ชวนสำรวจจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในเรือนจำทั่วโลก

6 พฤษภาคม 2564

Amnesty International

จากการเก็บข้อมูลวิจัยโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลใน 69 ประเทศ ระหว่างเดือนพฤษภาคม 2563 - กุมภาพันธ์ 2564 พบว่าเฉพาะในสหรัฐอเมริกา มีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดในที่คุมขัง เรือนจำ และสถานกักกันต่าง ๆ สูงถึงกว่า 612,000 ราย และมีจำนวนผู้เสียชีวิตที่เป็นทั้งผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่ไม่ต่ำกว่า 2,700 คน

ปัญหาหลักเกิดจากการขาดความสามารถในการจัดบริการตรวจหาเชื้อ และแนวทางการจัดการเรื่องสาธารณสุขที่ไม่ดีพอ ซึ่งในช่วงแรกของการแพร่ระบาด แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่เรือนจำก็ไม่สามารถข้าถึงบริการการตรวจหาเชื้อ นอกจากนี้ยังมีเรื่องการขาดมาตรการป้องกันและปกป้องคุ้มครองในหลายประเทศ เช่น กัมพูชา ฝรั่งเศส อิหร่าน ปากีสถาน ศรีลังกา ตองโก ตุรกี และสหรัฐอเมริกา

จากข้อมูลของ UN Office on Drugs and Crime (UNODC) พบว่าในกว่า 100 ประเทศทั่วโลกมีความพยายามปล่อยนักโทษกว่า 600,000 รายในปี 2563 เพื่อลดความแออัดในเรือนจำ ส่วนใหญ่เป็นนักโทษที่มีปัญหาสุขภาพ

 

สถานการณ์

  • ข้อมูลของ UN Office on Drugs and Crime (UNODC) และ World Prison Brief ในปี 2561 คาดการณ์ว่ามีคนจำนวนไม่ต่ำกว่า 10.7 ล้านคนทั่วโลกถูกคุมขังก่อนการตัดสินคดี (pre-trial detention) หรือถูกต้องโทษจำคุก ซึ่งจำนวนที่แท้จริงอาจมีถึง 11 ล้าน เนื่องจากข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนในบางประเทศ
  • ต้นปี 2563 ประเทศที่มีสถิติตัวเลขจำนวนผู้ต้องขังมากที่สุดในโลก คือ
    • สหรัฐอเมริกา 1.4 ล้าน และอีกหลายแสนคนที่ถูกคุมขังในระหว่างการตัดสินคดีและในศูนย์กักกันผู้อพยพ (immigrant detention centres)รวมแล้วกว่า 2.3 ล้านคน
    • จีน ไม่น้อยกว่า 1.65 ล้านคน
    • บราซิล 690,000 คน
    • รัสเซีย 583,000 คน

 

ผลกระทบด้านสุขภาพ

  • กลุ่มคนในสถานที่คุมขังมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 จากปัจจัยต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกัน คือ

1.) บุคคลที่ถูกพรากเสรีภาพไปมักมีสภาพร่างกาย สุขภาพ และโรคภัยที่ซ่อนอยู่มากกว่าเมื่อเทียบกับประชากรทั่วไป เพราะการอยู่ในสภาพที่มีสุขอนามัยที่แย่กว่า สภาวะความเครียด โภชนาการที่ไม่ดี  ทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ไม่ดี รวมถึงการระบาดของเชื้อไวรัสที่ติดต่อทางเลือด วัณโรค และสภาวะข้างเคียงจากการใช้ยาเสพติด

2.) ในเรือนจำมักมีการแพร่ระบาดของโรคต่าง ๆ การอักเสบ และเชื้อโรคอันเนื่องมาจากสภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้าย มีเหตุจากความแออัดและขาดการรักษาสุขอนามัย จากข้อมูลของผู้รายงานพิเศษเรื่องการสังหารนอกกระบวนการบุติธรรม อย่างรวบรัด และโดยพลการ (UN Special Rapporteur on Extrajudicial, Summary or Arbitrary Executions) พบว่า นักโทษมักมีปัญหาสุขภาพ เช่น เบาหวาน หัวใจ หอบหืด ความดันโลหิตสูง และการติดเชื้อในปอด เช่น โรคปอดบวมและวัณโรค

