเป็นเรื่องไกลตัวเรา และไกลตัวเด็กยุคนั้นมาก คือมันอาจจะมีคนกลุ่มน้อยที่เคยสนใจตอนนั้น แต่โดยภาพรวม การเมืองถูกแบ่งแยกระหว่างประชาชนกับการเมือง  และถูกแบ่งให้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ผมว่ามันเปลี่ยนเยอะมากตรงที่ว่า สมัยก่อนเราแทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการเมืองเลย เราไม่เคยรับรู้ว่าสิ่งนี้มันสำคัญกับชีวิตเรายังไง” เขาเริ่มต้นเกริ่นให้เราฟัง 

อัด อวัช เป็นอีกหนึ่งคนที่เติบโตมากับช่วงเวลาของการรับรู้ประเด็นทางการเมืองผ่านคนรอบตัว เขามองว่าในช่วงเวลานั้น สถาบันครอบครัวและสื่อมีส่วนสำคัญมากที่จะทำให้เด็กอย่างเขาและอีกหลาย ๆ คน ได้รับรู้เรื่องราวและมีความคิดในทิศทางต่าง ๆ โดยเฉพาะชุดความคิดที่ว่า การเมืองคือเรื่องของการโกงกินของนักการเมือง ทว่าพอกาลเวลาผ่านไป อินเตอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตของคนในสังคม จึงสามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น ผนวกกับความเปลี่ยนแปลงที่เขาได้พบเจอกับคนที่สนใจด้านการเมืองในคณะรัฐศาสตร์ ทำให้เขาค่อยๆ เริ่มต้นเปิดตา เปิดโลก และเปิดใจรับรู้ข้อมูล ทำให้ค่อย ๆ เข้าใจประเด็นต่าง ๆ ได้มากขึ้น 

อัดได้พบว่า ข้อมูลที่เขาได้รับในตลอดเวลาที่ผ่านมา เป็นเพียงข้อมูลด้านเดียวเท่านั้น เขาเริ่มต้นตั้งคำถามว่าทำไมเขาจึงไม่เคยได้เลือกตั้ง ทั้ง ๆ ที่ขณะนั้นเขาอายุ 18 ปีแล้ว  ไปจนถึงค่อย ๆ ตั้งคำถามว่ารัฐประหารได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตได้อย่างไรบ้าง และการเลือกตั้ง “คืออะไร” ในชีวิต  จากนั้นเขาจึงเห็นว่า ที่ผ่านมาเขาไม่เคยได้ตั้งคำถามกับประเทศของเรามาก่อน นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการค่อย ๆ ค้นหาข้อมูล 

“มันกลายเป็นว่า เราได้เรียนรู้ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องของสิทธิ เป็นเรื่องของประชาธิปไตย และได้รับรู้ว่าเรื่องการเมืองที่ผ่านมามันเป็นอย่างไรและเกี่ยวข้องกับชีวิตเราอย่างไร ส่วนเด็ก Gen Z เขาเองได้เติบโตมากับอินเตอร์เน็ต ซึ่งมันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด ทุกวันนี้พวกเขาและเราเองสามารถเลือกเสพสื่อได้ ว่าเราต้องการจะเสพสื่อแบบไหน 

“สิบปีที่แล้ว สื่อนั้นมีผลมาก ๆ ที่สามารถครอบงำความคิดคนได้เลย แต่ในสิบปีต่อมา สื่อหลักไม่สามารถทำแบบนั้นได้แล้ว เพราะทุก ๆ คนมีความเป็นปัจเจกชน (Individual) มากขึ้น สามารถที่จะมีความคิดเป็นของตัวเอง เลือกที่จะเชื่อ เลือกจะศึกษา รวมถึงมีจุดยืนเป็นของตัวเองได้ ผมมองว่าจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปมาก ๆ 

