ในห้วงเวลาแห่งวันชนเผ่าพื้นเมืองโลก 9 สิงหาคม 2568 ในปีนี้ เสียงแสดงความยินดีจากหลายฝ่ายต่อร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. … ที่เพิ่งผ่านสภาด้วยคะแนนเอกฉันท์ 421 เสียง เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 ก้องกังวานไปทั่วประเทศในเครือข่ายพี่น้องชาติพันธุ์และทุกคนที่ติดตามเรื่องนี้ ทว่าในอีกมุมที่เงียบกว่า กลับมีคำถามที่ต้องฟังให้ลึกกว่าเสียงปรบมือและคำยินดี นั่นคือ…อะไรที่กฎหมายยังไม่ได้พูดถึงหรือยังไม่มีความชัดเจนในการนำมาใช้จริง
“เราย้ำว่ากฎหมายชาติพันธุ์ฉบับนี้เป็นแค่ก้าวแรก แต่ว่าจะใช้ก้าวแรกนี้เป็นฐานในการสร้างความเข้าใจยังไงต่อไป อันนี้คือโจทย์ใหญ่ที่จะทำต่อ”
อภินันท์ ธรรมเสนา ผู้ทำงานกับเรื่องชาติพันธุ์ในฐานะผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) หนึ่งในผู้ที่ทำงานและเฝ้ามองกฎหมายฉบับนี้ตั้งแต่เริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา จนกลายมาเป็นกฎหมายฉบับแรกของประเทศไทยที่พูดถึงกลุ่มชาติพันธุ์อย่างเป็นทางการ แต่เมื่อกฎหมายเขียนแล้ว ผ่านในด่านแรกๆ มาแล้ว คำถามต่อมาคือ ในตัวกฎหมายเราเขียนได้ลึกถึงไหน ครอบคลุมถึงใคร และประชาชนพร้อมอ่านอย่างไร
เมื่อความกลัวทำให้คำว่า “ชนเผ่าพื้นเมือง” หายไปจากร่างกฎหมาย
แม้ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. … จะนำหลักการจากปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง หรือ United Nations Declaration on the Rights of Indigenous Peoples (UNDRIP) มาใช้ในหลายมาตรา โดยเฉพาะมาตรา 5 ถึงมาตรา 12 ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในที่ดิน การจัดการวัฒนธรรม การศึกษาภาษาตนเอง หรือการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเป็นอิสระ แต่จะเห็นว่ากลับยังขาดคำเพียงคำเดียวที่สะท้อนสถานะของผู้คนที่เรียกร้องสิทธิเหล่านี้ นั่นคือคำว่า ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’
“รัฐมีความกังวลว่าถ้าเราใช้คำว่า ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’ แล้วมันไปสอดคล้องกับ UNDRIP ซึ่งเขียนว่า กลุ่มชาติพันธุ์มีเอกภาพแห่งดินแดน ทำให้รัฐกลัวว่าคนจะลุกขึ้นมาขอแบ่งแยกดินแดน ทั้งที่ใน UNDRIP เองก็เขียนชัดว่า สิทธิเหล่านี้จะไม่มีผลในการแบ่งแยกดินแดน แต่รัฐไม่อ่านตรงนั้น เขารู้แค่ว่ามีคำนี้ เขาก็กลัวแล้ว”
อภินันท์ ให้ความเห็นไว้อย่างน่าคิด การที่ถ้อยคำว่า ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’ ไม่ปรากฏอยู่ในเนื้อหาของร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ…. อาจไม่ใช่แค่เรื่องของถ้อยคำหรือภาษาที่เลือกใช้ แต่คือการตั้งคำถามต่อ ‘ท่าทีของรัฐไทย’ ในเวทีสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศจากนี้ไป

