นอกเหนือไปจากบทบาทของนักกิจกรรมที่ขับเคลื่อนเรื่องที่ดินทำกิน และการให้คำปรึกษาด้านกฎหมายกับพี่น้องในพื้นที่อีสาน เรารู้จักพายุ-บุญโสภณ ครั้งแรกในฐานะหุ้นส่วนร้านเครื่องดื่มที่จังหวัดขอนแก่น ราวสองปีหลังจากที่เขาถูกยิงด้วยกระสุนยางจนดวงตาข้างขวาสูญเสียการมองเห็นไปอย่างถาวร จากการสลายการชุมนุมราษฎรหยุด APEC ที่เขาและพี่น้องชาวบ้านได้เดินทางมายังกรุงเทพมหานคร เพื่อหยุดการฟอกเขียวของรัฐบาลและกลุ่มทุน
สามปีหลังจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมดังกล่าว เราพบเขาอีกครั้งในค่าย Human Rights Geek ที่อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา – นักกิจกรรมวัย 31 ปีบอกเราอย่างติดตลกว่าเขารู้สึกแก่ ที่ได้ทำงานกับเยาวชน
เพราะในปีนี้ เขาคือหนึ่งในเรื่องราวการรณรงค์ของแอมเนสตี้ ในแคมเปญรณรงค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างแคมเปญ Write for Rights หรือ เขียน เปลี่ยน โลก แคมเปญที่ตอกย้ำพลังของคนธรรมดา และพลังของตัวอักษรที่จะเปลี่ยนชีวิตของใครสักคน เราจึงได้เห็นพายุถูกรายล้อมด้วยเยาวชนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเยาวชนที่เข้าร่วมค่าย หรือแม้กระทั่งเด็กตัวจิ๋วจากอำเภอด่านขุนทด หนึ่งในพื้นที่ที่นักกิจกรรมอีสานคนนี้เคยลงพื้นที่เก็บข้อมูลมาก่อน
โปสการ์ดใบหนึ่งที่เด็กประถมคนหนึ่งเขียนถึงเขา ระบุข้อความบริสุทธิ์จากหัวใจ แม้ทุกคนจะต่างรู้ว่ามันคือคำขอที่ไม่มีวันเป็นจริง และเป็นภาพสะท้อนของความรุนแรงโดยรัฐที่เกิดขึ้นกับประชาชนคนหนึ่งที่มีเพียงสองมือและความตั้งใจที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตและการมีส่วนร่วมในการพัฒนาของพี่น้องในภูมิลำเนาของเขา – พี่น้องในภาคอีสาน
“ขอให้พี่กลับมามองเห็นไว ๆ นะคะ”

ก่อนจะถึงวันที่สูญเสียดวงตา พายุเคยเป็นเด็กคนหนึ่งที่อายุเท่ากับเจ้าของข้อความบนโปสการ์ดดังกล่าว ที่เติบโตมากับคุณตาและคุณยายในจังหวัดชัยภูมิ ผู้หลงใหลในการเล่นฟุตบอล ปั่นจักรยานสำรวจชุมชน และเป็นตัวแทนโรงเรียนในการแข่งวิชาการ
จับพลัดจับผลูไปอยู่ที่ประเทศอเมริกาสองปี ค้นพบความชอบในการซ่อมรถ กลับมาเรียนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เข้าร่วมกลุ่มกิจกรรมดาวดิน โบกรถไปเหมืองแร่เมืองเลยกับรุ่นพี่ ส่งต่อประสบการณ์ให้รุ่นน้อง ไปจนถึงทำกิจกรรมต้านรัฐประหาร จนกลายมาเป็นหนึ่งในสิบสี่นักศึกษา ที่ถูกจำคุก 14 วัน ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
ขนาดบอกเราว่า “ชีวิตตอนเด็กไม่ค่อยมีอะไรมาก”
แต่บทสนทนาในครั้งนี้กินระยะเวลากว่าสามชั่วโมง – บนเส้นทางชีวิต 31 ปี
บทที่หนึ่ง: นินจาจอมคาถา-ปลูกป่า-เชคสเปียร์
“เราโตมากับคุณตาคุณยาย ตารับราชการตำรวจ ทำให้เราเองก็โตมากับเพื่อน ๆ ที่เป็นลูกหลานตำรวจ และอยู่ในแวดวงข้าราชการ”
แม้จะบอกว่ายายเป็นคนเข้มงวด แต่เด็กชายพายุ บุญโสภณ ก็ได้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กวัยเดียวกัน เขาชอบตื่นแต่เช้ามาดูช่องเก้าการ์ตูน ดิสนีย์คลับ และการ์ตูนบนช่องไอทีวี การ์ตูนโปรดของเขาคือนารูโตะ วันพีซ และดราก้อนบอล โดยมีเมนคืออุจิวะ ซาสึเกะ นินจาฝึกหัดที่มาพร้อมกับวิชาเนตรวงแหวน
เขาในวัยเด็กชอบที่จะลุ้นว่าซาสึเกะจะมีพลังใหม่เป็นพลังแบบไหน
“ส่วนวันพีซนี่ชอบโรโรโนอา โซโร เพราะถึงมันจะไม่ได้มีพลังปีศาจ แต่มันเก่ง แล้วก็เป็นลูกรักของอาจารย์โอดะ”
นอกจากดูการ์ตูน เขายังเป็นนักสำรวจวัยประถมที่ชอบเล่นกีฬา ใช้เวลาสองชั่วโมงในการปั่นจักรยานสำรวจพื้นที่ชุมชนแถวหมู่บ้านในอำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ
“ไหนบอกว่ายายเข้มงวด” เราแหย่
พายุบอกว่า “ถ้าเราทำตามระเบียบของยาย ยายจะใจดีมาก อยากไปไหน อยากได้อะไรแกก็จะให้ แต่ถ้าผิดระเบียบล่ะก็นะ.. แกก็จะบ่นตั้งแต่เช้ายันเย็น ยันนอน บ่นจนกว่าแกจะหลับ”
เขาใช้ชีวิตตามระเบียบของที่บ้านได้ดีทีเดียว พายุได้อยู่ห้องคิงตั้งแต่ม.1 ในโรงเรียนประจำอำเภอ เข้าชมรมเหมือนเด็กมัธยมทั่วไป อีกทั้งยังไปได้ดีในสายวิชาการ และเป็นตัวแทนแข่งวิชาการของโรงเรียน
