เป็นเวลา 2 ปีแล้ว ที่พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มีผลบังคับใช้ และเป็นที่รู้จักในหมู่เจ้าหน้าที่ องค์กรภาคประชาสังคม และประชาชนทั่วไป ซึ่งกว่าจะมีกฎหมายฉบับนี้ ต้องใช้เวลาในการผลักดันถึง 15 ปี ผ่านอุปสรรคและข้อท้าทายมากมาย เพื่อให้ประเทศไทยสามารถปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ คืออนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (CAT) และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ (CED) ที่ไทยได้ให้สัตยาบันและลงนามรับรองมาเป็นเวลายาวนาน
สัตยาบันและลงนามรับรองในอนุสัญญาระหว่างประเทศทั้งสองฉบับ นำมาสู่การร่าง พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับสูญหาย เพื่อทำให้การป้องกันและปราบปรามการทรมาน การบังคับสูญหาย และการกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมถึงการเยียวยาผู้เสียหายในกรณีเหล่านี้ สามารถเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ และสร้างสังคมที่ปลอดจากการทรมานและการบังคับสูญหายในที่สุด
2 ปีผ่านไป ความหวังทั้งหลายยังอยู่ในกระดาษ
“ความตั้งใจที่จัดให้มีกฎหมายฉบับนี้ขึ้นมา สำคัญที่สุดก็คือว่า เราต้องการที่จะทลายกรอบทางความคิด กรอบของระบบกฎหมายซึ่งจำขังประชาชนทั้งประเทศ รวมทั้งกระบวนการยุติธรรม ที่ถูกครอบงำโดยแนวคิดอนุรักษ์นิยม อำนาจนิยม ดังนั้นกฎหมายฉบับนี้จึงมีบทบัญญัติให้มีสิ่งใหม่ๆ มากมาย เช่น ให้อัยการดูแลการสอบสวน ถ้าเกิดว่ามีการจับบุคคลไปทรมาน ไปคุมขังโดยมิชอบ ก็สามารถร้องต่อศาลให้ทำการไต่สวนได้ แต่เป็นที่น่าเสียดายครับว่า เรื่องต่างๆ เหล่านี้ 2 ปี ยังอยู่ในกระดาษเป็นส่วนใหญ่” สมชาย หอมลออ คณะกรรมการ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและบังคับสูญหาย กล่าวถึงแนวคิดตั้งต้นของ พ.ร.บ. และสถานการณ์ของ พ.ร.บ. ในปัจจุบัน
ปัญหา อุปสรรค และข้อท้าทายของ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและบังคับสูญหาย ถูกสะท้อนผ่านเอกสารข้อสังเกตเชิงสรุป (Concluding Observations) ของคณะกรรมการต่อต้านการทรมานแห่งสหประชาชาติ (CAT) โดยเฉพาะในแง่การบังคับใช้ให้เป็นจริงและมีประสิทธิภาพ
สัณหวรรณ ศรีสด ที่ปรึกษากฎหมาย คณะกรรมการนิติศาสตร์สากล (ICJ) ระบุว่า โดยหลักการแล้ว ความผิดตาม พ.ร.บ. ฉบับนี้จะไม่มีอายุความ แต่ในความเป็นจริงยังคงมีการกำหนดให้มีอายุความเหมือนกฎหมายอาญาทั่วไป
นอกจากนี้ ในการดำเนินคดียังเผชิญอุปสรรคเรื่องเขตอำนาจศาล ซึ่งแม้กฎหมายฉบับนี้จะกำหนดให้ความผิด 3 ฐาน ได้แก่ การทรมาน การกระทำที่โหดร้าย และการบังคับบุคคลสูญหาย ต้องอยู่ในเขตอำนาจศาลอาญาทุจริตซึ่งเป็นศาลพลเรือนเท่านั้น แต่ในคดีของพลทหารกิตติธร เวียงบรรพต ที่เสียชีวิตจากการฝึกในค่ายทหาร ซึ่งเป็นคดีแรกและคดีเดียวที่ดำเนินการตาม พ.ร.บ. กลับมีข้อเรียกร้องจะให้คดีกลับไปอยู่ใต้เขตอำนาจศาลทหาร