สำหรับถ้อยคำว่า ชนเผ่าพื้นเมือง (Indigenous Peoples) ไม่ได้เป็นเพียงคำเรียกทางชาติพันธุ์ แต่แฝงไว้ด้วย ‘สถานะทางสิทธิ’ ที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ โดยเฉพาะในหลักการสำคัญของ ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง ที่ให้ความสำคัญกับสิทธิในการ ‘นิยามตนเอง’ (self-identification) และ ‘กำหนดวิถีชีวิตของตนเอง’ (self-determination) ซึ่งถือเป็นเสาหลักของสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองทั่วโลก
อภินันท์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) แสดงความคิดเห็นว่า หากรัฐไทยไม่ระบุคำนี้ไว้ในกฎหมายภายใน อาจทำให้การเข้าร่วมกลไกตรวจสอบสิทธิมนุษยชนระดับนานาชาติ เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือกลไกพิเศษว่าด้วยชนเผ่าพื้นเมือง (UN Special Rapporteur on the Rights of Indigenous Peoples) เป็นไปได้ยากขึ้น เพราะไทยจะไม่มี ‘สถานะการยอมรับชนเผ่าพื้นเมือง’ อย่างเป็นทางการให้เข้าไปอยู่ในขอบเขตของกลไกนั้นได้
“การที่คำว่าชนเผ่าพื้นเมืองไม่ปรากฎอยู่ในนี้ ซึ่งในระดับกฎหมายสากลโลกเขาคุ้มครองสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง อาจจะทำให้ไทยเสียโอกาสในเวทีโลกหรือระดับนานาชาติ ที่จะเป็นพื้นที่ให้เราได้มีโอกาสพูดเรื่องสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองได้ อย่างตรงไป ตรงมา เพราะว่าเราไม่ได้ใช้คำว่าชนเผ่าพื้นเมืองโดยตรง”
“แต่มันก็อาจจะเป็นไปได้ในแง่ที่ว่า ใน UNDRIP บอกว่าการนิยามคำว่า ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’ ในแต่ละประเทศก็อาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ ถ้าเราตีความล็อกนี้หรือในความหมายนี้ได้ ก็อาจจะมีโอกาสได้เข้าไปอยู่ในกลไกนั้นก็พอจะเป็นไปได้…”
อย่างไรก็ตาม ความเป็นไปได้นี้ยังมีขีดจำกัด เพราะการที่คำว่า ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’ ไม่ถูกยอมรับในระดับนโยบาย อาจคือ ‘สัญญาณที่ชัดเจน’ ต่อสังคมโลกว่า รัฐไทยยังไม่ยอมรับสิทธิในการกำหนดตนเอง (self-determination) ของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เรียกตัวเองว่า indigenous peoples อย่างแท้จริง อภินันท์ยังสะท้อนภาพความเข้าใจผิดที่ยังฝังแน่นในสังคมไทยว่า คำว่า ชนเผ่าพื้นเมือง อาจหมายถึงกลุ่มคนที่ต้องการแยกดินแดน หรือสร้างรัฐอิสระ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างรุนแรง เพราะในทางกลับกัน คำๆ นี้คือการเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานในฐานะมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในที่ดิน วิถีชีวิต ภาษา วัฒนธรรม หรือการมีส่วนร่วมในนโยบายสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับตนเอง
“ในอนาคตเราต้องมีกระบวนการที่จะต้องผลักดันต่อว่า คำว่า ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’ มันไม่ใช่คำที่ดูรุนแรง คือทุกวันนี้สังคมไทยยังมองว่าคำนี้เป็นคำในเชิงจะแบ่งแยกดินแดนอะไรแบบนี้อยู่ เราก็พยายามอยากจะไม่ให้คำนี้นำไปสู่ความคิดแบบนั้น ตอนนี้เครือข่ายก็ยอมถอยมาก่อนกับคำนี้”