“เรื่องการเมือง ณ วันนี้มันคือเรื่องของทุกคนในแบบที่คนที่เคยไม่สนใจการเมืองเลย ก็ต้องเชื่อแล้วว่าวันนี้มันคือเรื่องของทุกคน จริง ๆ และผมว่ามันจะเข้มข้นไปมากกว่านี้อีก ประเทศไทยจะไม่มีวันเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว  เมื่อไหร่ที่คนรุ่นใหม่กลายเป็นคนส่วนใหญ่ในสังคม เมื่อนั้นมันก็จะเปลี่ยนแบบสุดขั้วเลย 

เพราะผมรู้สึกว่าตอนนี้ มันคือการถ่วงดุลอำนาจระหว่างสองเจนเนอเรชั่น ที่คนละขั้วสุดๆ เหมือนรอวันที่พลิกเปลี่ยนแล้วมันจะไม่มีวันเป็นเหมือนเดิม ผมเชื่อว่า คนไทยทุกคนจะตระหนักเรื่องสิทธิเสรีภาพรวมไปถึงว่าจะให้ความสนใจกับเรื่องการเมืองมากขึ้น

 

โซเชียลมีเดีย: พลังแห่งสนทนา 

ในฐานะคนรุ่นใหม่ เขามองว่าบทสนทนาในโซเชียลมีเดีย เป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ทำให้การเมืองไทยกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนหันมาสนใจ นั่นเป็นเพราะทุกคนสามารถพูดเรื่องนี้กันได้อย่าง ‘เต็มปากเต็มคำ’ ในขณะที่เมื่อก่อน หากใครออกมาพูดเรื่องการเมือง ภาพในหัวของเขาจะเป็นเรื่องของความรุนแรง

“คือเราจะถูกแปะป้ายไว้ด้วยค่านิยมของสังคมว่า ถ้าคุณสนใจหรืออินการเมืองเมื่อไหร่ คุณจะเป็นพวกหัวรุนแรง กลายเป็นเรื่องตลก ซึ่งมันคือค่านิยมที่ผิด เหมือนเราถูกสอนให้อย่าสนใจเรื่องพวกนี้ แล้วก็จงใช้ชีวิตไปเถอะ ซึ่งมันไม่ถูกต้อง” อัดกล่าวเสริม  

“วันนี้ผมมองว่ามันเปลี่ยนไปแล้วตรงที่ว่า พอมีคนหนึ่งที่กล้าจะออกมาพูด ทุกคนก็จะเริ่มรู้สึกอัดอั้น เพราะสภาพสังคมในตอนนี้มันบังคับให้คุณต้องสนใจการเมือง มันมีประโยคหนึ่งที่ผมเคยได้ยินตอนอยู่ที่คณะรัฐศาสตร์ว่า ‘ต่อให้คุณไม่สนใจการเมือง แต่ยังไงการเมืองจะสนใจคุณ และมันจะอยู่ในชีวิตคุณอยู่ดี คุณหนีมันไปไม่ได้เลย

“คุณภาพชีวิตของคุณมันคือเรื่องการเมือง พอมันเกิดประเด็นที่เป็นที่ถกเถียง (Controversial) มาก ๆ มันจึงทำให้ทุกคนมีความกล้า รวมถึงการกล้าที่จะเรียนรู้ กล้าที่จะหาข้อมูล และกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นออกมา ซึ่งมันทำให้เกิดการถกเถียง ไม่ว่าคุณจะมีความคิดเห็นอย่างไรก็ตาม ต่อให้วันนี้มีบางเรื่องที่คุณมองว่าผิด วันหนึ่งคุณอาจจะคิดอีกแบบหนึ่งก็ได้ 

