ในวัยเพียง 23 ปี “อชิรญา บุญตา” หรือ “จุ๊บจิ๊บ” กรรมการเยาวชนแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ได้เดินในเส้นทางที่เป็นความฝันแล้ว หลังจากที่เธอเคยเล่าไว้ก่อนเรียนจบในรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่า อยากเป็นนักกิจกรรมที่ใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและผลักประเด็นให้สังคมเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ ปัจจุบันความฝันในวัยเรียนได้พาเธอออกจากพื้นที่กิจกรรมภายในรั้วมหาวิทยาลัย มาสู่โลกการทำงานจริงแล้วทุกวันนี้

จากเวทีเล็กๆ ของการรณรงค์ในมหาวิทยาลัยหลังเรียนจบ เธอก้าวเข้าสู่การทำงานกับ iLaw ในบทบาท “แคมเปญเนอร์” หรือ “เจ้าหน้าที่รณรงค์และสื่อสาร” ช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือนที่ทำหน้าที่นี้ ได้สอนให้เธอเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างให้เกิดผล ต้องอาศัยทั้งข้อมูล กฎหมาย ยุทธศาสตร์ทางสังคม และเมื่อได้ลิ้มรสโลกของการรณรงค์อย่างเต็มตัวในตอนนั้น ทำให้เธอเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า ถ้าทำได้เพียงแค่พูดในที่ที่ไม่มีใครฟัง การเคลื่อนไหวทางสังคมจะมีความหมายเพียงพอหรือไม่ในจุดยืนที่มีอยู่
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจที่ทำให้เธอก้าวเข้าสู่รัฐสภา ในฐานะผู้ช่วยสมาชิกวุฒิสภาในวัยเพียง 23 ปี การก้าวเข้าไปในพื้นที่แห่งนี้ ไม่เพียงทำให้เธอได้สัมผัสอำนาจเชิงโครงสร้าง แต่ยังทำให้เข้าใจว่าความฝันเรื่องสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่เพียงแค่มีอุดมการณ์เท่านั้น หากแต่เป็นสมการที่ยากพอสมควร ในการพิสูจน์เรื่องนี้ในโลกแห่งความเป็นจริง โลกที่เต็มไปด้วยข้อจำกัด ผลประโยชน์ และแรงเสียดทานจากผู้คนรอบด้านที่มีความคิดหลากหลาย
การเดินทางของเธอจึงไม่ใช่แค่เยาวชนคนหนึ่ง ที่อยากเปลี่ยนแปลงเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่คือการเรียนรู้ว่า ความฝันกับความจริงอาจแตกต่างกันเพียงเส้นบางๆ และการจะทำให้ “หนึ่งบวกหนึ่งต้องเท่ากับสอง” ในทางการเมืองหรือสิทธิเสรีภาพ เป็นโจทย์ใหญ่ในชีวิตที่ยากพอๆ กับการหายใจในสังคม ที่ยังไม่พร้อมยอมรับความเสมอภาคเท่าไหร่นัก
ทำไม…หนึ่งบวกหนึ่งต้องเท่ากับสอง
แม้จะเพิ่งก้าวเข้าสู่วัยทำงานเพียงไม่กี่ปี แต่จุ๊บจิ๊บตั้งโจทย์ชีวิตให้กับตัวเองและเพื่อนร่วมรุ่นตั้งแต่เรียนหนังสือ คืออยากรู้ว่าเราจะทำอย่างไรให้สิทธิมนุษยชนไม่ใช่แค่ความเชื่อหรือเรื่องที่จับต้องไม่ได้ แต่กลายเป็นความจริง ที่สังคมทุกคนยอมรับและได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันตามสิ่งที่ควรจะเป็น ไม่ใช่เรื่องที่ผิด ถูกทำให้กลายเป็นถูก หรือเรื่องที่ถูก ถูกทำให้เป็นเรื่องที่ผิด