ในทางเนื้อหาของกฎหมาย อภินันท์ย้ำว่า หลักการที่อยู่ใน UNDRIP นั้นมีปรากฏอยู่แล้วในร่างกฎหมายชาติพันธุ์ฉบับนี้แทบจะทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในวัฒนธรรม สิทธิในที่ดินดั้งเดิม หรือสิทธิในการมีส่วนร่วม แต่สิ่งที่ยังขาดหายไปคือ ‘คำที่ระบุตัวตน’ ซึ่งแม้จะดูเหมือนเรื่องเล็กน้อย แต่ในระดับการตีความกฎหมายสากล คำนี้มีความหมายมหาศาล
“จริงๆ แล้วในตัวหลักการของ UNDRIP มันมีอยู่แล้วในกฎหมายชาติพันธุ์ฉบับนี้ เพียงแต่ว่าคำที่ใช้อย่าง ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’ ยังไม่มาเท่านั้นเอง”
คำนี้จึงไม่ใช่เพียงข้อโต้แย้งเรื่องศัพท์เทคนิค แต่คือประตูบานหนึ่งที่ยังไม่ถูกเปิด เพื่อให้กลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย ได้รับการยอมรับอย่างเต็มที่ว่า ‘พวกเขาคือใคร’ และ ‘มีสิทธิในฐานะมนุษย์เท่ากันในประเทศนี้’
คุยกันคนละย่านความถี่: สังคมที่ยังไม่เข้าใจ
“ตอนนี้เราคุยกันคนละย่านความถี่… ย่านความถี่ของเราเห็นว่ากลุ่มชาติพันธุ์เขาอยู่มาก่อนนานแล้ว เป็นพื้นที่เดิมของเขา แต่ว่าย่านความถี่อีกกลุ่มเห็นว่า มึ*ไม่มีสิทธิอยู่ มึ*เป็นคนบุกรุก พอเจอย่านความถี่ที่ห่างกันมาก เราต้องทำให้ความถี่ชิดกันมา เพื่อให้คุยกันรู้เรื่อง”
คำพูดนี้ของอภินันท์ สะท้อนความท้าทายหลักของการผลักดันกฎหมายที่ไม่ได้จบเพียงในรัฐสภา แต่อยู่ในสังคมความที่มีหลากหลายความคิดทั้งประเทศ เพราะแม้กฎหมายจะประกาศใช้แล้ว หากคนส่วนใหญ่ยังรู้สึกว่าชาติพันธุ์คือ ‘คนนอก’ หรือ ‘คนอื่น’ กฎหมายอาจจะกลายเป็นเพียงตัวอักษร ไม่ใช่เครื่องมือหนึ่งในการอยู่ร่วมกันได้
“คนทุกคนในประเทศนี้อยู่มาก่อนกฎหมายทุกฉบับ กฎหมายหมายมันมาทีหลัง… กฎหมายฉบับนี้ควรทำให้สังคมยอมรับคนกลุ่มนี้ และทำให้หน่วยงานต้องปรับตัว เช่น การมีล่ามในโรงพยาบาลชายแดน หรือการเปลี่ยนหลักสูตรที่ดูถูกกลุ่มชาติพันธุ์ ให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ภาระ”
คำว่า ‘ชาวไทยชาติพันธุ์’ กับสิทธิที่อาจหล่นหาย
ในความพยายามของรัฐไทยที่จะออกกฎหมายรับรองความหลากหลายทางชาติพันธุ์ สิ่งหนึ่งที่ถูกจับตามองไม่แพ้เนื้อหาของกฎหมาย คือ ‘คำที่เลือกใช้’ เพราะถ้อยคำเพียงไม่กี่คำสามารถกำหนดได้ว่า ใครคือผู้ที่ได้รับสิทธิ และใครคือผู้ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยไม่ได้ตั้งใจ อภินันท์ชี้ให้เห็นถึงข้อกังวลสำคัญว่า การเลือกใช้คำว่า ‘ชาวไทยชาติพันธุ์’ แทนคำว่า ‘กลุ่มชาติพันธุ์’ หรือ ‘กลุ่มคน’ ในกฎหมาย อาจทำให้สิทธิที่ควรจะครอบคลุมทุกคนในประเทศนี้ กลับหล่นหายไปจากมือของคนบางกลุ่มอย่างเงียบงัน
“พอใช้คำว่า ‘ชาวไทยชาติพันธุ์’ ก็จะทำให้มีความเสี่ยงว่าจะคุ้มครองเฉพาะคนที่มีสัญชาติไทยเท่านั้น ทั้งที่ในประเทศเรายังมีคนอีกนับล้านที่ไม่มีบัตรประชาชน ไม่มีสัญชาติไทย แล้วพวกเขาจะอยู่ตรงไหน?”
