“One Day Trip with Amnesty สถานีปลายทาง นางเลิ้ง” แรงบันดาลใจเล็กๆ ของชุมชนที่เรา “รู้จักแบบไม่รู้จัก”

ในความรับรู้ของคนไทยส่วนใหญ่ เรื่องราวเกี่ยวกับนักต่อสู้เพื่อผืนแผ่นดินเกิดมักจะเกิดขึ้นอยู่ในต่างจังหวัดอันห่างไกลจากเมืองหลวง โดยมีตัวละครเป็นชาวบ้านตัวเล็กๆ กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพล แต่รู้หรือไม่ว่า การต่อสู้ลักษณะนี้ยังเกิดขึ้นใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด เพราะแม้กระทั่งในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร ก็ยังมีคนธรรมดาที่ดิ้นรนต่อสู้ เพียงเพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ในบ้านหลังเดิม ที่บรรพบุรุษของพวกเขาได้หยั่งรากเอาไว้

หากยังจำกันได้ ใน พ.ศ. 2561 ชุมชนป้อมมหากาฬถูกรื้อถอน และปัจจุบันได้กลายเป็นพื้นที่สวนสาธารณะโล่งกว้าง และยังมีชุมชนในกรุงเทพฯ อีกมากมายที่กำลังตกเป็นเป้าการรื้อถอน และกำลังส่งเสียงเพื่อความอยู่รอด ท่ามกลางเสียงอึกทึกในเมืองหลวง หนึ่งในนั้นคือ “ชุมชนนางเลิ้ง” ที่ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมความบันเทิงของกรุงเทพฯ แต่บัดนี้กลับต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และทำให้ชุมชนที่รุ่มรวยด้วยศิลปวัฒนธรรมและอาหารอร่อยนี้สูญหายไปตลอดกาล

ด้วยเหตุนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จึงจัดกิจกรรม “One Day Trip with Amnesty สถานีปลายทาง นางเลิ้ง” เพื่อออกเดินฟังเสียงของคนในชุมชน และนำข้อมูลที่ได้มาพัฒนาเป็นงานรณรงค์ เพื่อนำไปสู่ทางออกของปัญหา

เพราะ “สิทธิชุมชนคือสิทธิมนุษยชน” จึงเป็นหน้าที่ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ที่จะช่วยส่งเสริมสิทธิมนุษยชน และเปิดพื้นที่ให้เสียงของชุมชนได้ส่งถึงคนทั่วไป

ชนากานต์ มวลเสียงใส นักศึกษาฝึกงานฝ่ายนักกิจกรรมและสิทธิมนุษยชนศึกษา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ผู้จัดการโครงการ “One Day Trip with Amnesty สถานีปลายทาง นางเลิ้ง” เล่าให้ฟังว่า เธอเป็นสมาชิกของแอมเนสตี้ตั้งแต่ พ.ศ. 2562 และมีความสนใจในประเด็นสิทธิชุมชน จึงเลือกมาฝึกงานกับแอมเนสตี้ ประกอบกับเมื่อปีที่แล้ว เธอได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมในชุมชนนางเลิ้ง จึงนำแรงบันดาลใจที่ได้รับในวันนั้น มาจัดเป็นโปรเจ็กต์จบการฝึกงานของตัวเองเพื่อชุมชนนางเลิ้งในปีนี้

“เราโตมาด้วยประเด็นพวกนี้ค่ะ คือเราเป็นคนจังหวัดเลย แล้วเมืองเลยเองก็มีประเด็นเรื่องเหมืองแร่เมืองเลย ซึ่งเราก็เคยมีโอกาสได้ไปลงพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้านแถวนั้น เหมือนไปเรียนรู้ประเด็นปัญหา นอกจากเหมืองแร่เมืองเลย เราก็เคยไปลงพื้นที่ที่ชุมชนบ่อแก้ว จังหวัดชัยภูมิด้วย ชาวบ้านที่นั่นก็มีปัญหาเรื่องที่ดินทำกินเหมือนกัน ก็คือที่ดินบริเวณนั้นจะถูกเวนคืนเพื่อนำพื้นที่ไปทำเป็นพื้นที่ป่าสงวน แล้วก็เห็นถึงความเดือดร้อนที่ชาวบ้านได้รับ เห็นผลกระทบที่เขาต้องเผชิญกับมันอยู่”

ในสายตาของชนากานต์ คนทั่วไปมักจะรู้จักนางเลิ้งแบบ “รู้จักแบบไม่รู้จัก” คือมองเห็นเฉพาะเรื่องวัฒนธรรมการกิน อาหาร ตลาด แต่ไม่เคยรู้ว่าชุมชนนี้กำลังเผชิญกับการไล่รื้อ เธอจึงอยากจัดกิจกรรม One Day Trip ขึ้น เพื่อให้ทุกคนรู้จักนางเลิ้งมากกว่าที่เคย