“ผมว่ามันคือการเรียนรู้ของคนในสังคม มันไม่ได้แปลว่าถ้าเราผิดครั้งหนึ่ง มันจะผิดตลอดไป มันต้องใช้เวลา ด้วยสภาพสังคมที่เราเติบโตมา มันทำให้เราได้รับข้อมูลมาแบบนี้ กว่าจะเปลี่ยนความเชื่อและเข้าใจเรื่องต่าง ๆ ได้ มันก็ใช้เวลา ซึ่งมันถือว่าเป็นจุดที่ดีของสังคมนะ เพราะที่ผ่านมาสังคมไม่ค่อยสอนให้เกิดบทสนทนาที่ต้องถกเถียงหรือได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน (Discuss) จริง ๆ ที่ผ่านมาพวกเราถูกสอนให้ท่องจำ ทำให้เราไปตัดสินคนอื่นได้ทันที ผมคิดว่านี่แหละคือยุคที่การเปลี่ยนแปลงกำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ดี เพราะพวกเราสามารถแลกเปลี่ยนกันได้ และมันทำให้มุมมองของเรากว้างขึ้นและมองอะไรได้หลากหลายยิ่งขึ้น ทำให้เราไม่ตัดสินคนอื่นว่าเขาเป็นอย่างไร เห็นคนได้ในหลายมิติมากขึ้น มันจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากเลย” 

แม้เสียงบนโซเชียลมีเดียจะเป็นเหมือนดาบสองคมด้วยความ “เร็ว” ของมัน แต่สุดท้ายแล้วบทสนทนาบนโลกโซเชียล ก็ได้จุดประกายให้เกิดเป็นโลกไร้พรมแดนที่ผู้คนสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน โดยเหล่าชาวโซเชียลรวมถึงอัดเอง ต่างใช้พลังของตัวเองในการสรรค์สร้างและส่งต่อข้อความเพื่อสร้างการตระหนักรู้ทางด้านการเมือง และเมื่อพวกเขาได้เชื่อมต่อกันผ่านโลกออนไลน์ เราก็ต่างจะได้เห็นข้อความจากทั้งเยาวชนวัยมัธยม และผู้ใหญ่ในอีกเจนเนอเรชั่น ได้มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน 

“พอเราเคลื่อนไหวมาตลอด มันก็มีเหนื่อยบ้าง บางทีมันก็ไม่สามารถช่วยได้ทุกเรื่องจริง ๆ เราก็ช่วยได้ที่เราสามารถทำได้แล้ว ก็มีความรู้สึกเหนื่อยเหมือนกัน” อัดกล่าวเสริม

“บางทีโซเชียลมีเดียอาจจะมองว่าคนที่เคลื่อนไหวทางด้านการเมืองคือจะต้องถูกต้องในทุกมิติ แต่เราก็อยากฝากทุกคนไว้ว่า อย่าลืมว่าคนที่ออกมาพูดนั้น เขาพูดในฐานะของมนุษย์คนหนึ่ง ที่ไม่ได้มีแต่ด้านสวยงามเท่านั้น ถ้าเราทำอะไรผิดพลาด ก็อยากให้พวกเรามาคุยกันดี ๆ ไม่อยากให้สังคมกดดันหรือกดทับคนที่ทำพลาดว่ามันแย่ไปหมด เรื่องนี้สำคัญมาก ๆ เลยครับ” 

 

คนมีชื่อเสียง กับการแสดงออกทางด้านการเมือง

ในระยะหลัง ๆ นี้ โดยเฉพาะนับตั้งแต่ช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบให้กับผู้คนทั่วทั้งประเทศ และทั่วโลก เราก็จะได้เห็นเหล่าศิลปินออกมาวิพากษ์วิจารณ์และส่งต่อความตระหนักรู้ให้กับบรรดาผู้ติดตามของเขาเช่นกัน อัด อวัช คือหนึ่งในนั้น 