“อยากชวนทุกคนเปลี่ยนสิ่งที่เชื่อให้เป็นจริงเพื่อมาทำให้ ‘หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง’ ไม่ปล่อยให้การทำตามอำเภอใจเป็นเรื่องของชนชั้นปกครองหรือผู้มีอำนาจ ที่บางครั้งสังคมเหมือนเปิดโอกาสให้เราพูดความจริงได้ แต่กลับถูกบิดให้กลายเป็นหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับห้า หรือศูนย์บวกศูนย์เท่ากับสิบ ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นแบบนั้นเลยในชีวิตคนเรา”
สำหรับเธอความหมายของหนึ่งบวกหนึ่งต้องเท่ากับสอง ไม่ได้จำกัดอยู่ในวิชาคณิตศาสตร์ที่เรารู้จักกันทั่วไป แต่คือสมการของความจริง ความยุติธรรม และเรื่องสิทธิมนุษยชน ที่เสียงของประชาชนต้องได้รับฟังอย่างต้องตรงไปตรงมา ไม่ถูกบิดเบือนด้วยอำนาจของรัฐบาลหรือคนบางกลุ่ม ที่สร้างความไม่ยุติธรรมให้เกิดขึ้น ด้วยวิธีที่ผิดเพี้ยนไปจากหลักข้อเท็จจริง
“สิทธิมนุษยชนต้องเป็นเส้นทางที่พาเราไปสู่รัฐสวัสดิการและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ถ้าเราเดินด้วยวิธีอื่น เช่น รัฐประหารหรือความรุนแรง ต่อให้ไปถึงเป้าหมาย มันก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ถ้าเราเดินด้วยสิทธิมนุษยชน ต่อให้ช้านิดหน่อย ไม่ได้เร็วมากมาย แต่มันก็เป็นเส้นทางที่ทำให้คนเจ็บน้อยที่สุด และสุดท้ายเราจะไปถึงปลายทางที่มั่นคงกว่า”
จากแคมเปญในมหาวิทยาลัยสู่รัฐสภา
ช่วงก่อนและหลังเรียนจบมหาวิทยาลัย จุ๊บจิ๊บก้าวเข้าสู่การทำงานที่ iLaw องค์กรที่เปิดพื้นที่ให้นักกิจกรรมทำงานขับเคลื่อนประเด็นกฎหมายและสังคม ที่นั่นทำให้เธอได้เห็นว่าความฝันเรื่องการเป็นแคมเปญเนอร์ไม่ใช่เพียงการรณรงค์ที่มีแต่ภาพเลื่อนลอยที่ไม่เห็นความสำเร็จ แต่สามารถทำฝันให้เป็นจริงและเป็นสิ่งที่จับต้องได้ในรูปแบบของการรณรงค์ที่เป็นระบบ มีข้อมูล มีทีมงาน มีแผน และมีผลลัพธ์ที่สังคมพูดถึง
“ตอนที่ยังเรียนอยู่ คิดเพียงแค่ว่าอยากทำอะไรเพื่อสังคม ที่มีส่วนช่วยผลักดันนโยบายให้เกิดขึ้นจริงได้ในทางกฎหมาย ที่นำไปสู่การช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ช่วยหยุดปัญหาความไม่ยุติธรรมในสังคม”
แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เธอเกิดคำถามใหม่ขึ้นมาว่า หากเราพูดอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีใครตั้งใจฟัง ต่อให้เสียงดังแค่ไหน ผลลัพธ์จะเกิดขึ้นจริงได้อย่างไร จากคำถามในหัวที่คิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เธอลองทบทวนกับตัวเองอีกครั้งว่า ถ้าได้เปลี่ยนพื้นที่พูด เปลี่ยนเวทีที่ยืนอยู่ในหน้าที่การงาน เสียงที่เธออยากส่งต่อไปถึงสังคมและฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จะถูกหยิบไปต่อยอดมากกว่าการแชร์โพสต์หรือยกมือโหวตในเวทีเล็กๆ ได้หรือไม่ และนั่นเองคือเหตุผลที่ทำให้จุ๊บจิ๊บเลือกจะขยับตัวเองเข้าสู่รัฐสภา ที่ไม่ใช่ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยตรง แต่เป็นบทบาทผู้ช่วยสมาชิกวุฒิสภา เพื่อเก็บประสบการณ์ในชีวิตการทำงานและพิสูจน์กับตัวเองว่า การได้อยู่ใกล้อำนาจรัฐจริงๆ จะช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างได้หรือไม่
“เราอยากรู้ว่าการต่อสู้ด้วยป้ายผ้า หรือการไปยืนประท้วง กับการต่อสู้ด้วยคำพูดที่มาจากข้อเท็จจริงในสภามันจะต่างกันแค่ไหน มันจะช่วยกันเสริมได้ไหม เพราะสำหรับเรา สิทธิมนุษยชนมันไม่ควรอยู่แค่ในห้องเรียนหรือในโซเชียลมีเดียทางออนไลน์ แต่มันต้องอยู่ในรัฐธรรมนูญ อยู่ในกฎหมาย อยู่ในชีวิตประจำวันของคนทุกคน”
แคมเปญเพื่อสิทธิที่เท่าเทียม จากรัฐสภาสู่การล่ารายชื่อ
งานใหญ่อีกชิ้นหนึ่งที่จุ๊บจิ๊บเล่าอย่างภูมิใจ คือการได้ทำงานกับสมาคมสตรีพิการ เด็กพิการและครอบครัว ที่รวมตัวกันมายื่นปัญหาต่ออนุกรรมาธิการในรัฐสภา เธอบอกว่านี่ไม่ใช่แค่การช่วยทำงานเอกสารให้กับเครือข่ายในฐานะผู้ช่วยสมาชิกวุฒิสภา แต่คือการต่อสู้เพื่อให้กฎหมายไทยสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล
“เราอาศัยประสบการณ์จาก iLaw มาช่วยร่างกฎหมายและประสานกับรัฐสภา พยายามเอาทักษะที่มีมาทำให้เสียงของคนที่เปราะบางที่สุดกลายเป็นถ้อยคำที่รัฐต้องฟัง”
ผลของการทำงานร่วมกันตลอดหลายเดือน คือร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการฉบับใหม่ ที่ไม่เพียงรับรองสิทธิตามอนุสัญญาระหว่างประเทศ แต่ยังยกระดับการคุ้มครองสิทธิในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่สิทธิในการเข้าถึงบริการพื้นฐาน ไปจนถึงการคุ้มครองทางสังคมและสวัสดิการที่เป็นธรรม เธอเล่าว่า ล่าสุดประธานสภาได้อนุมัติให้ร่างกฎหมายนี้เข้าสู่ขั้นตอนสำคัญแล้ว จนนำมาสู่การล่ารายชื่อ 10,000 รายชื่อ เพื่อเสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา สำหรับเธอสิ่งนี้มีความหมายในชีวิตมากอีกเรื่องหนึ่ง จึงหวังว่าทุกคนที่มาเห็นแคมเปญจะช่วยกันร่วมกันผลักดันให้สิทธิของคนพิการไม่ถูกมองข้ามอีกต่อไป