สุภัทรา นาคะผิว คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เสริมด้วยว่า ในกรณีของผู้ที่ถูกบังคับสูญหายในต่างประเทศ จำนวน 9 คน แม้คณะกรรมการจะเชื่อว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่กลับไม่สามารถดำเนินการตรวจสอบต่อไปได้ เนื่องจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนไม่มีอำนาจในการตรวจสอบข้ามประเทศ เช่นเดียวกับคดีบังคับสูญหาย จำนวน 3 คดี ที่ต้องยุติการสืบสวน ได้แก่ คดีของสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์, ชัชชาญ บุปผาวัลย์ และสยาม ธีรวุฒิ สุพัตราให้ข้อมูลว่าเนื่องจากคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนไม่มีอำนาจตรวจสอบ
ด้านนรีลักษณ์ แพไชยภูมิ ผู้อำนวยการกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ก็กล่าวว่า การบังคับใช้ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและบังคับสูญหาย ยังต้องเผชิญกับปัญหาการตีความกฎหมายที่ทำให้เกิดความลักลั่นในหลายประเด็น โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการเชิญตัวและการควบคุมตัว ระเบียบในการบันทึกภาพและเสียงว่าต้องครอบคลุมเท่าใด รวมไปถึงกรณีล่าสุดที่มูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้ไปยื่นคำร้องตามมาตรา 26 ของพ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและบังคับสูญหาย ต่อศาลกรณีการส่งกลับชาวอุยกูร์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยศาลมีความเห็นไปในทางที่ว่ามูลนิธิผสานวัฒนธรรมไม่ใช่บุคคลที่ทำเพื่อประโยชน์ผู้เสียหาย
ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เผชิญกับปัญหาด้านการตีความกฎหมายเช่นกัน โดยอัญชนา หีมมิหน๊ะ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากกลุ่มด้วยใจ กล่าวว่า ในจังหวัดชายแดนใต้ เจ้าหน้าที่มักใช้คำว่าเชิญตัว เช่นการเชิญไปดื่มกาแฟ แทนการควบคุมตัวอย่างเป็นทางการ จึงอ้างว่าไม่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและบังคับสูญหาย รวมทั้งการมีเจ้าหน้าที่หลายสิบนายไปเชิญตัวที่บ้านเพื่อไปยังค่ายทหาร การกระทำเช่นนี้ อาจมีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่อันตรายอย่างใดอย่างหนึ่งได้
นอกจากนี้ อัญชนายังระบุว่า การควบคุมตัวภายใต้กฎหมายพิเศษ ที่เอื้อให้มีการควบคุมตัวบุคคลไว้เป็นระยะกว่า 30 วัน โดยไม่ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมของผู้ถูกควบคุมตัวหรือผู้ต้องขัง เช่น การติดต่อทนายความ การติดต่อผู้ไว้วางใจ การเข้าเยี่ยมของญาติ เป็นต้น ช่วงเวลาเหล่านี้ทำให้ผู้ถูกควบคุมตัวตกอยู่ในความเสี่ยงต่อการทรมาน การกระทำที่โหดร้าย และการอุ้มหายด้วยเช่นกัน
ยิ่งกว่านั้น ทัศนคติของเจ้าหน้าที่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการบังคับใช้กฎหมาย สุภัทราสะท้อนว่า
“พอกฎหมายฉบับนี้ออกมา มีคำถามจากเจ้าหน้าที่รัฐออกมาเลยว่า ‘นี่เป็นกฎหมายช่วยโจรหรือเปล่า’ ความเข้าใจแบบนี้
ดิฉันคิดว่ามันเป็นวัฒนธรรมของการใช้อำนาจ ซึ่งมันอาจจะต้องใช้เวลาในการช่วยกันขุดรากถอนโคนเรื่องพวกนี้ไป”
ด้านพรพิมล มุกขุนทด ทนายความมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ก็เล่าถึงประสบการณ์การทำคดีทรมานและบังคับสูญหายว่า