“ช่วงแรก ๆ ที่เราออกมาเคลื่อนไหวคือช่วงเลือกตั้ง ตอนนั้นเราไม่ได้คิดว่าเราเป็นศิลปินเลย แต่เราคิดว่าเรากำลังเคลื่อนไหวในฐานะประชาชน แค่เรามียอดผู้ติดตามเยอะเฉย ๆ” อัดเล่าให้เราฟัง “เราเคลื่อนไหวมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งผู้ใหญ่เรียกเราไปเตือน ว่าขอให้เบา ๆ หน่อย อย่าเพิ่งเลือกข้าง (Take Side) มาก เพราะเขาเชื่อว่าการเมืองเป็นเรื่องที่สามารถเปลี่ยนสีได้ตลอดเวลา โดยที่เราสามารถทิ้ง Digital Footprint หรือร่องรอยบนโลกออนไลน์ได้” 

อัดบอกว่า ตอนนั้นเขารู้สึกไม่เข้าใจ ว่าทำไมเขาจึงไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ พร้อมกับตั้งคำถามว่าในอดีตผู้ใหญ่หลาย ๆ คนเอง ก็เคยออกไปแสดงออกทางด้านการเมืองเหมือนกัน แต่ทำไมวันนี้ คนรุ่นเขาจึงจะแสดงออกทางการเมืองบ้างไม่ได้ 

เขาเสริมว่า เขาเข้าใจว่าการแสดงออกทางการเมือง ณ ช่วงเวลานั้น จะส่งผลต่อทั้งภาพลักษณ์ในฐานะของศิลปิน และส่งผลต่อภาพลักษณ์ของบริษัทเช่นกัน เขาจึงตัดสินใจที่จะเงียบไปสักพักหนึ่ง แต่แล้วก็กลับมาตั้งคำถามอีกครั้ง เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองไม่ผิดที่จะแสดงความคิดเห็นทางด้านการเมือง

“เราไม่ได้ทำร้ายใครเลย เราแค่กำลังใช้สิทธิของเรา เราแค่ใช้พื้นที่ของเราในการทำสิ่งที่เรารู้สึกว่า มันทำได้ และมันถูกต้อง อาจจะเป็นเพราะเราเป็นคนที่ก่อนจะทำอะไรเราค่อนข้างคิด ก่อนทำเราพยายามหาข้อมูลให้มันได้เยอะที่สุด เพื่อช่วยให้มันมั่นใจว่าสิ่งที่เราสื่อสารไปมันถูกต้อง  เราไม่ใช่คนที่ใช้อารมณ์แล้วโพสต์ไปอย่างเดียว สิ่งที่เราแชร์ไปมันไม่ได้ทำร้ายใคร มันคือการแชร์ข้อมูล แสดงความคิดเห็นที่ตั้งอยู่บนฐานของข้อมูลในความเป็นจริง (Fact) 

“เรารับรู้ได้ว่าในช่วงไม่กี่ปีก่อน ในวงการบันเทิงเองก็มีการตั้งคำถามว่า ศิลปินในสังกัดต่าง ๆ จะทำยังไงกับการแสดงความคิดเห็นด้านการเมืองดี เรารู้ว่ามันมีคนที่คิดแบบเดียวกันกับเรานะ แต่ด้วยกระแสของสังคม มันก็ยังคงมีผลกระทบต่องาน และบางคนยังติดสัญญาพรีเซนเตอร์อยู่ 

“แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป พอทิศทางของบทสนทนาด้านการเมืองในสังคมเริ่มต้นเปลี่ยนแปลง เราก็เห็นหลาย ๆ คนเริ่มต้นกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นกันมากขึ้น แม้มันจะมีผลที่ตามมาจากการออกมาพูด ทั้งการที่เราอาจจะไม่มีงานหรือโดนยกเลิกงาน โดยที่ต้องรับผิดชอบร่วมกับคนอื่น ๆ ในสังกัด ท่ามกลางสภาพสังคมที่เป็นแบบนี้ก็ตาม

“แต่เราคิดว่า ถ้าคุณมัวแต่แคร์ว่าอาชีพนี้ห้ามพูดอะไร แล้วเมื่อไหร่เราถึงจะพูดได้ มันก็คงจะต้องอยู่ในกรอบแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ” 