นี่คือคำถามที่จะต้องคิดต่อจากนี้ เพราะในไทยยังมีผู้คนจำนวนมากนับล้านคน โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ชายขอบ ที่ไม่มีเอกสารแสดงตัวตน ไม่มีสัญชาติไทย และไม่ได้รับการรับรองสถานะทางทะเบียนใดๆ โดยเฉพาะบัตรประชาชน ทั้งที่พวกเขาอาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้มาหลายชั่วอายุคน ฉะนั้นการใช้คำว่า ‘ชาวไทย’ ซึ่งมีความหมายเฉพาะเจาะจงทางกฎหมาย ว่าหมายถึงบุคคลที่มีสัญชาติไทยหรือมีชื่อในทะเบียนบ้าน อาจทำให้คนไร้สัญชาติที่เป็นชาติพันธุ์ ชนเผ่าพื้นเมือง ไม่ถูกนับรวมอยู่ในกลุ่มผู้มีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายนี้
“การเปลี่ยนถ้อยคำจาก ‘กลุ่มคน’ เป็น ‘ชาวไทย’ หรือ ‘ชาวไทยชาติพันธุ์’ ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เพราะนิยามคำว่า ‘ชาวไทย’ ในกฎหมาย หมายถึงผู้มีสถานะทางทะเบียนบ้านหรือสัญชาติไทยเท่านั้น ซึ่งอาจทำให้กลุ่มที่อาศัยอยู่มานานแต่ไม่มีเอกสารใดๆ ถูกลืมจากกฎหมายอย่างไม่ตั้งใจ”
ในโลกของกฎหมาย ถ้อยคำไม่เคยเป็นเพียงคำสวยหรู แต่คือกรอบแห่งสิทธิและสถานะ การเลือกคำผิดเพียงคำเดียว อาจหมายถึงการลบตัวตนของใครบางคนออกไปจากระบบสิทธิโดยสมบูรณ์ คำว่า ‘ชาวไทยชาติพันธุ์’ จึงอาจไม่ใช่เพียงถ้อยคำแห่งความภาคภูมิใจ หากแต่กำลังกลายเป็นกำแพงที่ขวางไม่ให้ใครบางคนเข้าไปอยู่ใต้ร่มเงาของกฎหมาย แม้ว่าเขาจะอยู่บนแผ่นดินไทยมาทั้งชีวิต
พื้นที่คุ้มครองที่ยังไร้ราก: เมื่อหลักการแห่งสิทธิ ถูกพันธนาการด้วยกฎหมายเก่า
หนึ่งในหัวใจสำคัญของร่างกฎหมายคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ คือการระบุไว้ในมาตรา 9 ว่า กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในที่ดินตามวิถีบรรพบุรุษ แนวคิดนี้วางอยู่บนหลักการของ ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง (UNDRIP) อย่างชัดเจนว่า ที่ดินซึ่งเป็นชุมชนอยู่อาศัยและใช้ประโยชน์มาช้านาน ย่อมควรถูกคุ้มครองในฐานะส่วนหนึ่งของสิทธิขั้นพื้นฐานในความเป็นมนุษย์
แต่เส้นทางสู่ความหวังนี้กลับไม่ราบเรียบเท่าไหร่นัก เมื่อหมวด 5 มาตรา 37 ของร่างกฎหมายฉบับเดียวกัน กลับวางข้อจำกัดไว้ เช่น การประกาศพื้นที่คุ้มครองใดๆ จะต้องดำเนินการ ‘ภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง’
เมื่อพิจารณาลึกลงไป กฎหมายที่เกี่ยวข้องนั้นกลับหมายถึงกฎหมายป่าไม้ที่เข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2562 หรือกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ทั้งหมดล้วนเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยไม่มีการปรึกษาหารือกับชุมชนดั้งเดิมที่อยู่อาศัยอยู่ในพื้นที่เหล่านั้นเลย
“แม้กฎหมายชาติพันธุ์นี้จะบอกว่าให้ทำได้ในเรื่องพื้นที่คุ้มครองที่อยู่อาศัยทำกิน แต่บอกว่าให้ทำได้ตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง แต่กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องไม่ให้ทำ ถ้าพูดในความเป็นจริงมันจะทำได้ยังไง”