3.) ผู้คนในเรือนจำมักไม่สามารถรักษาระยะห่างทางร่างกายได้ และ

4.) การดูแลและให้บริการด้านสุขภาพอาจมีอย่างจำกัด

 

  • หน่วยงานสหประชาชาติต่าง ๆ ได้เรียกร้องให้เห็นข้อเท็จจริงว่า นักโทษมักมีภาวะการกดภูมิคุ้มกัน การติดสารเสพติด และโรคติดต่อ เช่น เอชไอวี วัณโรค และ ไวรัสตับอักเสบ ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตจากการติดเชื้อ โควิด-19

 

ความแออัด

สถานที่คุมขังต่าง ๆ เผชิญปัญหานี้เหมือนกันทั่วโลก กว่า 102 ประเทศทั่วโลกมีรายงานเรื่องอัตราความหนาแน่นในเรือนจำมากกว่าร้อยละ 110 ผู้ต้องขังจำนวนมากเป็นผู้ต้องขังที่ถูกแจ้งข้อหาหรือกระทำความผิดที่ไม่ร้ายแรง รวมถึงจำนวนผู้ต้องขังที่ถูกจำคุกในระหว่างการพิจารณาคดีหรือการกักขังโดยพลการ เป็นส่วนหนึ่งของตัวเลขที่เกินสัดส่วน และมีจำนวนมากกว่าผู้ที่ถูกตัดสินคดีแล้วในกว่า 46 ประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น กว่า 12 ประเทศในแอฟริกามีจำนวนนักโทษมากกว่าปริมาณที่รับได้กว่าร้อยละ 200 ในบุรุนดี ยูกันดา และแซมเบีย ร้อยละ 300 และในสาธารณรัฐคองโก สูงถึงร้อยละ 600

 

การติดเชื้อในเรือนจำ

  • นักระบาดวิทยาและนักวิทยาศาสตร์ได้บรรยายเรือนจำว่าเป็นศูนย์กลาง ของการแพร่ระบาดไวรัส เนื่องจากความแออัด การขาดสุขอนามัยและระบบการระบายอากาศ ทำให้ไม่สามารถมีการรักษาระยะห่างทางกายภาพ สงผลให้เกิดการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ในเรือนจำในทุกทวีปทั่วโลกกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ประเทศสหรัฐอเมริกามีรายงานการติดเชื้อกว่า 612,000 กรณีในเรือนจำและสถานกักกัน นอกจากนี้มีรายงานผู้เสียชีวิตของผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่ไม่น้อยกว่า 2,700 ราย ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าการแพร่ระบาดและเสียชีวิตภายนอกที่คุมขังและเรือนจำกว่า 4 เท่าตัว
  • เดือนกันยายน 2563 ประเทศอินเดียมีรายงานการติดเชื้อใน 351 เรือนจำ จาก 1,350 เรือนจำ หรือหนึ่งส่วนสี่แห่งของเรือนจำใน 25 รัฐทั่วประเทศ
  • เดือนกันยายน 2563 ประเทศปากีสถานมีจำนวนนักโทษติดเชื้อไม่น้อยกว่า 2,313 ราย
  • ในเดือนธันวาคม 2563 ประเทศเกาหลีพบว่ามีผู้ต้องขัง 771 คน และเจ้าหน้าที่ 21 คน ติดเชื้อภายในระยะเวลาไม่กี่วัน ในศูนย์กักกันกรุงโซลตะวันออก และในวันที่ 4 มกราคม 2564 มียอดจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 1,041 คน ซึ่งถือเป็น 1 ใน 3 ของจำนวนผู้ต้องขังทั้งหมด
  • แอฟริกาใต้ เป็นหนึ่งในประเทศแถบแอฟริกาที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 มีรายงานผู้ติดเชื้อกว่า 10,000 คนในเรือนจำหลายแห่ง กว่า 65% เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลเรือนจำ จนทำให้เรือนจำต้องทำการล็อคดาวน์เต็มรูปแบบ
  • ในยุโรป แม้ว่าจะมีความพยายามลดความแออัดในเรือนจำตั้งแต่การเริ่มระบาดของโควิด-19 แต่ในวันที่ 15 กันยายน 2563 ใน 38 เรือนจำที่มีการรายงานข้อมูล พบผู้ต้องขังไม่น้อยกว่า 3,300 คนและเจ้าหน้าที่เรือนจำ 5,100 คนติดเชื้อโควิด-19 จำนวนนี้ได้เพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล ในวันที่ 31 มกราคม 2564 ผู้ต้องขังและเด็กติดเชื้อจำนวน 19,354 คนในเรือนจำและสถานกักกันเยาวชน 126 แห่ง ในอังกฤษและเวลส์ และมีเจ้าหน้าที่ 12,184 คนติดเชื้อตั้งแต่การเริ่มแพร่ระบาดในช่วงแรก