ส่วนใหญ่ทุกครั้งที่เราต้องไปแจ้งความ พาญาติไปแจ้งความ เจ้าหน้าที่จะถามเราว่าใครเป็นคนอุ้ม ซึ่งเราไม่รู้แน่นอน ถามกับญาติว่าใครเป็นคนอุ้ม ไม่มีทางที่เราจะรู้ เราถึงต้องมาแจ้งเจ้าหน้าที่รัฐให้ไปตามหาว่าใครเป็นคนอุ้ม”
พรพิมล มุกขุนทด
นอกจากนี้ นรีลักษณ์ยังระบุด้วยว่า ว่าการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐยังคงเผชิญข้อท้าทายในการดำเนินการ ประเด็นหนึ่งคือหน่วยงานแต่ละหน่วยงานมีความพร้อมในการปฏิบัติที่แตกต่างกันไป บางหน่วยงานยังขาดความพร้อมทั้งความรู้ความเข้าใจ บุคลากร รวมถึงงบประมาณ และการทำงานระหว่างหน่วยงานโดยเฉพาะสี่หน่วยงานที่มีหน้าที่ตาม พ.ร.บ. ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย อย่างสำนักงานอัยการสูงสุด กรมการปกครอง กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังขาดการทำงานแบบบูรณาการ เช่น ระบบรับแจ้งการจับ ปัจจุบันแต่ละหน่วยงานยังคงใช้ระบบแยกกันอยู่ ทำให้การจัดเก็บข้อมูลยังแตกต่างกัน อีกทั้งการจัดทำฐานข้อมูลกลางยังไม่เกิดขึ้นด้วย
ยิ่งกว่านั้น คณะกรรมการ CAT ยังระบุว่า กฎหมายหลายฉบับในประเทศไทยมีบทบัญญัติบางประการซึ่งให้อภิสิทธิ์ภาครัฐในการกระทำละเมิดสิทธิโดยไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง อาญา หรือทางวินัย เช่น มาตรา 17 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 16 พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 มาตรา 17, 28, 30 พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 ซึ่งส่งผลต่อการลอยนวลพ้นผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ
นอกจากการบังคับใช้กฎหมายที่ขาดประสิทธิภาพแล้ว สิ่งที่น่ากังวลคือความพยายามของเจ้าหน้าที่รัฐในการลบชื่อบุคคลสูญหายออกจากฐานข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้น 77 กรณี โดยสัณหวรรณเผยว่า ก่อนที่จะมี พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับสูญหาย ครอบครัวผู้เสียหายเคยได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อให้ครอบครัวให้ความยินยอมถอนชื่อกรณีคนสูญหายของครอบครัวตนออกจากฐานข้อมูลสหประชาชาติ
ข้อมูลดังกล่าวตรงกับคำบอกเล่าของอังคณา นีละไพจิตร หนึ่งในคณะทำงานด้านการบังคับสูญหายของสหประชาชาติ ที่ว่ารัฐบาลไทยพยายามมาตลอดที่จะให้สหประชาชาติลบชื่อของเหยื่อ เพื่อให้จำนวนคนหายในประเทศไทยลดลง
อีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือการเยียวยาผู้เสียหายจากกรณีทรมานและบังคับสูญหาย โดยคณะกรรมการ CAT มองว่าแม้ประเทศไทยจะมี พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 แต่กฎหมายฉบับดังกล่าวยังไม่สามารถเยียวยาผู้เสียหายจากกรณีการบังคับบุคคลให้สูญหายได้จริง เนื่องจากยังคงต้องการให้ครอบครัวผู้เสียหายแสดงหลักฐานเกี่ยวกับการเสียชีวิต ซึ่งขัดกับลักษณะอาชญากรรมการบังคับบุคคลสูญหายที่ครอบครัวยังคงไม่ทราบชะตากรรมผู้ถูกอุ้มหาย ในขณะที่ระเบียบเยียวยาผู้เสียหาย จากความผิดตาม พ.ร.บ. ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย ยังคงไม่คืบหน้า