คำพูดนี้ของอภินันท์ ชี้ให้เห็นถึงกับดักทางกฎหมายที่อาจย้อนแย้งในตัวเอง เพราะในขณะที่กฎหมายหนึ่งให้สิทธิในพื้นที่คุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ แต่อีกหลายกฎหมายกลับวางกรอบจำกัดไว้จนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ นั่นเท่ากับว่า พื้นที่คุ้มครองที่ระบุไว้ในหลักการ อาจไม่มีวันเกิดขึ้นได้จริงในทางปฏิบัติ ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่จะต้องทำงานกันต่อไปเพื่อหาทางออกให้กับเรื่องพื้นที่คุ้มครอง
“มันอาจจะกลายเป็นว่า วันหนึ่งเรามีแค่ ‘ชื่อ’ ของพื้นที่คุ้มครอง แต่ไม่มีการคุ้มครองใดเกิดขึ้นจริงเลย”
กฎหมายชาติพันธุ์ ส่งเสริมสิทธิ ไม่ควบคุม ไม่มีบทลงโทษ
แม้ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. … จะถือเป็นความก้าวหน้าทางนโยบายที่เปิดพื้นที่ให้เสียงของกลุ่มชาติพันธุ์ได้ถูกยอมรับในระดับกฎหมาย แต่กระนั้น ก็ยังมี ‘ข้ออ่อน’ ที่สำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งถูกตั้งคำถามจากภาคประชาสังคมอย่างต่อเนื่อง นั่นคือ กฎหมายฉบับนี้ไม่มีบทลงโทษ
อภินันท์เผยว่าในระยะแรกของการยกร่าง ภาคประชาชนเคยเสนอให้ไม่มีบทลงโทษ ด้วยความตั้งใจให้กฎหมายฉบับนี้เน้นไปที่การ ‘ส่งเสริม’ มากกว่าการ ‘ควบคุม’ แต่เมื่อถึงเวลาลงมือเขียนจริง กลับกลายเป็นว่ากฎหมายวางหลักการไว้มากมาย ทั้งในแง่ของสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ ทว่าหากมีใครฝ่าฝืน ก็ไม่มีเครื่องมือทางกฎหมายใดๆ ที่จะสามารถบังคับใช้หรือดำเนินการใดๆ ต่อได้
“เวลาเราเขียนหลักการว่า อันนี้ทำไม่ได้ อันนี้ห้ามทำ แต่ถ้าเกิดมีคนทำแล้วยังไงต่อ? จะมีบทลงโทษอะไรต่อ เพราะไม่มีบทลงโทษ”
คำถามนี้ไม่ใช่เพียงข้อถกเถียงเชิงเทคนิคทางกฎหมาย แต่สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในการบังคับใช้ ที่อาจทำให้สิทธิซึ่งถูกเขียนไว้กลายเป็นเพียงคำประกาศอันสวยหรูที่ไม่มีพลังจริง อย่างไรก็ตาม อภินันท์ในฐานะคนหนึ่งที่เป็นผู้ขับเคลื่อนกฎหมายฉบับนี้ ไม่ได้มองว่าการไม่มีบทลงโทษคือทางตันของการขับเคลื่อนกฎหมาย หากแต่เสนอให้รัฐมี ‘มาตรการทางนโยบาย’ เข้ามาแทนที่ เพื่อทำให้การคุ้มครองสิทธิเป็นไปได้จริงในทางปฏิบัติ แม้จะไม่ใช้เครื่องมือบังคับทางกฎหมายโดยตรงก็ตาม
“กฎหมายอื่นมันมี ก็เป็นหน้าที่ของรัฐในการออกมาตรการมา… เช่น ทำหนังสือเตือน เรียกเข้ามาชี้แจง หรือใช้มาตรการปรับหลักสูตร อะไรแบบนี้…”
แนวคิดนี้สะท้อนทิศทางใหม่ของกฎหมายที่ไม่ต้องพึ่งบทลงโทษรุนแรงแบบระบบยุติธรรมดั้งเดิม แต่เน้นการแก้ไขปัญหาผ่านมาตรการสร้างสรรค์ เช่น การแจ้งเตือน ปรับปรุงนโยบาย การชี้แจงทำความเข้าใจ หรือแม้แต่การปรับหลักสูตรเพื่อเปลี่ยนมุมมองของหน่วยงานรัฐ
“พูดง่ายๆ เราจะไม่ไปจับเขาแบบคดีหนักๆ”
กฎหมายฉบับนี้จึงอาจไม่ใช่กฎหมายที่มี ‘ฟัน’ ในแบบที่ใช้บังคับหรือจับใครได้ แต่คือกฎหมายที่ตั้งใจจะเป็น ‘กลไกนุ่มนวล’ ที่เปิดพื้นที่ให้รัฐได้ทบทวนบทบาทของตน และให้สังคมได้เรียนรู้ว่าการคุ้มครองสิทธิอาจไม่จำเป็นต้องมาพร้อมการลงโทษเสมอไป หากแต่ต้องมาพร้อมความรับผิดชอบ และ ความตั้งใจจริง ของผู้มีอำนาจในการผลักดันนโยบายให้เกิดผลในชีวิตผู้คน
ความเกลียดชังที่ไม่ได้รับการกล่าวถึงอย่างชัดเจน