“แต่ก็มีจุดเปลี่ยน” เขาพูด “แม่เราทำงานและมีครอบครัวใหม่อยู่ที่ต่างประเทศ พอจบม.3 แม่ก็อยากให้ไปอยู่ด้วย ในตอนนั้นก็ลังเล แต่ตากับยายเองก็บอกว่าไปเถอะ เราจะได้โอกาสมีสิ่งใหม่ ๆ”
ในวัย 15 ปี นายพายุ บุญโสภณ เก็บกระเป๋าบินลัดฟ้าไปยังประเทศอเมริกา เพื่อเข้าเรียนชั้นม.4 และม.5 ในโรงเรียนใหม่ สภาพแวดล้อมใหม่ กฎระเบียบใหม่ และภาษาใหม่ ซึ่งต่อให้นักเรียนต่างชาติที่เข้าเรียนไฮสคูลในประเทศอเมริกาจะมีอาจารย์พี่เลี้ยงคอยประกบ แต่พายุก็ยังต้องเจอกับอุปสรรคทางด้านภาษา แม้ที่บ้านจะมีกฎห้ามพูดภาษาไทย เว้นเพียงแต่เป็นวันพุธก็ตาม
“พื้นฐานภาษาอังกฤษเราไม่ได้เลย ก็เลยได้รู้ว่าการเรียนภาษาอังกฤษที่ไทยมันไม่ได้เลย มันไม่ใช่เรื่องของแกรมมาร์ แต่คือเราพูดไปแล้วฝรั่งไม่เข้าใจ เราเลยต้องฝึกใหม่หมด”
เขาสอบตกวิชาภาษาอังกฤษ เพราะต้องเขียนบทความวิเคราะห์งานของเชคสเปียร์
“ที่บ้านมีกฎว่าถ้าสอบไม่ผ่าน จะโดนยึดของใช้ และของใช้แรกที่เขายึดคือคอมพิวเตอร์ ซึ่งตอนนั้นมันเหมือนเป็นทุกอย่างในชีวิตเราเลย ทั้งช่วยเรื่องเรียน ทั้งเป็นเครื่องมือที่เราจะติดต่อเพื่อนฝูง หรือฝึกภาษาอังกฤษ และถ้าอยากได้คืนก็ต้องสอบให้ผ่าน”
เขาในตอนนั้นพยายามสื่อสารกับครูพี่เลี้ยงจนเข้าใจว่าต้องปรับตัวกับภาษาอังกฤษ โดยที่โรงเรียนจะให้เกรด E ไปก่อน แต่ก็ต้องเคารพกฎของที่บ้าน แม้ตัวเองจะเต็มไปด้วยคำถาม และอยู่ในภาวะกดดันหลายอย่างก็ตาม
ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อก้าวสู่ชั้นม.5 พายุคุยกับที่บ้านว่าจะขอกลับไทย
“แล้วก็จะกลับจากอเมริกาด้วยการเก็บเงินเองด้วย” เขาว่า “แม่เราทำงานธุรกิจงานคราฟท์ พวกของแฮนด์เมดอย่างต้นไม้จิ๋วจากดินปั้นที่มีชิ้นเดียวในโลก เป็นธุรกิจที่ไปได้ดีเลย เวลาว่างเราก็ช่วยแม่ขายของ ทำให้มีเงินเก็บ จนได้ตั๋วเครื่องบินกลับมาไทย”
เมื่อย้อนมองกลับไป พายุหัวเราะน้อย ๆ แล้วบอกว่า “กลับไปคิดก็เสียดายเหมือนกันว่าทำไปทำไมวะ แต่จังหวะนั้นเราก็เป็นวัยรุ่นอะเนอะ”
เขากลับมาใช้ชีวิตปีสุดท้ายของวัยมัธยมที่โรงเรียนเดิม ได้เจอกับเพื่อนกลุ่มเดิม เพิ่มเติมคือเข้าชมรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตามเพื่อน
“ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรหรอก ไปปลูกป่า สำรวจธรรมชาติ แต่พอทำไปเรื่อย ๆ ก็ตั้งคำถามว่า เราทำแบบนี้ไปทุกวัน เราจะมีป่าจริง ๆ หรอวะ เพราะจู่ ๆ ก็เห็นว่า ปีต่อมาที่ที่เราเคยปลูกป่ากลายเป็นโครงการใหม่ ที่เอาต้นไม้ใหม่ไปปลูก ก็ตั้งคำถามนะ แต่ยังไม่ได้มีแอคชั่นอะไรมาก”
ถ้าอยู่ในหนังเรื่องหนึ่ง.. จุดเปลี่ยนสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ในตอนที่เขาก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย
บทที่สอง: ปิ้งย่างฟรี
“ที่จริงเราชอบสายช่างยนต์มาก ชอบแกะ ชอบรื้อ ชอบซ่อม ตอนไปเรียนต่างประเทศเขาก็ให้เราเลือกได้ว่าอยากเรียนอะไร ซึ่งเราในตอนนั้นตัดวิชาคณิตศาสตร์ออกไปหมดเลย กลายเป็นว่ากลับไทยเราไม่มีพื้นคณิต ทำให้เรียนต่อวิศวกรรมศาสตร์ไม่ได้ ก็เลยมานั่งทวนว่าเรียนอะไรได้บ้าง
“สุดท้ายกลายเป็นตัดสินใจสอบตรงเข้าคณะนิติศาสตร์ แล้วก็ตั้งใจว่าจะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นด้วย”
ปี 2556 เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งในฐานะนักศึกษาปีหนึ่ง ซึ่งในเวลานั้นยังมีการรับน้องในระบบโซตัส
“ตอนนั้นงงแล้ว มันมีอะไรแบบนี้ด้วยหรอ ด้วยความที่คณะมันเล็ก หนึ่งเทอมก็จะมีนักศึกษาเข้าห้องเชียร์สี่ร้อยคน ทั้งรุ่นจะเจอกันเพื่อนกันเกือบทั้งหมดแล้ว สนิทกันมาตั้งแต่กิจกรรมมหาวิทยาลัยแล้ว เราก็คุยกับเพื่อนว่าไม่เข้ากันไหม ไปเที่ยวแทนไหม” ประโยคสุดท้ายเขาหัวเราะร่า
“สตาฟสั่งให้ลงหมอบ เราก็เริ่มดื้อแล้ว พอเขาเห็นว่าไอ้นี่พาเพื่อนเข้ากระบวนการดื้อไปด้วย เขาก็พูดไซโคก่อนกิจกรรมเริ่ม”
‘เรากำลังจะเริ่มกิจกรรมรวมกัน แต่จะมีคนหนึ่งไม่ร่วมกับเพื่อน’
“เข้าทางเราเลย” พายุว่า “เราลุกเลย แล้วก็บอกว่า ผมไม่ทำครับ เขาก็ยืนข้างหน้า”
‘เพื่อนไม่ยอมทำ ทุกคนอนุญาตไหม’
‘อนุญาตครับ อนุญาตค่ะ!’