สมชายกล่าวสรุปสถานการณ์ของการทรมานและการอุ้มหายที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยว่า
“สิ่งที่น่าเสียใจก็คือว่า ในกรณีหรือคดีการทรมาน การอุ้มทรมาน หรือการอุ้มหาย ที่เกิดจากกลุ่มผู้มีอิทธิพลในรัฐ ที่เราเรียกว่า Deep State เช่น กรณี 9 ผู้ลี้ภัยในประเทศอินโดจีน กรณีที่มีการแทรกแซงโดยรัฐ เช่น กรณีอุยกูร์ รวมทั้งกรณีการส่งกลับชาวกัมพูชา ที่เป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง เมื่อเดือนที่แล้ว 7 คน มีเด็กอยู่ในนั้น 1 คน นี่เป็นการแทรกแซงโดยผู้มีอำนาจทางการเมือง ซึ่งเป็นปัญหามาก”
“อันที่สอง ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจในทางการเมือง แต่ขาดเจตนารมณ์ทางการเมือง ไม่ตัดสินใจและพยายามที่จะเบี่ยงเบนการปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ ยกตัวอย่างเช่น ระเบียบการเยียวยา ซึ่งไม่ต้องผ่านกระบวนการทางศาล เราออกระเบียบมาแล้ว อนุมัติโดยคณะกรรมการแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติตัวเงินจากกระทรวงการคลัง ส่งไปแล้ว 1 ปี ติดตามทุกระยะ ทั้งคำพูดและจดหมายติดตามไป 5 ฉบับแล้ว ไปพูดด้วยตัวเองแล้ว ยังไม่มีการอนุมัติจากกระทรวงการคลังในเรื่องเม็ดเงิน อันนี้ก็เป็นปัญหาว่า รัฐบาลขาดเจตจำนงทางการเมืองที่จะทำ” สมชายกล่าว
2 ปีที่ผ่านมา มีแต่ “ความว่างเปล่า”

ตลอดระยะเวลา 2 ปี ที่มีการบังคับใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับสูญหาย มีเพียง “คดีพลทหารกิตติธร” เพียงคดีเดียวเท่านั้นที่เข้าสู่กระบวนการศาล
ย้อนไปเมื่อ พ.ศ. 2566 พลทหารกิตติธร เวียงบรรพต เสียชีวิตหลังจากการฝึกทหารในค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย ด้วยภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด หลังจากนั้น ภรรยาและครอบครัวของพลทหารกิตติธรได้เข้าร้องเรียนต่อศูนย์ป้องกันการทรมาน จังหวัดเชียงราย เนื่องจากเห็นว่า การฝึกและลงโทษทหารเกณฑ์ให้ได้รับความทุกข์ทรมาน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับสูญหาย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ฝ่ายทหารที่เป็นคู่กรณีพยายามยื่นเรื่องต่อศาล ให้พิจารณาย้ายคดีไปที่ศาลทหาร แทนศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งเป็นศาลพลเรือน ทว่าเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ที่ผ่านมา ศาลได้เลื่อนการพิจารณาประเด็นนี้ออกไปก่อน
ไม่ใช่แค่ความคืบหน้ากรณีทรมานเท่านั้นที่ผู้เสียหายต้องรอคอยต่อไป กรณีการบังคับสูญหายก็แทบจะเรียกได้ว่า “ไม่มีความคืบหน้า” แม้ในมาตรา 10 ของ พ.ร.บ. จะระบุไว้ว่าการบังคับสูญหายเป็นอาชญากรรมต่อเนื่อง รัฐมีหน้าที่ที่จะต้องตามหาตัวผู้สูญหายจนกว่าจะทราบที่อยู่และชะตากรรม และรู้ตัวผู้กระทำผิด
“การทราบความจริงเป็นสิทธิของเหยื่อ ในขณะที่การปกปิดความจริงก็จะเป็นเหมือนกับคำสาปที่ทำให้เหยื่อต้องพันธนาการตัวเองอยู่กับความคลุมเครือ การไม่รู้ชะตากรรม แล้วก็ต้องอยู่กับความหวาดกลัว”