การล่ารายชื่อครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเซ็นชื่อแล้วผ่านไป แต่คือการบอกว่าเราต้องการสังคมที่ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง จุ๊บจิ๊บฝากถึงคนที่ได้มาอ่านบทความนี้ว่า หากเชื่อว่าเด็กทุกคนควรเข้าถึงการศึกษา แม่ทุกคนควรได้รับการดูแลเมื่อคลอดบุตร คนพิการทุกคนควรเดินทางในเมืองได้โดยไม่มีสิ่งกีดขวาง นี่คือเวลาที่เสียงของคนที่มีความเชื่อเดียวกันจะมีพลัง ผ่านการร่วมกันลงชื่อกับแคมเปญนี้
“เราต้องการให้คนเห็นว่า กฎหมายไม่ใช่เรื่องของนักการเมืองอย่างเดียว แต่กฎหมายคือเรื่องของชีวิตเรา และถ้าเราอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง เราต้องเริ่มจากการยกมือของเราเอง” จุ๊บจิ๊บทิ้งท้ายเกี่ยวกับสิ่งที่เธอกำลังทำร่วมกับทีมงาน
โลกของสิทธิที่กว้างขึ้น
จากเดิมที่สนใจแต่ประเด็นเรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก วันนี้มุมมองของจุ๊บเปิดกว้างกว่านั้น วันนี้เธอมองว่าโลกของสิทธิมนุษยชนมีเรื่องราวหลากหลายที่สามารถทำหรือสื่อสารออกไปได้ในรูปแบบที่ตัวเองสามารถทำได้ เพราะสิทธิมนุษยชนอยู่ในเรื่องเล็กๆ ที่ผูกพันกับชีวิตประจำวันของคนทุกกลุ่ม เธอเรียกสิทธินี้ว่า “สิทธิพลเมือง”
“พอได้ทำงานจริง เราเห็นสิทธิแรงงาน สิทธิชุมชน สิทธิที่จะหายใจในอากาศสะอาด สิ่งเหล่านี้คือสิทธิมนุษยชนทั้งหมด ไม่ใช่แค่มีสิทธิที่จะพูดหรือเขียน แต่มีสิทธิที่จะมีชีวิตที่ดี อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ทำร้ายเรา ทำงานแล้วไม่ถูกเอาเปรียบ สิทธิที่จะกลับบ้านมาพร้อมอากาศที่หายใจได้โดยไม่เสี่ยงที่จะต้องเจ็บป่วยหรือร้ายสุดๆ คือทำให้ตายได้”
เธอเล่าอีกบทบาทหนึ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการอภิปรายร่างกฎหมายคุ้มครองแรงงานในสภา ที่มีส่วนเสนอเหตุผลสนับสนุนการขยายสิทธิการลาคลอด 180 วัน และสิทธิของผู้รับรองบุตร ไม่ว่าครอบครัวจะเป็นรูปแบบใด สำหรับเธอมองว่ากฎหมายไม่ควรเป็นกรอบตายตัว แต่กฎหมายควรรองรับทุกความหลากหลายของสังคม ที่มีทั้งพ่อเลี้ยงเดี่ยว แม่เลี้ยงเดี่ยว หรือครอบครัวพ่อพ่อ ครอบครัวแม่แม่ หรือครอบครัวที่เลี้ยงลูกร่วมกัน เพราะตั้งแต่ไทยผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมไปเมื่อต้นปี 2568 การตีความหมายของคำว่า “ครอบครัว” ไม่ควรจำกัดว่ามีครอบครัวรูปแบบเดียวอีกต่อไป และกฎหมายต้องสะท้อนความจริงนั้นให้เห็นและทำได้จริง
จากสิทธิเสรีภาพสู่…รัฐสวัสดิการ
เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนผ่านจากการเป็นนักกิจกรรมสู่การทำงาน สะท้อนความคิดที่เติบโตขึ้นของจุ๊บจิ๊บ เพราะจากการเรียกร้องสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกเพียงอย่างเดียวที่ทำได้ในตอนนั้น ได้เปลี่ยนมาเป็นการตั้งคำถามถึงรัฐสวัสดิการและความมั่นคงในชีวิตของคนในสังคม