“การเรียนรู้มันมีหลายรูปแบบค่ะ ไม่จำเป็นจะต้องนั่งเรียนแค่ในห้องเท่านั้น เราสามารถเรียนรู้ในรูปแบบอื่นได้ เช่น การเรียนรู้แบบลงมือทำ ( learning by doing) การที่เรามาลงพื้นที่ มาสัมภาษณ์และพูดคุยกับคนในชุมชนจริงๆ มันก็เป็นการเรียนรู้อีกรูปแบบหนึ่งเหมือนกัน มันก็คือการเรียนรู้เกี่ยวกับโลกใบนี้ เกี่ยวกับสังคมของเรา แล้วก็รู้สึกว่าการมาออกภาคสนาม (field trip) มันก็มีความน่าสนใจตรงที่เขาจะได้มาสัมผัสของจริงเลย พื้นที่จริงๆ มาเจอคนที่เขาเจอปัญหาจริงๆ แล้วสิ่งพวกนี้มันจะอยู่ติดตัวเขาไปตลอด เพราะมันก็คือชุดประสบการณ์ที่เขาได้ มันจะต่างจากการนั่งจดเลคเช่อในห้องเรียนปกติแม้จะเป็นประเด็นเดียวกันก็ตาม เพราะเรียนไปสักพักเดี๋ยวก็ลืม ซึ่งการพาเขามาลงพื้นที่เพื่อสัมผัสของจริง ความรู้และความเข้าใจที่ได้รับมันจะอยู่กับเขานานกว่าเพราะเขาเห็นภาพแล้วว่ามันเป็นยังไง” ชนากานต์อธิบาย

กรกฤช สมจิตรานุกิจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจกรรมและสิทธิมนุษยชน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย หนึ่งในคณะทำงานของโครงการนี้ กล่าวเสริมว่า

“คนมักจะคิดว่า ถ้าพูดเรื่องที่อยู่อาศัย เรื่องที่ดิน คุณต้องไปอีสาน คุณต้องไปภาคใต้ ต้องไปในที่ที่มีการต่อสู้กับแหล่งทุน ไม่จริง รอบตัวกรุงเทพฯ ของเรา ถ้าเรามีแว่นของสิทธิมนุษยชน ถ้าเรามีข้อมูล ถ้าเรารู้ว่าเราจะไปตรงไหน เราจะเห็นการละเมิดสิทธิอยู่ทุกซอกทุกมุมของประเทศนี้ได้หมด”

ด้วยเหตุนี้ กรกฤชมองว่า แค่การรณรงค์อยู่ในองค์กรอย่างแอมเนสตี้ อาจไม่เพียงพออีกต่อไป จำเป็นต้องเพิ่มจำนวนนักรณรงค์ให้มากขึ้น ผ่านการถ่ายทอดความรู้จากห้องเรียนสิทธิมนุษยชน

“แอมเนสตี้เราเป็นองค์กรก็จริง แต่เราเรียกตัวเองว่าขบวนการ เป็น movement เราต้องการผู้สนับสนุน และไม่ใช่แค่โอนเงินให้เราหรือบริจาคให้เรานะ แต่คุณช่วยเราขับเคลื่อนประเด็นสิทธิมนุษยชนได้ เรื่องไหนก็ได้ เพราะฉะนั้น การที่เราจุดประกายให้เขา ก็เป็นหนึ่งในวิธีการดันสังคมให้ไปข้างหน้าเหมือนกัน ผมว่านี่คือหนึ่งในยุทธศาสตร์ของแอมเนสตี้ด้วย คือการเพิ่มพลังของผู้คน เพิ่มแรงบันดาลใจ เพิ่มศักยภาพ เพิ่มองค์ความรู้ มันก็คือเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเราต้องมีสิทธิมนุษยชนศึกษา” กรกฤชกล่าว

และสำหรับสถานการณ์การไล่รื้อชุมชน ทั้งนางเลิ้งและชุมชนอื่นๆ คนทั่วไปอาจมองว่าเป็นเรื่องยากที่จะต่อสู้กับอำนาจที่เหนือกว่า คนธรรมดาไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ กรกฤชให้ความเห็นว่า

“อย่าคิดว่าคนเดียวเปลี่ยนไม่ได้ มันมีช่วงที่ท้อได้แหละ มีช่วงที่รู้สึกว่ายังไงเขาก็โดนไล่อยู่แล้ว กฎหมายสู้อะไรไม่ได้หรอก มันก็อาจจะจริงในทางปฏิบัติ แต่ว่าอย่างน้อย การที่เราทำอะไรบางอย่างแม้เพียงเล็กน้อย ถึงมันจะไม่ได้สร้างผลกระทบมากมายอะไร สำหรับผมมันก็ดีกว่าเราไม่ทำอะไรเลย เพราะสุดท้ายแล้ว เราไปคิดถึงว่าทำแล้วจะได้อะไรไม่ได้ แต่มันคือสิ่งที่เราอยากทำไหม เราเห็นแล้วเรารู้สึกว่าเราทนไม่ได้กับสิ่งที่เขาเจอ แล้วเรารู้สึกว่าฉันจะทำต้องอะไรซักอย่าง มันคือแค่นั้น เพราะฉะนั้น อย่าไปคิดว่าคนธรรมดาทำอะไรไม่ได้ เราไม่ใช่ผู้มีอำนาจ สิ่งที่ผมเชื่อคือ แล้วคุณคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ควรทำไหม ถ้าใช่ คุณก็ทำเท่าที่คุณทำได้แหละ ต่อให้มันจะเปลี่ยนอะไรไม่ได้ก็ตาม” กรกฤชทิ้งท้าย

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแอมเนสตี้
บริจาคสนับสนุนแอมเนสตี้