เกมพลิก – เพื่อนทุกคนอนุญาต
“ผมก็บอกว่า ไปก่อนนะคร้าบ”
และนั่นคือเรื่องราวก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นนักกิจกรรมกลุ่มดาวดิน
“ช่วงนั้นมีเพื่อนไปเจอบ้านดาวดิน ก็เลยจำชื่อได้ว่ามันมีอะไรสักอย่างที่ชื่อว่าดาว ๆ ที่เพื่อนบอกว่ามีรุ่นพี่คณะนิติอยู่เต็มเลย และเขาชอบปาร์ตี้ปิ้งย่างกัน แต่ตอนนั้นเรากำลังอินกับการเก็บโลเคชั่นหลังมอ”
ขอให้เราทุกคนจินตนาการภาพร่วมกัน – ท่ามกลางความมืดและแสงไฟ พายุที่เป็นเฟรชชี่มหาวิทยาลัยบังเอิญเจอรุ่นพี่คนหนึ่งในร้านอาหาร
มีการเมนชั่นเรื่องบ้านดาวอีกแล้ว
“แล้วพี่เขาก็พูดถึงเรื่องบ้านดาว – จากนั้นเราก็มาคุยกับเพื่อน เพื่อนก็บอกว่าเคยไปที่นั่นมาก่อน มีพี่ที่ชัยภูมิเหมือนกัน มีอาหารและเครื่องดื่มฟรี ก็เลยบอกเพื่อนว่าพาไปหน่อย”
เมื่อก้าวเท้าสู่บ้านดาว เขาก็พบว่าเป็นวงคุยที่สุดจะแปลก
“ที่นี่คุยเรื่องมีสาระ” พายุพูด “ตอนล้อมวงคุยกันไปสักพัก ก็มีประเด็นอะไรสักอย่างเข้ามา จำไม่ได้ว่าเป็นไผ่ (จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา) หรือใคร เขาก็พูดเรื่องของเขาไป ด้วยความที่เราสงสัย เราก็เลยถือแก้วไปฟังเขาวิเคราะห์สถานการณ์การเมือง
“แล้วเขาก็พูดถึงเรื่องสังคมนิยม ทุนนิยม ในตอนนั้นมันเป็นศัพท์ใหม่ที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อน”
เฟรชชี่ที่ชื่อว่าพายุอยากร่วมวงคุยกับเหล่ารุ่นพี่ แต่ด้วยความที่ตอนนั้นยังไม่เข้าใจคำศัพท์ต่าง ๆ ตกดึกคืนนั้นเขาจึงรีบกลับไปหยิบโน้ตบุ๊กขึ้นเสิร์ชหา
เรียกได้ว่าเขาตั้งใจรีเสิร์ช
“พรุ่งนี้เจอแน่ อยากแลกเปลี่ยนด้วย”
ใช้เวลาหนึ่งคืน คราวนี้เฟรชชี่คนนั้นรู้แล้วว่าคำว่าทุนนิยม กับสังคมนิยมแปลว่าอะไร
“พี่เขาคุยกันเหมือนเดิม แต่รอบนี้เป็นเรื่องพื้นที่ เราก็บอกเขาว่า พี่ ผมไปดูมาแล้วนะว่าสังคมนิยมคืออะไร คุยกันไปสักพักพี่เขาก็ถาม”
‘พรุ่งนี้ว่างไหมล่ะ’
‘ว่างครับพี่’
‘เดี๋ยวพี่พาไปลงพื้นที่’
‘ไปยังไงวะพี่’
แม้พายุจะไม่ได้เล่า – แต่เราคิดว่าน้ำเสียงของเขาทำให้เราเห็นรอยยิ้มจาง ๆ บนมุมปากของคู่สนทนา
‘โบกรถไป’
บทที่สาม: มหา’ลัยเหมืองแร่ (เมืองเลย)
“เขาพาโบกรถไปเหมืองแร่เมืองเลย”
โครงการเหมืองแร่ทองคำจังหวัดเลยเริ่มขึ้นในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2530 เมื่อบริษัทบริษัท ทุ่งคำ จำกัด ภายใต้ บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ โดยการได้รับสิทธิสำรวจแร่และทำเหมืองแร่ทองคำ แปลงที่ 4 พื้นที่ ครอบคลุมเนื้อที่กว่า 340,000 ไร่ ใน 4 อำเภอในจังหวัดเลย คือ อำเภอเมือง ภูเรือ ท่าลี่ และวังสะพุง
โครงการดังกล่าวมีกำลังการผลิตประมาณ 1,200-1,500 ตันต่อวัน ใช้วิธีการทำเหมืองแบบหาบ คือการเปิดหน้าดินแบบขั้นบันได โดยการขุดเจาะหรือระเบิดเพื่อเอาสินแร่ และมีการเติมสารไซยาไนด์เพื่อละลายทองคำ
“มันเปิดโลกเรามาก เพราะเราเพิ่งเคยเห็นข่าวว่าชาวบ้านได้รับผลกระทบ โดยเป็นปัญหาจากการพัฒนาของรัฐ”
ภาพในฝันของเขา คือการได้เห็นทุกอย่างเกื้อกูลกัน มีคน มีต้นไม้ มีสัตว์ป่า
แต่ในความเป็นจริง เมื่อได้พูดคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ และรับฟังว่าเกิดอะไรขึ้น เขากลับเห็นแอ่งน้ำกว้างใหญ่ที่เกิดจากการระเบิดภูเขา ภายใต้ผืนน้ำนั้นมีไซยาไนด์และสารหนู ที่ไม่สามารถละลายไปกับดินและน้ำได้ ต้องใช้เวลาหลายปีในการเฝ้ารอมันระเหยไปกับอากาศ
‘ปลูกหญ้าแฝกได้ไหมครับ’ เขาในวัยสิบแปดปีถามชาวบ้าน
‘ปลูกไปก็ตาย’ นั่นคือคำตอบ
“มันทำให้เรารู้สึกว่า ไอ้ความรู้ที่เคยคิดว่าเราเคยมีเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม มันทำไม่ได้เลย”
นั่นไม่ใช่เซอร์ไพรส์เดียวที่เขาได้รับรู้ในวันที่ลงพื้นที่ครั้งแรก – ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินว่าเมืองเลยมีภูอยู่ลูกหนึ่ง ชื่อว่าภูทับฟ้า และเป็นภูเขาที่สูงที่สุดของพื้นที่บางสะพุง
“ที่ชื่อว่าภูทับฟ้า เพราะมันสูงจนบังท้องฟ้า เราก็ถามชาวบ้านด้วยความอยากเห็นว่ามันคือตรงไหน”