 

มาตรฐานสากล 

  • ข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำแห่งองค์การสหประชาชาติในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง หรือ ข้อกำหนดแมนเดลา (Nelson Mandela Rules) กล่าวถึงการรักษาความสะอาดและสุขอนามัย ดังนี้
    • ข้อกำหนด 15: มีเครื่องสุขภัณฑ์เพียงพอแก่ความจำเป้นกับผู้ต้องขังทุกคน ทั้งต้องสะอาดและเหมาะสม
    • ข้อกำหนด 16: ที่อาบน้ำและฝักบัวต้องติดตั้งให้เพียงพอกับจำนวนผู้ต้องขังทุกคนที่จะอาบน้ำโดบมีอุณหภูมิที่เหมาะสมกับดินฟ้าอากาศ และให้สามารถอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดได้บ่อยตามความจำเป็นตามฤดูกาลและตามสภาพของแต่ละภูมิภาค โดยอย่างน้อยควรให้ผู้ต้องขังได้อาบน้ำสัปดาห์ละครั้งหากอยู่ในอุณหภูมิเขตอบอุ่น
    • ข้อกำหนด 17: ให้มีการดูแลรักษาอย่างเหมาะสมเป็นประจำสำหรับทุกส่วนภายในเรือนจำ ที่ใช้เป็นที่คุมขังโดยจะต้องทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลา
    • ข้อกำหนด 18 (1): ผู้ต้องขังจะต้องรักษาร่างกายให้สะอาด ฉะนั้นจะต้องจัดหาน้ำและอุปกรณ์เครื่องใช้สำหรับห้องน้ำที่จำเป็นเพื่อสุขภาพและความสะอาดของผู้ต้องขังให้ด้วย
    • ข้อกำหนด 22 (2): น้ำต้องจัดไว้เพื่อให้ผู้ต้องขังทุกคนได้ดื่มเมื่อต้องการ

 

  • ข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำและมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง (ข้อกำหนดกรุงเทพ) มีความเกี่ยวข้องในบริบทนี้ด้วยเช่นกัน คือ
    • เรือนจำและห้องขังของผู้ต้องขังหญิงต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกและสิ่งของซึ่งตรงต่อความต้องการด้านสุขอนามัยของหญิงโดยเฉพาะ โดยอย่างน้อยรวมถึงผ้าเช็ดตัวที่สะอาด และการจัดส่งน้ำดื่มอย่างสม่ำเสนอให้เพียงพอต่อการดูแลเด็กและผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงซึ่งทำอาหารตั้งครรภ์ ให้นมบุตรหรือมีประจำเดือน

 

หน้าที่ของรัฐ

รัฐมีพันธกรณีในการดูแลผู้ต้องขังในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยจะต้องดูแลทั้งในมิติของสิทธิด้านสุขภาพ สุขภาพของผู้ต้องขัง และสิทธิในการได้รับน้ำและสุขอนามัย ดังนี้ 