“สำหรับดิฉัน สองปีที่ผ่านมาของการบังคับใช้กฎหมาย
มีแต่ความว่างเปล่าไม่มีข่าวคราวจากหน่วยงานใดๆ ในการตามหาคนหาย
ไม่เคยมีคำมั่นสัญญา ไม่ให้ความหวัง”
อังคณากล่าวในฐานะญาติของผู้สูญหาย
เช่นเดียวกับกัญญา ธีรวุฒิ แม่ของสยาม ธีรวุฒิ นักกิจกรรมทางการเมืองที่ถูกอุ้มหายขณะลี้ภัยอยู่ในประเทศเวียดนาม ที่เล่าว่า ตลอดระยะเวลา 5 ปี ที่ลูกชายหายตัวไป เจ้าหน้าที่ไม่ได้ช่วยตามหา แต่คอยมาเฝ้าจับตาดูที่บ้านของเธอแทน
“แม่ไปยื่นเรื่องขอให้สยามเป็นบุคคลสาบสูญ ท่านก็บอกว่ายังอยู่ อ้าว! อยู่ที่ไหน ไม่เอามาให้เราล่ะ” กัญญากล่าว
ด้านพรพิมล ทนายความผู้รับผิดชอบคดีของสยาม ก็กล่าวเสริมว่า
“เคสของสยาม ธีรวุฒิ เราก็ได้พาแม่ไปร้องที่ศูนย์ป้องกันการทรมานฯ ตามมาตรา 7 เรื่องการบังคับบุคคลให้สูญหาย เราไปร้องแล้วหลังจาก พ.ร.บ. นี้บังคับใช้ ล่าสุดเราได้รับหนังสือจากทางอัยการเรียบร้อยแล้ว เขาส่งมาบอกเราว่า กรณีของสยาม ธีรวุฒิ ยุติเรื่องการสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ เหตุเพราะว่าไม่มีข้อเท็จจริงยืนยันเพียงพอว่าบุคคลที่จับตัวไปเป็นเจ้าหน้าที่รัฐของไทย”
ความสำเร็จของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับสูญหาย
สำหรับความสำเร็จของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับสูญหายนั้น สมชายมองว่า มาตรการในการป้องกันส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการติดกล้องประจำตัว การจัดทำรายงานบันทึกการจับกุม ซึ่งส่งผลให้การร้องเรียนการซ้อมทรมานและการอุ้มหายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเจ้าหน้าที่มีความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่มากขึ้น
ด้านพรพิมลกล่าวว่า “เราในฐานะคนที่ติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐตามพ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ มาตลอด เราไม่ได้ร้องเฉพาะที่กรุงเทพฯ นะคะ เราร้องหลายๆ จังหวัดด้วยซ้ำ เราคิดว่าบังคับได้จริง แต่ทุกมาตราไหม อีกเรื่องหนึ่ง และเจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติตามแนวทางหลักเกณฑ์เดียวกันไหม อีกเรื่องหนึ่ง”
พรพิมลสรุปว่า แม้ตัวเลขกรณีทรมานจะน้อยลง และไม่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการทรมานเพิ่มเติม แต่เธอพบว่าเจ้าหน้าที่มีการกระทำทรมานที่แยบยลมากขึ้น และสามารถหลีกเลี่ยงข้อกฎหมายได้มากขึ้น เพราะฉะนั้น องค์กรภาคประชาสังคมและเจ้าหน้าที่ที่รับเรื่องร้องเรียนจำเป็นจะต้องรู้เท่าทันการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐให้มากขึ้น
“พ.ร.บ. ใช้ได้จริงไหม เรายืนยันว่าใช้ได้ แต่เต็มกำลังไหม เราตอบให้ไม่ได้ แต่เราคิดว่า
ถ้ากฎหมายฉบับนี้ไม่ได้ดำเนินการมาอย่างถูกต้อง คงไม่มีการรับฟ้องคดีในศาลอาญาทุจริต คงไม่นำไปสู่การสืบพยานในชั้นศาลเป็นปีจนถึงวันนี้ และเราก็เชื่อในศักยภาพของศาลไทยเราก็จำเป็นที่จะต้องเชื่อว่าศาลไทยจะปกป้อง คุ้มครอง และให้ความเป็นธรรมกับญาติของเราได้ต่อไป”
พรพิมลกล่าว
“ส่งกลับอุยกูร์” ประเด็นท้าทายประสิทธิภาพของ พ.ร.บ.