‘ตรงนั้น’
…มันคือบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยไซยาไนด์ บ่อนั้นที่เขาได้เห็น
“เขาระเบิดภูเขาจนเหลือแค่บ่อ แต่เราคิดว่าเรายังเห็นภูเขาอยู่สองลูก – สรุปว่าภูเขาที่เราเห็นน่ะ มันไม่ใช่ภูเขา แต่มันคือกองหินที่เขาระเบิดภูทับฟ้า จนเหลือแต่เศษก้อนหินที่ไม่มีค่า กองพะเนินจนสูงเป็นภูเขา”
เย็นวันนั้นรุ่นพี่ถามเขาว่า ‘ที่เรียนกฎหมายเนี่ย เคยคิดไหมว่าจะเอากฎหมายไปช่วยชาวบ้านยังไงบ้าง’
พายุอาจไม่ได้ตอบคำถามนั้นไปในทันที แต่หลังกลับจากพื้นที่ เขาก็ได้นำคำถามนั้นกลับมา
ทบทวนไปด้วย และเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราจะสามารถทำอะไรเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงได้บ้าง
“เราเข้าไปบ้านดาวบ่อยขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยน สุดท้ายก็กลายเป็นส่วนหนึ่งกับดาวดิน โดยมีภารกิจแรกคือเป็นประธานค่าย พาน้องไปผ่านกระบวนการลงพื้นที่ เป็นลูปแบบนี้ตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปีห้า”
จากเมืองเลย สู่เวลาห้าปีในรั้วมหาวิทยาลัย พายุได้ลงพื้นที่หลาย ๆ พื้นที่ในภาคอีสาน เขาแบ่งทีมกับเพื่อนว่าใครจะดูประเด็นไหน พบเจอผู้คนในภาคประชาสังคมมากขึ้น และเป็นเด็กฝึกเพื่อเรียนรู้ประเด็นปัญหา
“แล้วเราก็มารู้ว่าบ้านของเราเองในจังหวัดชัยภูมิ ก็มีปัญหาเรื่องที่ดินเหมือนกัน แล้วมันก็เป็นพื้นที่ที่เราเคยไปปลูกป่าด้วย”
จากวันนั้นที่ไปบ้านดาวดินเพื่อกินปิ้งย่างฟรี และถูกชักชวนให้โบกรถไปเมืองเลย เมื่อก้าวสู่มหาวิทยาลัยปีที่สองในปีพ.ศ. 2557 พายุได้กลายเป็นคนคนนั้นที่หมดเงินไปกับการเลี้ยงน้องและพาลงพื้นที่
“สเต็ปเดิม เราชวนรุ่นน้องปีหนึ่งโบกรถไปพื้นที่ และน้องคนนั้นยังอยู่ในวงการภาคประชาสังคมจนถึงทุกวันนี้”
บทที่สี่: รัฐประหาร และลูกชั่ว
ช่วงเย็นของวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 โทรทัศน์ทั่วประเทศฉายภาพทหารห้าคนสวมใส่ชุดเต็มยศ ตรงหน้าของชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงกลาง มีแผ่นกระดาษกางอยู่บนโต๊ะ
“ประกาศจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2557 เรื่อง การควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ”
เจ้าของเสียงนั้นชื่อว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้นำคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือคสช.
และนั่นคือการประกาศยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการของ นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ภายใต้รัฐบาลที่นำโดยนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
“ก่อนรัฐประหารเราลงพื้นที่มาตลอดเพื่อช่วยชาวบ้านเคลื่อนไหวและชุมนุมประท้วง เมื่อคณะรัฐประหารเข้ามา ตัวผู้เล่นก็เปลี่ยน กลายไปเป็นทหารเกือบทั้งหมด ตอนนั้นเรารู้แล้วว่าประเด็นพื้นที่กับโครงสร้างเป็นเรื่องเดียวกัน”
ก่อนถึงวัยสิบเก้าปี เขาตกตะกอนได้ว่า “ถ้าเราแก้โครงสร้างไม่ได้ ชาวบ้านก็จะยังได้รับผลกระทบอยู่ดี”
หลังรัฐประหาร.. เขาเข้าพื้นที่ไม่ได้อีกแล้ว เนื่องจากกฎหมายพิเศษที่ชื่อว่า ม.44
“กฎหมายฉบับนี้ทำให้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับทหาร พอเราอ้างสิทธิต่าง ๆ ทหารก็ไม่ฟัง และจะอ้างว่ามีม.44 อยู่ในมือ ทำให้สถานการณ์ยิ่งตึงเครียด”
แม้ในตอนนั้นศาลปกครองจะคุ้มครองชาวบ้านในพื้นที่เหมืองแร่เมืองเลย แต่ในวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 มีกลุ่มชายชุดดำราว 50 คน เข้ามาทำร้ายนายสุรพันธุ์ หรือ “พ่อไม้” แกนนำชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด ซึ่งเคลื่อนไหวคัดค้านการทำเหมืองแร่ทองคำในพื้นที่จังหวัดเลย
“พ่อไม้ที่เป็นแกนนำโดนจับตัวไป ชาวบ้านพยายามติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่กลับไม่มีใครลงพื้นที่ในตอนนั้น และตำรวจเข้ามาตอนที่ทุกอย่างเคลียร์แล้ว”