“เมื่อก่อนคิดว่าการเรียกร้องซึ่งสิทธิเสรีภาพเป็นเรื่องหลัก แต่พอทำงานจริงๆ และเจอปัญหาสุขภาพของแม่ เราจึงเห็นโลกของความจริงว่า คนต้องมีกิน มีใช้ มีสวัสดิการที่ดีด้วย นั่นคือสิทธิที่เราควรจะได้รับ”
จุ๊บจิ๊บเล่าต่ออีกว่า เราจะพูดถึงสิทธิเสรีภาพอย่างเดียวไม่ได้แล้วในทุกวันนี้ ถ้าชีวิตจริงแม่ของเรากำลังป่วย แต่กลับไม่มีระบบไหนรองรับค่าใช้จ่ายหรือการรักษาได้ หรือมีระบบรองรับแต่ไม่เพียงพอ สำหรับเธอสิ่งนี้ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะสิทธิมนุษยชนต้องหมายถึงการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และเพื่ออธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้น เธอหยิบแนวคิดจากพุทธศาสนามาเชื่อมโยงเรื่อง “อเนกนิกรสโมสรสมมุติ” โดยมีการเปรียบเปรยว่า ประชาชนเปรียบเสมือนเจ้าของ “ข้าวสาลี” ที่แบ่งปันให้ผู้มีอำนาจปกครอง ฉะนั้น การปกครองจึงไม่ใช่การครอบงำจากเบื้องบน แต่เป็นสัญญาต่างตอบแทนที่เกิดจากการยินยอมและยอมรับร่วมกัน
“ประชาชนคือเจ้าของข้าวสาลีที่ยอมมอบให้ผู้แทนเพียงชั่วขณะหนึ่ง ผู้แทนจึงต้องตอบแทนด้วยสวัสดิการและบริการสาธารณะ ตั้งแต่การดูแลแม่ที่คลอดลูก การมีระบบขนส่งสาธารณะที่ทุกคนเข้าถึง ไปจนถึงการออกแบบเมืองที่คนพิการใช้ชีวิตได้ปกติทั่วไป ถ้าคุณสร้างอุปสรรค คุณก็ต้องสร้างทางผ่านให้เขาด้วย เพราะเราทุกคนเกิดมาเท่ากัน”
สิทธิพลเมืองคือการเลือกตั้ง
เมื่อถามว่า “สิทธิพลเมือง” หมายถึงอะไรในความหมายของชีวิตของเธอตอนนี้ จุ๊บจิ๊บตอบอย่างไม่ลังเลระหว่างการพูดคุยกัน เธอบอกว่า สิทธิพลเมืองคือการเลือกตั้งที่ตรงไปตรงมาและเท่าเทียม
“ใครจะเป็นผู้ติเตียนโดยชอบ ใครจะเป็นคนที่ลุกขึ้นมาตัดสินใจแทนพวกเรา ต้องมาจากเสียงของประชาชนทุกคนอย่างเสมอภาค ไม่ใช่มาจากการแต่งตั้งหรือการสืบทอดอำนาจ ผู้ปกครองประเทศไม่ควรอยู่นานเกินไป ต้องมีวาระ เพราะไม่เช่นนั้นเสียงของประชาชนจะไม่ถูกสะท้อนกลับไปถึงผู้มีอำนาจ”
ประโยคข้างต้น จุ๊บจิ๊บให้ความหมายว่า สิทธิพลเมืองไม่ใช่เพียงแค่สิทธิขั้นพื้นฐานที่ถูกเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่คือเส้นเลือดใหญ่ของประชาธิปไตย ที่ทำให้สังคมยังหายใจได้ เธอเปรียบการเลือกตั้งว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนระหว่างรัฐกับประชาชน เพราะคนส่วนใหญ่ในสังคมจ่ายภาษีให้กับรัฐ สิ่งนี้เป็นเหมือนการส่งทรัพยากรให้ผู้แทนราษฎรไปบริหารจัดการ นั่นหมายความว่า สิ่งที่ผู้แทนต้องตอบแทนกลับมา ไม่ใช่เพียงนโยบายที่ดูดีตอนหาเสียงเลือกตั้ง แต่คือสวัสดิการ คุณภาพชีวิต และความยุติธรรมที่จับต้องได้