อัดเสริมความคิดเห็นในเรื่องกระแสการ “คอลเอาท์” ของศิลปินว่า เขามองว่าหากพวกเราอยู่ในประเทศที่เป็นปกติ การกดดันให้ใครออกมาพูดมันจะเป็นอีกประเด็นหนึ่ง “แต่เราต้องยอมรับว่าในตอนนี้ ประเทศเราไม่ปกติ มันคือรัฐเผด็จการ”  

“เราเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างศิลปินและผู้ติดตาม มันไม่ใช่ความสัมพันธ์ในแบบที่ใครจะมีใครได้เพียงฝ่ายเดียว แต่มันคือปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ที่ต่างคนต่างได้ แล้วเราก็ต้องดูแลความรู้สึกซึ่งกันและกัน แฟน ๆ สนับสนุนเรามาตลอด ในวันที่คุณขอเสียงเขา เขาให้คุณอย่างเต็มที่เลยนะ แล้ววันหนึ่งเขาขอเสียงคุณบ้างล่ะ? เราอยากให้ลองนึกภาพว่าถ้าทุกคนรวมถึงคนที่มีชื่อเสียงออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนี้พร้อม ๆ กัน มันจะกลายเป็นเรื่องปกติเลย แล้วมันจะไม่เปลี่ยนแปลงได้ยังไง

“วันนี้ที่เราออกมาเคลื่อนไหวกัน เป็นเพราะพวกเราอยากให้ประเทศนี้มันดีขึ้น เพื่อประชาชนจะได้คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีระบบต่าง ๆ ที่มีคุณภาพ มีความเป็นธรรม เพื่อทำให้ชีวิตของพวกเราทุกคนดีขึ้น ทำให้ความเหลื่อมล้ำน้อยลง และทำให้สิทธิของเราในฐานะมนุษย์มีอยู่อย่างเท่าเทียมกัน

“สภาพสังคมในตอนนี้ มันทำให้เสียงของพวกเราถูกกดไว้อยู่ ทำให้เราไม่สามารถใช้สิทธิใช้เสียงได้อย่างเต็มที่ มันชวนให้ตั้งคำถามว่า ทำไมในฐานะมนุษย์ เราถึงจะต้องโดนลิดรอนสิทธิและกดทับขนาดนี้ นี่คือสิ่งที่เราอยากจะบอกเขา ว่าสถานการณ์ปัจจุบันมันเป็นยังไง ทำไมเราถึงเรียกร้องเพื่อสิ่งนี้ไม่ได้ อยากให้ทุกคนมองอย่างมีสติ ตัดเรื่องความชอบส่วนตัว แล้วเอาความจริง หลักฐานต่าง ๆ มาคุยกัน ว่าพวกเราอยู่ในสังคมปกติจริงไหม

“ตอนนี้ประเทศมันดำเนินไปสู่จุดที่มันแย่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาแล้ว” เขาแสดงความเห็นในฐานะคนรุ่นใหม่ที่มองเห็นความเป็นไปของประเทศมาตลอด “เราอยากให้มองให้เห็นว่า คนที่เสียชีวิตไปท่ามกลางเหตุการณ์การระบาดของโควิด-19 นั้น เขาเสียชีวิตเพราะอะไร เพราะถ้าเรามีการบริหารงานจากภาครัฐที่ดี คนจะไม่เสียชีวิตมากเท่านี้ พวกเราจะไม่ต้องมานั่งอยู่ในภาวะของความลำบาก หรือต้องเผชิญหน้ากับความเครียดในทุก ๆ วัน 

“สภาพประเทศเราจะไม่หดหู่เท่านี้เลย ถ้าเรามีการจัดการจากภาครัฐที่ดี  ระบบเชิงโครงสร้างในประเทศนี้มันกำลังผิดเพี้ยนไปหมด”