แม้เหตุการณ์จะผ่านมานานกว่า 10 ปี แต่พายุได้พาเราย้อนกลับไปในวันนั้นผ่านน้ำเสียงและถ้อยคำของเขา
“พี่น้องในพื้นที่บอกว่าเราไม่ต้องมา ถ้าเรามาจะไล่กลับ เพราะไม่อย่างนั้นเราเองจะไม่ปลอดภัยด้วย – เขามีมือปืนอยู่ในพื้นที่ ถ้าพี่น้องทำอะไรขึ้นมา มือปืนเองจะจัดการแกนนำด้วย
“เรารู้สึกแย่มาก ก็เลยขับเคลื่อนการเมืองคู่กับเรื่องพี่น้องชาวบ้านตั้งแต่ตอนนั้น”
เขากลายมาเป็นส่วนหนึ่งกับขบวนการนักศึกษา ที่เชื่อมต่อระหว่างกลุ่มดาวดินกับนักศึกษาในกรุงเทพมหานคร
“เราให้ทีมกรุงเทพฯ พูดเรื่องการเมืองไปเลย ส่วนทีมดาวดินจะพูดเรื่องพื้นที่หมดเลย เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่เราทำได้”
ถ้าถามว่าเขารู้สึกแย่ขนาดไหน – พายุและเพื่อน ๆ รู้สึกแย่ถึงขนาดแต่งเพลงขึ้นมาได้หนึ่งเพลง
“มันชื่อเพลงลูกชั่ว เป็นลูกชั่วที่ไม่สามารถช่วยพ่อ ๆ แม่ ๆ ได้เลย”
‘โอ้ฟ้า ดินน้ำ ภูผา ยินดีที่เจ้ากลับมาหาปวงประชาเสมอ
ไม่ว่าฟ้าหรือเผด็จการ จะขวางสายใยผูกพัน ไม่อาจขวาง ณ สิ่งนั้น
ด้วยหัวใจของเราผูกกัน ไม่ว่าปืนหรือกรงขัง
อำนาจเงินนายทุนกลุ่มนั้น ไม่อาจฝืนหัวใจฉัน และคืนวันเราสู้ร่วมกัน นิรันดร์’
– ลูกชั่ว, สามัญชน –
“เราจัดกิจกรรมเดินไปหาพี่น้องในแต่ละพื้นที่ เป็นกิจกรรมเดินโดยสงบ เดินไปหาชาวบ้าน ไปเจอชาวบ้าน และนอนพักที่วัด แต่ทหารก็พยายามไม่ให้นอน ไปไล่กดดันแกนนำในพื้นที่ และบอกว่าเราเป็นกลุ่มหัวรุนแรง
“ในตอนนั้นเราคิดว่าเราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว”
หนึ่งปีหลังรัฐประหาร เขาและกลุ่มเพื่อนทำกิจกรรมชูป้าย และชูสามนิ้วต่อหน้าประยุทธ์ จันทร์โอชา
“จากนั้นเราโดนจับ กลายเป็น 14 นักศึกษา – 7 คนมาจากขอนแก่น อีก 7 คนมาจากกรุงเทพ”
ถ้อยคำหนึ่งในแถลงการณ์ระบุว่า นักศึกษา 16 คนถูกดำเนินคดีเนื่องจากชุมนุมประท้วงอย่างสงบ และอาจได้รับโทษจำคุกจากการพิจารณาคดีในศาลทหาร นักศึกษา 14 คนถูกควบคุมตัวในเรือนจำ และถูกตั้งข้อหาปลุกปั่นให้ขัดขืนอำนาจปกครอง ซึ่งมีโทษจำคุกเจ็ดปี
หนึ่งในนั้นคือนักศึกษาที่ชื่อว่าพายุ บุญโสภณ ที่ถูกเจ้านอกเครื่องแบบบุกจับกุมในช่วงห้าโมงเย็นของวันที่ 26 มิถุนายน 2558 หลังทำกิจกรรมในโอกาสครบรอบหนึ่งปีรัฐประหาร ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2558
บทที่ห้า: ปรับทัศนคติในค่ายทหาร และ 14 วันในเรือนจำ

“ตอนที่เขาจับเรา เราทำกิจกรรมกันอยู่ที่สวนเงินมีมา เห็นรถรออยู่ข้างนอกสองคัน กับเจ้าหน้าที่เกินสิบสี่คน เขาเตรียมจับเราแบบหนึ่งต่อหนึ่งกันเลย
“จำได้ว่าตีปิงปองกันอยู่ แต่ก็รู้อยู่แล้วแหละว่าโดนแน่ เราก็ใช้ชีวิตปกติไป ยืนยันว่าเราจะอารยะขัดขืนด้วยสันติวิธี ก็ตีปิงปองไปเรื่อย ๆ ปล่อยให้เขาอุ้มไป และเข้าเรือนจำในคืนนั้นเลย
“เขาจับเราถอดเสื้อผ้า จับตรวจร่างกาย ในตอนนั้น พี่ไผ่ก็โวยวายว่ามีการบันทึกวิดิโอ ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน”
พ้นสามวันแรกในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พวกเขาถูกแบ่งไปจำคุกในแต่ละแดน พายุและเพื่อนอีกสองคนถูกพาตัวไปแดนสอง
“แดน 2 มีหมอลำแบงค์ (ปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม) ซึ่งโดนคดี 112 ในช่วงเจ้าสาวหมาป่า ส่วนแดน 4 มีไผ่ โรม (รังสิมันต์ โรม) แซม ส่วนแดน 5 เป็นพี่ดาวดิน ”
เขากล่าวว่าในช่วงแรก หมอลำแบงค์คือคนที่ช่วยพายุในการทำความรู้จักกับผู้ต้องขัง และพาไปทักทายเพื่อน ๆ ในแดนนั้น
“หนึ่งในผู้ต้องขังกล่าวว่า พวกเขารู้อยู่ว่าจะมีพวกเราเข้ามา เขาก็บอกว่าไม่ต้องห่วงนะ มีคำสั่งจากหัวหน้าเรือนจำว่าให้ดูแลอย่างดี”
เขาไม่ได้เจอการคุกคามมากนัก และใช้ชีวิต 14 วัน วนเวียนไประหว่างการตื่นเช้า อ่านหนังสือ เข้านอนตอนหกโมงเย็น เพราะเขาเป็นคนปรับตัวไว และไม่มีปัญหาเรื่องการนอน
“ในตอนนั้นที่บ้านว่ายังไงบ้าง” เราถามพายุ