“มันเหมือนเราตกลงกันว่า ฉันจะยกสิทธิให้คุณไปทำแทนฉัน แต่คุณต้องทำเพื่อฉันด้วย ไม่ใช่เอาไปเพื่อประโยชน์ของคุณเอง การเลือกตั้งจึงเป็นเหมือนเงื่อนไขสำคัญของสัญญานี้”
กรรมการเยาวชนกับแอมเนสตี้ ประเทศไทย
ในอีกบทบาทหนึ่ง จุ๊บจิ๊บทำหน้าที่เป็น กรรมการเยาวชนของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย สำหรับหน้าที่นี้เธออยากเป็นสะพานเชื่อมระหว่างเยาวชนกับแอมเนสตี้ เพื่อให้เพื่อนรุ่นเดียวกันที่สนใจสิทธิมนุษยชนไม่รู้สึกว่าการเข้ามาทำงานกับองค์กรสิทธิสากลอย่างแอมเนสตี้เป็นเรื่องยากหรือไกลเกินเอื้อม
“หลายครั้งเพื่อนๆ จะรู้สึกเกรงหรือไม่มั่นใจว่าจะเริ่มตรงไหน ก็เลยอยากเป็นคนกลาง คอยให้คำปรึกษา ช่วยแนะนำวิธีทำแคมเปญ และเปิดพื้นที่ให้เยาวชนได้ลองทำสิ่งที่เชื่อจริงๆ เราแค่อยากเป็นสะพานเชื่อมระหว่างเยาวชนกับแอมเนสตี้เรื่องสิทธิมนุษยชน”
จุ๊บจิ๊บเล่าต่ออีกว่า หน้าที่หลักของเธอคือการให้คำปรึกษาและผลักดันให้เยาวชนที่เข้าร่วมกับแอมเนสตี้ได้ลองทำแคมเปญหรือกิจกรรมรณรงค์จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์ในมหาวิทยาลัย การจัดกิจกรรมเล็กๆ ในชุมชน หรือการร่วมกันสร้างข้อเสนอใหม่ๆ ให้แอมเนสตี้นำไปต่อยอด เพราะสำหรับเธอการได้เห็นเพื่อนๆ กล้าคิด กล้าพูด และกล้าทำ คือหัวใจสำคัญของการเป็นกรรมการเยาวชนในตำแหน่งที่มีอยู่ปัจจุบัน

หนึ่งในไอเดียที่เธอภูมิใจมากคือการเสนอให้แอมเนสตี้สร้างแพลตฟอร์มกลางสำหรับสมาชิกแอมเนสตี้ เรื่องนี้เกิดขึ้นในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี (Annual General Meeting) หรือ AGM ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ที่ผ่านมา เพราะทุกคนคิดว่าถ้าอยากให้สมาชิกมีส่วนร่วมมากขึ้น เราควรมีเครื่องมือที่ตอบโจทย์จริงๆ ในการเป็นสมาชิกให้เกิดการเข้าถึงที่ง่ายขึ้น
“ไอเดียแรกที่มีอยู่ตอนนี้คือเว็บไซต์ตรวจสอบสถานะสมาชิก คล้ายกับระบบของพรรคการเมือง เพียงแค่กรอกเลขบัตรประชาชนก็สามารถเช็กได้ทันทีว่าสมาชิกภาพยังมีอายุถึงเมื่อไร และสามารถต่ออายุได้ง่ายโดยไม่ต้องอีเมลถามเจ้าหน้าที่ให้ยุ่งยาก สิ่งนี้ฟังดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่สำหรับเพื่อนๆ หรือเยาวชนที่สนใจคือความสะดวก และสำคัญคือทำให้รู้สึกว่าแอมเนสตี้เห็นเราเป็นเจ้าของ ไม่ใช่แค่ผู้สนับสนุน”
จุ๊บจิ๊บบอกว่า ปัจจุบันเพื่อนๆ เยาวชนที่เป็นสมาชิกและทำงานร่วมกับแอมเนสตี้ ได้ขยายไอเดียไปไกลกว่านั้น ด้วยการเสนอให้ทำเว็บบอร์ดกลาง ที่สามารถเชื่อมสมาชิกแอมเนสตี้จากทุกภูมิภาคมาคุยกัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และร่วมทำแคมเปญข้ามพรมแดน สามารถเจอหน้ากัน พูดคุย และทำงานร่วมกันข้ามประเทศ ตอนนี้การผลักดันอยู่ระหว่างหารือและจัดทำให้สำเร็จ