  • รัฐต้องทำให้มั่นใจว่าผู้ต้องขังต้องสามารถเข้าถึงการดูแลและบริการสุขภาพในมาตรฐานเดียวกับบุคคลทั่วไป
  • แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกใส่ใจกับข้อกังวลเรื่องสถานที่กักขัง การป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งภายในเรือนจำและระหว่างเรือนจำกับสังคมภายนอก เพื่อไม่ให้การระบาดขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น
  • รัฐบาลจำเป็นต้องเก็บข้อมูลสาธารณะสุขที่เกี่ยวเนื่องกับบุคคลในที่คุมขังหรืออยู่ระหว่างการควบคุมตัวอย่างทันท่วงที  ให้บริการหน้ากากอนามัยและสบู่ในปริมาณที่เพียงพอ รวมถึงอุปกรณ์ทำความสะอาดต่าง ๆ โดยไม่มีการเก็บค่าใช้จ่าย การเข้าถึงน้ำใช้ที่สะอาด และการเข้าถึงการตรวจและการรักษาโรคโควิด-19
  • นอกจากนี้รัฐบาลควรเสาะหาทางเลือกอื่นแทนการคุมขังผู้อยู่ระหว่างดำเนินคดี เพื่อลดปัญหาความแออัดในเรือนจำ
  • แม้ว่าการแจกจ่ายวัคซีนโดยรัฐบาลจะทำเป็นห้วงเวลาที่ต่างกันและมีการจัดกลุ่มเป้าหมายที่ซับซ้อน ทั้งนี้ รัฐยังคงต้องทำให้มั่นใจว่านโยบายและแผนการฉีดวัคซีนนั้นไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้ที่อยู่ในที่คุมขัง รัฐจะต้องทำทุกวิถีทางให้นักโทษ รวมถึงเจ้าหน้าที่เรือนจำได้เข้าไปอยู่ในแผนเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำที่ไม่อำนวยต่อการรักษาระยะห่างทางกายภาพ
  • แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องให้รัฐบาลใช้วิธีการแยกขังหรือมาตรการกักตัวก็ต่อเมื่อไม่สามารถใช้มาตรการป้องกันอื่นได้ การห้ามเยี่ยมจะต้องเป็นไปเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคเท่าที่จำเป็นและมีสัดส่วนชัดเจน และเรียกร้องให้มีการสืบสวนสอบสวนที่เป็นอิสระและเป็นกลาง ในกรณีต่าง ๆ ที่มีส่วนของการใช้กำลังรุนแรงภายในพื้นที่เรือนจำ
  • แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องให้หน่วยงานต่าง ๆ ภายใต้ UN ได้เพิ่มความพยายาม WHO ควรมีการทบทวนแนวทางการเข้าถึงผลิตภัฑณ์ด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับ โควิด-19 เช่น วัคซีน อย่างสม่ำเสมอ และมีการอ้างอิงที่เชื่อถือได้ในเรื่องเจ้าหน้าที่เรือนจำและผู้คุมขังที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิตหรือการเจ็บป่วยอย่างรุนแรงจากโรคโควิด-19 ให้เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูงและต้องได้รับการให้ความสำคัญอันดับต้น ๆ ในการเข้ารับวัคซีน
  • แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเสนอให้ UNODC ขยายระบบการเก็บข้อมูลอาชญากรรมทั่วทุกรัฐบาล เพื่อให้มีการวิเคราะห์ข้อมูลแยกประเภทที่มีรายละเอียดมากขึ้น ต่อการปรับปรุงยุทธศาสตร์การควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค
  • แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเสนอให้ OHCHR ได้ให้คำแนะนำเชิงเทคนิคและการสนับสนุนที่จำเป็นต่อคณะทำงานด้านสิทธิมนุษยชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทำการติดตามสถานการณ์ภายในเรือนจำในระหว่างการแพร่ระบาดของโควิด-19