“ที่จริงเราโดนเรียกไปปรับทัศนคติ ก็จะมีเอกสารให้เซ็นว่าจะไม่เคลื่อนไหวเรื่องการเมือง และตอนนั้นเป็นเยาวชนอยู่ เขาก็ต้องให้ผู้ปกครองรับรอง ตอนนั้นก็เป็นจุดวัดใจ”
คนในครอบครัวที่ต้องก้าวเท้าเข้าค่ายทหารมทบ. 23 จังหวัดขอนแก่น ที่เขาถูกควบคุมตัวเพื่อปรับทัศนคติ คือตากับยาย
“ตอนนั้นเรายอมเซ็น เพราะถ้าเราไม่เซ็น ที่บ้านก็จะไม่ยอมกลับ เพราะทหารเองก็พูดกับผู้ปกครองว่าถ้าไม่เซ็น เราจะรับราชการไม่ได้นะ
“พอกลับบ้านมาก็เตรียมคำพูดเลย เราใช้เหตุผลกับที่บ้าน คุยกันจนเข้าใจ คุยจนชัดเจนทั้งหมด เพราะเราไล่มาตั้งแต่สมัยที่เราเป็นนักเรียนชมรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มาจนถึงวันที่เรารู้แล้วว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นเรื่องของการเมือง เราเล่าให้เขาฟังว่าเราเรียนกฎหมายเพื่ออะไร และทำไมพอเจอเหตุการณ์รัฐประหาร เราถึงอยากจะทำอะไรสักอย่าง”
พายุได้ยกตัวอย่างปัญหาที่เขาเคยเจอในพื้นที่ชุมชน ซึ่งเกิดจากนโยบายที่ชาวบ้านในพื้นที่ไม่มีส่วนร่วมให้ตากับยายได้ฟัง
“มันไม่ใช่ว่าเราชอบความรุนแรงหรือถูกชักนำ แต่พอมันเป็นเรื่องโครงสร้าง เราก็บอกว่าพื้นที่บ้านเราอยู่ก็มีโอกาสโดนเหมือนกัน คุยกันอยู่นานจนไปถึงจุดว่าทำไมเราถึงคัดค้านรัฐประหาร สุดท้ายเขาก็ไม่ขออะไรมาก ขอเพียงอย่างเดียวคือขอให้เรียนจบ”
“แล้วแม่ว่ายังไง” เราถามต่อ
เขาตอบสั้นพร้อมรอยยิ้ม “แม่ชิลเลยตอนเราบอกว่าโดนทหารเรียกไปปรับทัศนคตินะ แต่เราจะทำต่อ”
บทที่หก: เรื่องราวหลังจากนั้น
พายุเรียนจบคณะนิติศาสตร์อย่างที่เขาเคยสัญญาไว้กับที่บ้าน และยังมุ่งทำงานกับชุมชนตามคำที่เขาเคยพูดไว้กับแม่
เกือบสิบปีต่อมาหลังจากวันนั้น วันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 เขาได้เข้าร่วมการชุมนุมประท้วงโดยสงบ ร่วมกับกลุ่มราษฎรหยุด APEC 2022 ซึ่งประกอบด้วย ชาวบ้านจากเครือข่ายภาคประชาสังคม นักศึกษา และประชาชนจำนวนมาก ที่รวมตัวชุมนุมประท้วงโดยสงบเพื่อสะท้อนข้อกังวลต่อผลกระทบจากนโยบาย BCG (Bio-Circular-Green Economy) และเรียกร้องให้รัฐบาลรับฟังเสียงของประชาชน
แม้ประชาชนจะมีเพียงสองมือ และยืนยันว่าไม่มีจุดประสงค์ที่จะใช้ความรุนแรง แต่เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนกลับปิดกั้นเส้นทางและใช้กำลังสลายการชุมนุมโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า มีการผลักดัน ทำร้ายร่างกาย และยิงกระสุนยางใส่ฝูงชนอย่างไม่ได้สัดส่วน
หนึ่งในกระสุนยางถูกยิงเข้าดวงตาขวาของพายุ บุญโสภณในระยะประชิด
เขาสูญเสียการมองเห็นที่ดวงตาข้างขวาอย่างถาวร
“พอที่บ้านรู้ข่าวก็ตกใจ เขาก็กลัวว่าเราจะไม่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้แล้ว แต่พอออกจากโรงพยาบาลก็โทรอธิบาย บอกตากับยายว่าเดี๋ยวไปหานะ เราโอเค เราไม่เป็นไร แต่ตากับยายก็ยังคิดมากอยู่ดี”
หลังพักฟื้นได้ประมาณเดือนหนึ่ง เขาขับรถกลับไปยังบ้านเกิดที่จังหวัดชัยภูมิ
คำพูดแรกที่เขาพูดกับตาและยาย คือคำว่า “หิวข้าว”
“ตอนนั้นตากับยายก็ดีใจ คลายกังวลได้ไปในระดับหนึ่ง”
หลังการสลายการชุมนุมในวันนั้น พายุถูกดำเนินคดีอาญา และถูกตั้งข้อหาร่วมกับเพื่อนนักกิจกรรมอีก 25 คน ก่อนที่ศาลจะตัดสินให้เขาเป็นผู้กระทำผิดและต้องจ่ายค่าปรับ
ขณะเดียวกัน เขายื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ตำรวจในศาลปกครอง แต่คดีดังกล่าวกลับไม่มีความคืบหน้า
“เราอยากให้มันเป็นบรรทัดฐาน คดีเรามันชัดมาก ทั้งเรื่องของการใช้ความรุนแรง อาวุธ สลายการชุมนุมโดยไม่มีคำสั่งศาล เกิดเหตุบาดเจ็บ เราเป็นเคสที่โดนยิง ก็เลยรู้สึกว่า เราจำเป็นต้องฟ้องเจ้าหน้าที่ จะปล่อยให้มีการลอยนวลพ้นผิดไม่ได้
“ถ้าเราชนะ มันจะเป็นบรรทัดฐานของเจ้าหน้าที่ว่ารอบหน้าว่าเขาจะทำอย่างนี้อีกไม่ได้ พี่ ๆ ทนายเองก็บอกว่ามันไม่มีทางไหนที่เจ้าหน้าที่จะแก้ต่างได้เลย นอกจากเขาจะยื้อ
“และเขายื้อจริง” พายุกล่าว “ตลอดสามปีที่ผ่านมา ยังไม่ได้สืบพยานเลย เรายื่นที่ศาลแล้ว ศาลรับเรื่องแล้ว ความจริงพอรับเขาต้องนัดสืบพยานนัดแรก แต่ตอนนี้ซึ่งยังไม่มีการสืบพยานด้วยซ้ำ