การออกมา “คอลเอาท์” ของ อัด อวัช ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในหมู่ผู้ติดตามของเขาเช่นกัน เขาคืออีกคนหนึ่งที่มีแฟนคลับเดินเข้ามาขอบคุณที่ทำให้ตนเองหันมาสนใจการเมือง 

“เราสื่อสารเรื่องนี้เรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง มันเหมือนกับว่า เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่หลาย ๆ คนเริ่มต้นตามเรา และเมื่อมันมีงานอีเวนต์ เราเจอแฟนคลับที่เดินมาหาเราแล้วบอกว่า ‘พี่ หนูเริ่มติดตามการเมืองเพราะหนูเห็นพี่แชร์มา หนูเลยเริ่มสนใจ หนูเห็นด้วยมาก ๆ เลย ขอบคุณที่ทำให้หนูเห็นว่าเรื่องนี้มันสำคัญ’  

“มันจะมีข้อความแบบนี้มาเรื่อย ๆ เลย กลายเป็นว่าทุกครั้งที่เจอแฟนคลับ ตอนนี้เราจะคุยกันเรื่องการเมือง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เราไม่เคยเจอเหมือนกันนะ 

“คนชอบมาขอบคุณเรา เวลาไปม็อบก็มีคนเดินมาขอบคุณเราเยอะมาก ซึ่งตอนแรกเราก็งง ว่ามาขอบคุณเราทำไม คือมันคงเหมือนเป็นเรื่องใหม่สำหรับสังคม ที่คนมีชื่อเสียงจะออกมาพูด แม้ว่าตอนนั้นเราจะคิดว่ามันควรเป็นเรื่องปกติก็ตาม  

เราก็คิดว่าทั้งหมดที่เราทำ เราไม่ได้ทำในฐานะตัวแทนประชาชนเลย แต่เราทำในฐานะประชาชนคนหนึ่ง มันเริ่มจากการที่เรามองว่าตัวเองคือประชาชน แล้ววันที่มันค่อยๆ เปลี่ยนไป และมีคนมาบอกว่าเขาเริ่มสนใจสิ่งนี้จากเรา มันก็รู้สึกดีมาก ปัจจุบันน้อง ๆ แฟนคลับก็ใส่เต็ม เขาสนับสนุนเราเต็มที่ เวลาเราพูดอะไร เขาจะช่วยเรากระจายต่อเยอะมาก ๆ มันก็เป็นอิมแพคที่เราไม่ได้คาดคิด พอมันเกิดขึ้นเราก็ดีใจ ที่เราได้เคลื่อนไหวเพื่อสังคม อย่างน้อยเหมือนเราทำให้คนที่ไม่ได้สนใจมาก่อนได้มาสนใจการเมืองได้”

ในฐานะของคนที่ติดตามโลกระหว่างแฟนคลับกับศิลปิน เรามองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา ที่ถูกผูกไว้ผ่านความรู้สึกดี ๆ และการสนับสนุนซึ่งกันและกัน เราจึงถามอัดถึงมุมมองที่เขามีต่อแฟนคลับ และได้เห็นรอยยิ้มอย่างจริงใจบนใบหน้าของเขา 

“เรารู้สึกขอบคุณแฟนคลับมากจริง ๆ  ทุกวันนี้เราเองก็มองกลับไป ว่าเรามาถึงจุดนี้ได้เพราะพวกเขานะ.. มันเป็นเพราะเขาติดตามเรามาตลอด สนับสนุนเรา ซึ่งทุกสิ่งมีผลต่อหน้าที่การงานของเราหมด เรามีงานได้จากการติดตามของเขา ซึ่งมองย้อนกลับไปแล้วเราก็ขอบคุณมาก เราไม่เคยคิดว่าเราจะมาได้ไกลขนาดนี้ ในฐานะที่เป็นเรา เพราะเราเองไม่ได้ตรงกับมาตรฐานของความงาม (Beauty Standard) ในวงการบันเทิง 