การทบทวนรายงานสถานการณ์การทรมาน และการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี ครั้งที่ 2 ของประเทศไทย ในที่ประชุมคณะกรรมการ CAT สมัยที่ 81 ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 คณะกรรมการได้ชื่นชมหลักการห้ามผลักดันกลับซึ่งสะท้อนอยู่ในมาตรา 13 ของ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับสูญหาย โดยมีข้อเสนอว่า บุคคลที่มีความเสี่ยงว่าจะถูกกระทำทรมาน หรือปฏิบัติที่โหดร้ายฯ ไม่ควรถูกส่งกลับ และควรมีสิทธิรายบุคคลในการมีโอกาสพูดคุยกับศาลและเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมถึงเหตุที่ไม่ควรส่งกลับ รวมถึงสิทธิในการอุทธรณ์ หากมีคำสั่งให้ส่งกลับ โดยจะต้องไม่มีการดำเนินการส่งกลับแบบรวบรัด
อย่างไรก็ตาม เมื่อกลางดึกวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ปรากฏว่ามีการส่งตัวผู้ต้องกักชาวอุยกูร์กลับไปยังประเทศจีน โดยพฤติการณ์การส่งตัวกลับนั้นมีลักษณะที่พยายามปกปิดไม่ให้บุคคลอื่นทราบ ทั้งการนำผ้าสีดำมาปิดรอบคันรถ และการปิดทางขึ้นทางด่วน เพื่อไม่ให้รถคันอื่นตาม กรณีดังกล่าวถือว่าการบังคับใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับสูญหาย โดยเฉพาะมาตรา 13 ได้ถูกทำลายโดยกลไกของรัฐบาลอย่างสิ้นเชิง และทำให้เห็นว่าความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายฉบับดังกล่าวยังไม่ทั่วถึงและยังไม่สามารถช่วยป้องกันการส่งกลับได้
อังคณาระบุว่า “รัฐไม่เคยเกรงกลัวในการส่งผู้ลี้ภัยกลับประเทศต้นทาง ทั้งๆ ที่มีเสียงเรียกร้องคัดค้านมาโดยตลอด ขณะที่นายกฯ พูดว่าเขาไปโดยสมัครใจ ฉันก็อยากจะท้าทายว่า นายกฯ รู้ได้อย่างไร นอกจากที่จะไม่ให้ความยุติธรรม นอกจากที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ก็ยังฉ้อฉล ให้ข้อมูลที่ไม่จริงออกสู่สังคม ซึ่งดิฉันคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความผิดพลาดและบกพร่องอย่างมากของรัฐ”
ด้านสมชาย ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับสูญหาย กล่าวว่า ที่จริงแล้วคณะกรรมการชุดของเขาต้องทำหน้าที่ในการตรวจสอบการดำเนินการของรัฐบาล ว่าการกักตัว การส่งกลับไปนั้นชอบด้วยกฎหมาย หลักสิทธิมนุษยชน และเป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่หรือไม่ ประธานคณะกรรมการ ซึ่งก็คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กลับไปนั่งร่วมแถลงข่าวกับรัฐมนตรีกลาโหม และพยายามให้เหตุผลซึ่งดูแล้วไม่น่าจะรับฟังได้ในการส่งกลับชาวอุยกูร์
“แน่นอนว่าแต่ละคนนั้นอาจจะมีเหตุผลและความเข้าใจที่แตกต่างกัน แต่ในฐานะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายนั้น เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องทัศนะส่วนบุคคลครับ แต่เป็นภาระหน้าที่และภารกิจที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ด้านสิทธิมนุษยชน ที่ประเทศไทยมีอยู่ ดังนั้น จึงเป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น” สมชายกล่าว
ด้านสุพัตรา ในฐานะกรรมการสิทธิมนุษยชน ระบุว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนพยายามทำทุกอย่างที่ทำได้ แม้ขณะนั้นจะยังไม่มีการยืนยันเรื่องการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน แต่ทางคณะกรรมการก็ออกหนังสือแสดงความกังวลถึงนายกรัฐมนตรี และหารือกันว่าในการประชุมสัปดาห์ถัดไปจะหยิบยกเอาประเด็นนี้มาตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสมัครใจกลับ รวมทั้งประเด็นเรื่องประเทศที่สามที่ต้องการรับตัวชาวอุยกูร์ เป็นต้น
สังคมปลอดการทรมานและการบังคับสูญหาย มีหวังแค่ไหน?