“แล้วเราฟ้องศาลปกครองด้วย เพราะเป็นกรณีรัฐกับประชาชน เพื่อให้ศาลชี้ว่ารัฐผิดจริง เพื่อให้ประกอบคำฟ้องในศาลแพ่ง และศาลอาญาต่อไป”
ปี 2568 พายุได้กลายเป็นหนึ่งในเรื่องราวรณรงค์ของแคมเปญ Write for Rights เขียน เปลี่ยน โลกในส่วนของประเทศไทย ซึ่งเป็นแคมเปญรณรงค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
Write for Rights เป็นแคมเปญที่ดำเนินงานมากว่า 20 ปี โดยมีจุดเริ่มต้นคือปลายปากกาของนักกิจกรรมจากเมืองเล็ก ๆ ในประเทศโปแลนด์ และกลายมาเป็นแคมเปญที่ผู้คนทั่วโลกจะลงมือเขียนข้อความเพื่อส่งเสียงของพวกเขาไปถึงผู้ถูกละเมิดสิทธิ และส่งข้อเรียกร้องไปยังรัฐบาลประเทศต่าง ๆ
เป็นแคมเปญที่ทลายพรมแดนทางภาษา
และเป็นแคมเปญที่ชวนผู้คนทั่วโลกกลับมามองถึงพลังจากปลายปากกาตัวเองกันอีกครั้ง
ในโปสเตอร์รณรงค์ที่มีเรื่องราวของเขา พายุได้เขียนข้อความว่า
‘เป้าหมายของการทำงานในทุกวันนี้ เพื่อที่จะได้เห็นประชาชนในอีสาน สามารถกำหนดชะตาชีวิต และอนาคตของตนเองได้’
บทที่เจ็ด: อีสาน และความหวัง
สำหรับพายุ เขามองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในพื้นที่อีสานออกเป็นสองมุมมอง
“มุมมองแรกคือมุมที่เราอยู่กับประเด็นปัญหา ซึ่งมันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอยู่แล้ว เราเห็นพี่น้องในขบวนการต่อสู้ล้มหายตายจาก จนต้องแยกกัน แต่ส่วนใหญ่ก็ยังมีกลุ่มที่สู้กันมา 30-40 ปี ที่พวกเขายังสู้อยู่
“แต่ในมุมมองที่สอง มันก็มีสิ่งที่เปลี่ยนไปในเรื่องของเศรษฐกิจและสังคม ด้วยความที่เราแทบไม่ได้กลับบ้าน พอเรากลับบ้านแต่ละครั้งก็จะมองเห็นความเปลี่ยนแปลง เห็นคนดิ้นรนต่อสู้มากขึ้น จากที่เป็นบ้านคนปกติ ก็มีธุรกิจร้านขายของชำมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการที่เขาต้องทำอาชีพเสริมนอกจากการเกษตร มันสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้ดิ้นรน เพราะเศรษฐกิจไม่ดี และเมืองเติบโตน้อยกว่าเดิม”
เขากล่าวว่า แม้วิถีชีวิตของคนในพื้นที่จะเปลี่ยนไป แต่ความเจริญกลับไม่เพิ่มขึ้น โดยกลุ่มคนที่มีกำลังทรัพย์เริ่มมองหาที่ใหม่ที่ไม่ใช่เมือง ทำให้ชุมชนเติบโตจากการพัฒนาของเอกชนในพื้นที่ที่มีการทำอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
“แต่รัฐไม่มีการสนับสนุนพื้นที่ที่ไม่มีการท่องเที่ยว พวกเขายังคงอยู่ในลูปเดิม ที่ต้องทำการเกษตรต่อไป แต่พืชผลทางการเกษตรก็ไม่ได้มีปริมาณมากขนาดนั้น
“ที่ปัญหามันวนเวียนซ้ำ ๆ และไม่ได้รับการแก้ไข เพราะชาวบ้านไม่สามารถกำหนดชีวิตตัวเองได้
เวลามีการพัฒนา ก็จะโดนคำว่า เป็นพวกขัดขวางความเจริญ คนเมืองก็จะตั้งคำถามว่าทำไมต้องคัดค้านการพัฒนา แต่ในความเป็นจริงคือพวกเขาไม่ได้คัดค้านการพัฒนานะ แต่เขาต้องการพัฒนาที่ทำให้ชาวบ้านมีชีวิตที่ดีขึ้นจริง ๆ ไม่ใช่ต้องการการพัฒนาที่ใครไม่รู้เป็นคนกำหนด
“เราก็เลยสรุปว่า ชาวบ้านจะไม่สามารถกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองได้ เมื่อมีการกระจุกอำนาจที่รัฐส่วนกลาง
“บางเวทีรับฟังเสียงชาวบ้านก็อยู่ในรูปแบบการทำการกุศล ให้พวกเขาร่วมทำบุญ จะแจกข้าวสาร น้ำตาล ถุงผ้า เพื่อทำ EIA ที่ต้องให้รับฟังเสียงของชาวบ้านในพื้นที่รัศมี 5 กิโลเมตร แต่ในทางปฏิบัติ เขากลับจ้างคนจากจังหวัดอื่นมานั่งฟัง เพื่อเป็นพิธีกรรม แต่ชาวบ้านในพื้นที่จริง ๆ กลับโดนไม่ให้เข้า”
“แล้วตอนนี้เหมืองแร่เมืองเลยเป็นยังไงบ้าง” เราย้อนถามเขาถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในพื้นที่แรกที่ทำให้เขารู้จักการลงพื้นที่
“ก็ดีกว่าตอนช่วงแรกเยอะ เหมืองโดนยุติการดำเนินการไปเลย ต้องชดเชยมูลค่าความเสียหายให้ชาวบ้าน เพราะชาวบ้านฟ้องชนะ ชัยชนะครั้งนี้เกิดขึ้นได้จากความร่วมแรงร่วมใจกันของทุกภาคส่วน ทั้งพี่น้องชาวบ้าน ภาคประชาสังคม นักศึกษา องค์กรอื่น ๆ ที่ทำเรื่องสิทธิมนุษยชน”
“ตอนนั้นเราคิดไหมว่าพี่น้องจะชนะ?”