“การกระทำใดๆ” ยังครอบคลุม แม้วรรคการโฆษณาจะถูกตัดออกไป อภินันท์ อธิบายถึงมาตรา 6 ของร่าง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ว่า เดิมมีทั้งหมด 3 วรรค โดยวรรคที่ 3 เคยระบุเรื่อง “ห้ามโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือการสื่อสารที่สร้างความเกลียดชัง” แต่ในชั้นวุฒิสภาถูกตัดออกไป เหลือเพียงวรรค 1 และวรรค 2 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม อภินันท์มองว่า ถึงจะไม่มีวรรคนี้ ก็ยังสามารถตีความได้จากวรรค 1 ซึ่งเขียนไว้ว่า “ห้ามการกระทำใดๆ ที่มีผลให้กลุ่มชาติพันธุ์ถูกกลืนกลายหรือถูกทำร้าย”
“คำว่า การกระทำใดๆ หมายถึงทุกอย่างเลยนะครับ คุณจะโพสต์เฟซบุ๊ก จะเขียนด่าอะไร ถ้ามันมีผลทำให้เขาถูกเกลียดชัง มันก็ทำไม่ได้ตามกฎหมายนี้ เพราะคำนี้ครอบคลุมอยู่แล้ว”
– อภินันท์ ธรรมเสนา –
เขาเสริมว่า ตอนที่เสนอให้ตัดวรรค 3 ออกไป มีการสอบถามสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งตอบกลับว่าคำว่า “การกระทำใดๆ” ครอบคลุมถึงพฤติกรรมทางการสื่อสารแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีวรรคซ้ำซ้อน
“เราถามกฤษฎีกาแล้วว่า วรรคหนึ่งที่ใช้คำว่า ‘การกระทำใดๆ’ มันครอบคลุมไหม เขาบอกว่าครอบคลุม ก็แปลว่าโพสต์ด่าในเฟซบุ๊ก ถ้าทำให้คนเกลียดกลุ่มชาติพันธุ์ก็ผิดตามกฎหมายนี้ได้ เพราะมันเขียนว่า ‘การกระทำใดๆ ที่มีผลทำให้ถูกพรากจากอัตลักษณ์ของตน’”
นี่อาจเป็นจุดเล็กๆ ที่ต้องพัฒนาต่อในระดับนโยบาย โดยเชื่อมโยงกับอนุสัญญาระหว่างประเทศอย่าง CERD (Convention on the Elimination of All Forms of Racial Discrimination) ที่ห้ามการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติทุกรูปแบบ
กฎหมายไม่ใช่บทสรุป แต่คือจุดตั้งต้น
“เราอยากให้การพูดเรื่องชาติพันธุ์เป็นเรื่องธรรมดา เหมือนเวลาเราเจอคนแก่แล้วเราลุกให้นั่ง มันควรเป็นสัญชาตญาณ ไม่ใช่เรื่องพิเศษ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องสั่งสอนกันใหม่”
เมื่อถามถึงสิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้ ภายหลังการผลักดันให้ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ผ่านสภาได้สำเร็จ เสียงสะท้อนหนึ่งจากผู้ทำงานขับเคลื่อนกฎหมายฉบับนี้กลับไม่ได้พูดถึงมาตราไหนเป็นพิเศษ แต่เลือกพูดถึง ‘ความเข้าใจของผู้คน’ แทน
“จริงๆ แล้วมันมีกฎหมายนี้ออกมาแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือทำให้สังคมไทยมีความเข้าใจคนกลุ่มนี้ คือสลายอคติต่อคนกลุ่มนี้ ไม่งั้นต่อให้มีกฎหมาย มันก็จะไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข”
เพราะหากกฎหมายฉบับนี้เป็นประตู กุญแจที่จะไขประตูบานนั้นได้กลับไม่ใช่บทบัญญัติทางกฎหมาย แต่คือความเข้าใจ และความเคารพในความแตกต่างของผู้คนในสังคม ความเข้าใจที่ต้องลึกซึ้งไปกว่าเพียงการรับรู้ว่า ‘เขาคือใคร’ แต่คือการเข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงต้องการกฎหมายฉบับนี้ในฐานะมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรี
“มันจะกลายเป็นอคติอีกแบบหนึ่งขึ้นมาว่า ทำไมคนกลุ่มนี้มีสิทธิพิเศษที่ต้องมีกฎหมาย… เขาไม่เข้าใจว่าปัญหาคนกลุ่มนี้คืออะไร ก็เลยออกมาต่อต้าน ออกมาสร้างอคติแบบนี้”
อภินันท์พูดทิ้งท้ายว่า โจทย์ยากที่สุดของ พ.ร.บ. ฉบับนี้ อาจไม่ใช่แค่กระบวนการผ่านกฎหมาย แต่อยู่ที่การทำให้คนส่วนใหญ่ในสังคมเข้าใจความจำเป็นของกฎหมายต่างหาก
“โจทย์ยากของ พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ คือกฎหมายนี้มีอะ ใช่มันเป็นโอกาส แต่โจทย์ยากหลังจากนี้คือการทำให้คนเข้าใจ… ตอนนี้เราคุยกันคนละย่านความถี่…”
ภาพเปรียบเปรยของ ‘ย่านความถี่’ นั้นไม่เกินจริงเลย เพราะเมื่อบางคนมองกลุ่มชาติพันธุ์ว่าเป็นผู้บุกรุก ขณะที่อีกฝั่งมองพวกเขาเป็นเจ้าของผืนดินดั้งเดิมที่รัฐเพิ่งมาตั้งอยู่ทีหลัง การสื่อสารจึงไม่อาจพบกันตรงกลางได้ หากยังไม่มีการปรับความถี่ให้ใกล้กันมากพอ และการปรับ ‘ความถี่’ ดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสังคมไทยตระหนักว่า พื้นที่นี้ไม่ใช่ของใครเพียงคนเดียว แต่เป็นของคนที่พูดคนละภาษา แต่งกายต่างกัน มีพิธีกรรม ความเชื่อ และวิถีที่หลากหลาย

“เรากำลังจะเปลี่ยนความคิดคนในสังคมไทยว่า เราต้องคิดถึงคนกลุ่มนี้โดยธรรมชาติของเรา เหมือนเรารู้สึกว่าเจอคนแก่เราต้องลุกให้นั่งอะไรแบบนี้ มันควรเป็นปกติของเรา…”
กฎหมายจึงไม่ใช่แค่เรื่องของการเขียนบทบัญญัติให้ครบ แต่คือการปรับมาตรฐานของสังคมให้เคารพในความต่าง ให้กระทรวงศึกษาธิการต้องทบทวนเนื้อหาในหนังสือเรียนที่ยังพูดถึงไร่เลื่อนลอย ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดหาล่ามในโรงพยาบาลตามแนวชายแดน หรือให้ข้าราชการตระหนักว่าการมีป้ายบอกทางในภาษาถิ่นไม่ใช่ภาระ แต่คือเรื่องปกติที่ควรเป็น
“เราทำทางลาดให้คนพิการ ก็เพราะมีคนกลุ่มนั้นอยู่ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องมี เช่นเดียวกันกับเรื่องของชาติพันธุ์ เราควรทำให้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องพิเศษ”
บทเรียนของกฎหมายฉบับนี้ จึงไม่ใช่เพียงเรื่องสิทธิของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่คือคำถามย้อนกลับไปถึงสังคมไทยทั้งสังคมว่า เราจะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันจริงหรือไม่ หากยังไม่เคยเปิดใจฟังเสียงที่แตกต่างจากเราเลย
“คนทุกคนในประเทศนี้อยู่มาก่อนกฎหมายทุกฉบับ… การเขียนกฎหมายให้สังคมยอมรับคนกลุ่มนี้ กฎหมายเขียนแล้วก็เป็นโอกาสที่ทำให้เราต้องมาปรับตัวเอง…”
หากเรายอมรับว่า กฎหมายคือเครื่องมือของมนุษย์ และมนุษย์ไม่ได้มีเพียงรูปแบบเดียว เราก็จะเริ่มเข้าใจว่า การอยู่ร่วมกันอย่างเคารพและเข้าใจความแตกต่าง คือกฎหมายสูงสุดที่สังคมควรจะมี และควรจะเรียนรู้ที่จะใช้มัน…ในทุกวัน เพราะสิทธิ ไม่ใช่เรื่องพิเศษสำหรับใครบางคน แต่เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมนุษย์ทุกคน กฎหมายนี้จึงไม่ใช่จุดจบของการต่อสู้ แต่คือคำเชิญให้สังคมไทยหันมาเรียนรู้ ยอมรับ และอยู่ร่วมกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างเข้าใจและให้เกียรติ และนั่นคือภารกิจที่ไม่สามารถเขียนไว้ในกฎหมายได้ แต่มันต้องเริ่มจากหัวใจของคนทีละคน