ในการการทบทวนรายงานสถานการณ์การทรมาน และการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี โดยคณะกรรมการ CAT เมื่อ พ.ศ. 2567 คณะกรรมการได้มีข้อเสนอแนะหลักๆ ดังนี้
- เพิ่มความโปร่งใสในการควบคุมตัว โดยให้อำนาจคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเข้าเยี่ยมสถานที่ควบคุมตัวต่างๆ ได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า และควรอำนวยให้องค์กรภาคประชาสังคมมีบทบาทในการตรวจสอบสถานที่ควบคุมตัวและเข้าเยี่ยมผู้ถูกควบคุมตัวเพิ่มขึ้น โดยประเทศไทยควรเข้าเป็นภาคีในพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน (OPCAT) อันจะเป็นมาตรการป้องกันการทรมานที่สำคัญ
- ประเทศไทยจะต้องยุติวัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิด และอาชญากรรมเช่นการทรมาน การกระทำที่โหดร้ายฯ และการบังคับบุคคลให้สูญหาย ต้องไม่มีอายุความอีกต่อไป
- ประเทศไทยควรยกเลิกการบังคับใช้กฎหมายพิเศษในจังหวัดชายแดนใต้ เนื่องจากฎหมายพิเศษเหล่านี้เอื้อให้เกิดความเสี่ยงต่อการกระทำทรมาน การกระทำที่โหดร้ายฯ และการอุ้มหาย อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย อนุสัญญาหลายฉบับรวมถึงอนุสัญญา CAT และ CED
- คณะกรรมการ CAT เสนอแนะให้ปิดสถานที่ควบคุมตัวไม่ทางการภายใต้กฎหมายพิเศษ และให้สิทธิผู้ต้องขังพบญาติและทนายความอย่างโปร่งใส อีกทั้งศาลจะต้องไม่รับฟังข้อมูลที่ได้รับมาจากการใช้การทรมานเป็นหลักฐาน
“ประเด็นที่น่าสนใจก็คือว่า ทำอย่างไร จะทำให้กระดาษใบนี้มีผลในการปฏิบัติ” สมชายเปิดประเด็นอีกครั้ง ถึงแนวทางที่จะช่วยให้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับสูญหายถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ที่ผ่านมาสองปีนี้ เรายังทำน้อยไปนะ เราต้องการนักกฎหมาย ต้องการองค์กรอื่นๆ ที่ลงมือปฏิบัติมากกว่านี้ การเผยแพร่ องค์กรทำหน้าที่แล้ว การฝึกอบรมมี แต่ไม่พอ มีดจะให้มันคมต้องใช้บ่อยๆ ผมเชื่อว่า เมื่อเราใช้ไปมันจะฟ้องเอง ว่ากลไกของรัฐที่บอกว่าแก้ปัญหาให้ประชาชน เขาทำจริงหรือไม่ เขายกคำร้องเราโดยมีเหตุผลสมควรหรือเปล่า เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์แน่นอน ถ้าไม่มีเหตุผลสมควร ซึ่งครั้งต่อไปไม่แน่ครับ เขาอาจจะรับก็ได้ แต่ถ้าไม่มีการฟ้อง ไม่มีการยกคำร้อง สังคมไม่ตื่นตัว”
“ผมคิดว่าที่สำคัญก็คือพวกเราทุกคน องค์กรภาคประชาสังคม องค์กรสิทธิมนุษยชน ผู้เสียหาย ประชาชนทั่วไป ต้องอย่ารีรอที่จะใช้กฎหมายฉบับนี้ ถึงแม้ว่าเราอาจจะผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ขอให้พยายามต่อไป ยื่นคำร้อง แจ้งความ ติดตาม ทำการรณรงค์ต่อไป เราเชื่อว่าความหวังและความสำเร็จจะเกิดขึ้น”
นอกจากนี้ อังคณายังกล่าวถึงสิทธิในการรักษาความทรงจำของเหยื่อว่า
“หลายคนพยายามที่จะทำให้เขาลืม หลายคนพยายามที่จะขัดขวาง พยายามที่จะสอดแนมไม่ให้มีการจัดงานรำลึกต่างๆ ซึ่งดิฉันเห็นว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่รัฐพยายามทำลายความทรงจำของเหยื่อ ถ้าเราไม่ลืม การดิ้นรนต่อสู้ของเราก็ยังอยู่ แต่ถ้าเมื่อไรที่เราลืม และเรายอมให้ความกลัวเข้ามาครอบงำ เมื่อนั้นเราก็จะไม่สามารถที่จะทำอะไรเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้มีคนหาย และหาความจริงให้กับคนที่หายไปแล้วได้อีก”
“ดิฉันเชื่อว่าการทำความจริงให้ปรากฏ การนำคนผิดมาลงโทษ
จะเป็นการคืนความเป็นธรรม
และจะเป็นการยุติการบังคับสูญหายในสังคมอย่างยั่งยืน”
อังคณาทิ้งท้าย