“สุดท้ายคือ เราขอบคุณเขา ที่เขาชอบเราในสิ่งที่เราเป็นเรา ความเป็นเรานั้นมันรวมถึงที่เราพูด สิ่งที่เราเชื่อ และจุดยืนที่เราแสดงออก มันมีความหมายมาก ๆ”

 

คนรุ่นใหม่ กับการเคลื่อนไหวเพื่อโลกใบใหม่

“ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเราทำกันอยู่ มันคือการเรียกร้องเพื่ออนาคตที่ดีของทุกคน” อัดพูดเสริมประเด็นเรื่องการเคลื่อนไหวท่ามกลางบรรยากาศอันร้อนระอุของการเมืองไทยในขณะนี้ “อนาคตที่ดีนั้นมันรวมถึงอนาคตของตัวคุณเองด้วย แม้ตอนนี้คุณอาจจะยังไม่เชื่อ แต่สิ่งที่พวกเรากำลังเรียกร้อง คือความมั่นคงในเชิงระบบโครงสร้างที่มีคุณภาพ มันจะส่งผลต่ออนาคตของลูกของคุณ และคนรุ่นต่อ ๆ ไป ให้พวกเขาไม่ต้องมาอยู่ในสภาพสังคมที่พวกเรากำลังเจออยู่.. 

“ที่เรากำลังเรียกร้องคือ เรากำลังทำให้มนุษย์ทุกคนมีสิทธิมีเสียงเท่าเทียมกัน นี่คือสิ่งที่เราต้องการ คือเราอยากให้ทุกคนมองว่า ทุกคนเป็นคนเท่ากัน” 

เราถามอัดว่าเขาคิดยังไงกับคำพูดที่ว่า ‘คนคนเดียวเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก’ 

อัดตอบทันทีว่า “คนเดียวหลาย ๆ คน ก็คือหลายคน ถ้าคุณออกมาแสดงจุดยืนเพื่อการเปลี่ยนแปลง มันจะกลายเป็นอีกเสียงหนึ่งที่ค่อย ๆ ดังขึ้น” 

ตลอดบทสนทนาหนึ่งชั่วโมงเศษระหว่างเรากับอัด เราได้มองเห็นแววตาแห่งความตั้งใจในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมไทย รวมถึงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของเขาที่อยากจะมองเห็นสังคมที่ดีขึ้น เพื่อให้สิทธิของประชาชนในประเทศได้รับการเคารพอย่างเท่าเทียมกัน 

ทั้งหมดชวนให้นึกถึงบทเพลง “ถึงเวลาฟัง” ของเขา โดยเฉพาะท่อนที่ร้องว่า ‘ยอมรับความจริงที่ได้เกิด ถึงเวลาเราต้องเปิด อย่าฝืนจนทำให้เราไม่อาจมองหน้ากัน สิ่งที่ไม่ดีก็ทิ้งไป รับฟังมันด้วยหัวใจ ในวันที่ยังไม่สายไป’

บางที การออกมาเคลื่อนไหวพร้อม ๆ กันของเหล่าคนรุ่นใหม่บนโลกออนไลน์ ที่ขนานไปกับการชุมนุมในโลกออฟไลน์ในขณะนี้ อาจกำลังส่งสัญญาณเตือนให้ทุกคนได้หันมามองเห็น ว่านี่คือสัญญาณที่จะบ่งบอกให้เหล่าผู้มีอำนาจ ต้อง “ถึงเวลาฟัง” เสียงที่พวกเขาต้องการส่งให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง เพื่อที่สักวันหนึ่ง ประชาชนจะได้ก้าวไปสู่โลกใบใหม่ ที่รัฐบาลไทยจะได้หันมาฟังเสียงของประชาชน และตระหนักในเรื่องของสิทธิ เสรีภาพ ท่ามกลางความหวังแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ยังคงส่องประกายอยู่เสมอ

ในวันที่ยังไม่สายไป