“เราแค่ตั้งความหวังไว้ แต่ไม่เห็นสิ่งที่เป็นรูปธรรม ในตอนนั้นเราหวังไว้แค่ในบทสนทนาที่คุยกันกับเพื่อนว่า ถ้าสังคมนี้เท่าเทียม ไม่มีการกดขี่ ไม่มีการละเมิดสิทธิ พวกเราทำอะไรกันต่อวะ
“ในตอนนั้นก็ตอบกันว่าคงไปทำตามความฝันของตัวเอง แต่ก็ไม่เคยคิดว่าภาพชาวบ้านต่อสู้จนได้รับชัยชนะจะมาถึง เพราะมันยาก มันยากมาก
“พี่น้องในพื้นที่บ่อแก้วใช้เวลากว่า 40 ปี กว่าจะได้ชัยชนะมา”
พายุเคยเล่าเรื่องของบ่อแก้วไว้ในวงสนทนากับแอมเนสตี้ ซึ่งเกิดขึ้นในอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ในปี 2566 ว่า ในปีพ.ศ. 2516 รัฐได้ประกาศให้พื้นที่ป่าในชุมชนบ่อแก้วกลายเป็นเขตพื้นที่ ‘ป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม’ ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นแหล่งทรัพยากรและเป็นบ้านของชาวบ่อแก้วตั้งแต่บรรพบุรุษ
ทว่า ต่อมาในปีพ.ศ. 2521 องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) ได้เข้ามาในพื้นที่เพื่อขอสัมปทานป่าไม้ โดยการอ้างว่าจะเข้ามาเพื่ออนุรักษ์ป่าไม้ แต่ไม้ที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ปลูกเป็นไม้พืชเศรษฐกิจ คือ ปลูกเพื่อตัดขายแล้วนำเงินให้กับรัฐ หลังจากนั้นจึงเกิดโครงการหมู่บ้านป่าไม้ขึ้น ทำให้พี่น้องในพื้นที่จำนวนมากว่า 300 ราย โดนขับไล่ออกจากพื้นที่ บางรายต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน
“เขาปลูกป่ายูคาลิปตัส 1,400 ไร่ และชาวบ้านก็ต่อสู้มาเรื่อย ๆ จนได้รับชัยชนะหลังผ่านมา 40 ปี
“แต่ในเวลานั้นที่เราคุยกับเพื่อนถึงเรื่องความหวัง พี่น้องในเหมืองแร่เมืองเลยใช้เวลา 5 ปีเอง ตอนนั้นยังคุยกันอยู่เลยว่าเราจะอยู่กันถึง 5 ปีไหม แต่สุดท้ายพี่น้องก็ได้รับชัยชนะ ในเวลา 11 ปี”
อย่างที่กล่าวไปในข้างต้น – เรารู้จักพายุครั้งแรกในฐานะหุ้นส่วนร้านเครื่องดื่ม
เราจึงชวนเขาคุยต่อในช่วงท้ายของค่ำคืน ด้วยบทสนทนาถึงรสชาติ ที่สะท้อนชีวิตและภูมิปัญญาของพี่น้องในพื้นที่อีสาน
“เล่าเรื่องสาโทให้ฟังหน่อยสิ”
เขายิ้มกว้าง “เราไปชิมสาโทมาเยอะ ในพื้นที่ที่เป็นปัญหา แต่คิดว่าที่อร่อยที่สุดคือบ่อแก้ว และต้องเป็นสาโทที่กินในช่วงหน้าหนาวอย่างเดือนธันวาคม แล้วก็ผัดหมี่บ่อแก้ว บอกเลยว่าอย่างเด็ด”
พายุเล่าถึงความผูกพันระหว่างพี่น้องชาวบ้านกับเครื่องดื่มอย่างสาโทว่า แต่ละบ้านจะมีสูตรสาโทเป็นของตัวเอง โดยใช้สมุนไพรต่าง ๆ มาผสมและหมักกับแป้ง
“จากนั้นก็เอาไปตำกับแป้ง ตากแห้ง แล้วก็ใช้ข้าวเหนียวที่หุงไม่สุกมากมาคลุกกับแป้งที่ผสมกับสมุนไพร เอามาตาก มาหมักประมาณอาทิตย์หนึ่งแล้วผ่าน้ำลงไปตามสูตรของแต่ละบ้าน ไม่ว่าจะเป็น น้ำเปล่า น้ำมะพร้าว น้ำตาลสด โออิชิ หรือสไปรท์ แล้วแต่เทสต์ของรส”
บทที่ศูนย์: ถ้าเราในวันนั้น พบกับเราในวันนี้
“เราว่าถ้าเด็กปีหนึ่งคนนั้นมาเจอกับเราในวันนี้ เด็กคนนั้นก็คงถามไปเรื่อยแหละ – เด็กคนนั้นอาจจะคิดในใจว่าไม่อยากโตมาเป็นแบบลุงคนนั้น ลุงคนนี้เลยว่ะ แต่ตอนนี้ก็คงเข้าใจแล้วว่าถ้าเดินบนเส้นทางนี้ต่อจะต้องเจออะไรบ้าง และมันจะยังมีประสบการณ์ที่เราส่งต่อให้คนรุ่นต่อไปได้”
กลับกัน – พายุคิดว่าถ้าตัวเองในวัย 31 ปี ได้คุยกับตัวเขาในวัย 18 ปี พายุอยากบอกเด็กคนนั้นว่าเรามาถูกทางแล้ว
“ถ้าวันนั้นไม่ได้โบกรถมาลงพื้นที่ ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับตอนนี้ เราอาจรับราชการ อาจเป็นเจ้าหน้าที่ที่กดขี่ชาวบ้านก็ได้ ดังนั้น เราว่าเรามาถูกทางแล้ว
“และเราจะบอกเด็กคนนั้นว่าให้ทำทุกอย่างให้เต็มที่ ไม่ว่าจะยังไง มันต้องมีจุดหนึ่งที่เราผ่านทุกอย่างไปได้อยู่แล้ว”
ปลายปากกาของคุณเปลี่ยนโลกได้
ร่วมลงชื่อในแคมเปญ #WriteForRights ส่งข้อเรียกร้องถึงทางการไทย ให้ยุติการลอยนวลพ้นผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ และดำเนินการสอบสวนอย่างเป็นธรรมต่อผู้ที่ใช้ความรุนแรงกับพายุ พร้อมทั้งชดเชยเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสม
🚨 ร่วมแสดงพลังของคนธรรมดาได้ด้วยการลงชื่อสนับสนุน