“แอมเนสตี้จะเป็นของใครไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่ของสมาชิก และถ้าเราอยากให้เสียงของแอมเนสตี้ดังขึ้นจริงๆ ก็ต้องเริ่มจากการทำให้สมาชิกทุกคนรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของเสียงนั้นด้วย”
เยาวชนกับอนาคตของประชาธิปไตย
“วันเยาวชนแห่งชาติ” ปี 2568 จุ๊บจิ๊บฝากข้อเสนอที่เธอหวังว่าอาจเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยได้ นั่นคือเปลี่ยนกฎหมายที่ให้เยาวชนอายุ 15 ปีขึ้นไป มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อร่วมกำหนดอนาคตร่วมกัน ข้อเสนอนี้มีเจตนาเหมือนกับตอนที่เธอยังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมและมหาวิทยาลัย ที่เคยเรียกร้องให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีเลือกได้ตั้ง เพราะสำหรับจุ๊บจิ๊บสิทธิไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใหญ่ใช้สิทธิได้ สิทธิไม่ใช่สิ่งที่รอให้ถึงวัยที่ต้องบรรลุนิติภาวะแล้วค่อยหยิบยื่นให้ แต่สิทธิคือเสียงของเยาวชน เสียงของทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในช่วงอายุใดก็ตาม
“พวกเขาเรียน ใช้ชีวิต รับผลกระทบจากนโยบาย และมีสายตาที่มองเห็นอนาคตไม่ต่างจากใคร เพียงแต่ยังไม่ได้รับสิทธิที่จะกำหนดอนาคตนั้นด้วยมือของตนเอง”
เธอเชื่อว่าหากเยาวชนอายุ 15 ปีขึ้นไปมีสิทธิเลือกตั้ง ไม่เพียงแต่จะทำให้การเมืองสะท้อนความเป็นจริงของสังคมมากขึ้น แต่ยังเป็นการสร้างวัฒนธรรมใหม่ สร้างวัฒนธรรมที่เคารพเสียงของทุกคนตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ว่าใครก็ตามจะเพิ่งก้าวเข้าสู่วัยรุ่นหรือใกล้เกษียณ
“สิทธิไม่ควรถูกกำหนดด้วยอายุ แต่ควรถูกกำหนดด้วยการยอมรับว่าเราอยู่ในสังคมเดียวกัน และทุกเสียงมีค่าเท่ากัน”
เส้นทางของ “จุ๊บจิ๊บ” กรรมการเยาวชนแอมเนสตี้ ประเทศไทย ในฐานะเยาวชนคนหนึ่ง อาจเป็นอีกหนึ่งภาพสะท้อนโจทย์ใหญ่ของประเทศเรื่องสิทธิและการขับเคลื่อนนโยบาย จากความฝันเล็กๆ ในรั้วมหาวิทยาลัย สู่การทำงานในรัฐสภา และก้าวไปเป็นส่วนหนึ่งในการร่างกฎหมายเพื่อผลักดันรัฐสวัสดิการ ในวันเยาวชนแห่งชาติ ปี 2568 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย หวังว่าเสียงของเธอจะเคียงข้างเยาวชนทุกคน ระหว่างการเติบโตที่เต็มไปด้วยพลัง ความฝัน และการลงมือทำจริง เพื่อพิสูจน์ว่า สิทธิมนุษยชนไม่ใช่สิ่งไกลตัว หากเริ่มต้นได้ตั้งแต่ลืมตาดูโลก และสามารถเติบโตไปพร้อมกันได้




