ความเหลื่อมล้ำยิ่งเด่นชัดในความเข้มงวด : จุดอ่อนของเราในการจัดการโควิด-19

บางครั้งหนึ่งสัปดาห์ก็รู้สึกยาวนานหลายสิบปี สัปดาห์ที่ผ่านมาก็เช่นกัน

โควิด-19 ทำให้โลกทั้งใบต้องสั่นสะเทือนวิถีชีวิตและค่านิยมที่เป็นมาถูกล้างบางในชั่วข้ามคืนหลายสัปดาห์ก่อนจะมีซักกี่คนที่คิดว่าการหลีกเลี่ยงญาติผู้ใหญ่สูงอายุจะถือเป็นความเมตตากรุณาหรือการที่รัฐบาลจะรักษาความปลอดภัยของสังคมด้วยการปล่อยนักโทษจำนวนมากหรือกระทั่งการที่สหรัฐอเมริกาประเทศที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดจะขาดแคลนหน้ากากอนามัยอย่างหนัก 

แม้แต่หนังสือพิมพ์เศรษฐกิจอย่างไฟแนนเชี่ยลไทม์ยังเริ่มพูดถึงการกระจายรายได้ให้ทั่วถึงทุกหย่อมหญ้าวัคซีนกำลังจะกลายเป็นความจำเป็นเพื่อให้เราสามารถออกจากบ้านไปโรงเรียนไปทำงานหรือได้ใช้ชีวิตอย่างเสรีวิถีชีวิตเราต้องพลิกผันในชั่วข้ามคืนกฎเกณฑ์ของเศรษฐกิจและสังคมกำลังจะต้องถูกเขียนขึ้นใหม่

เมื่อหลายสัปดาห์ผ่านไปและการแพร่ระบาดครั้งใหม่อุบัติขึ้นอีกครั้งเราไม่มีทางออกง่ายๆ อีกต่อไปโควิค-19 ถูกนับว่าเป็น “ปัญหาพยศ” (Wicked Problem) คำศัพท์ที่ถูกบัญญัติโดยนักวิชาการชาวแคลิฟอร์เนียฮอร์สริทเทลและเมลวินเว็บเบอร์เมื่อปี 1973 เพื่อใช้เรียกปัญหาที่ฉีกทุกกฎเกณฑ์และดูไร้ซึ่งคำตอบโควิด-19 เป็นปัญหาที่ซับซ้อนและทำให้หยุดชะงักไปทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ภาวะการระบาดครั้งนี้เปิดเผยให้เราเห็นว่าความปลอดภัยของเราขึ้นอยู่กับคนที่จนที่สุดในสังคมเราข้อเท็จจริงนี้เป็นจริงมาโดยตลอดแต่เหตุการณ์นี้แสดงให้เราเห็นอย่างไร้ข้อกังขาในขณะที่เหล่าเศรษฐีสามารถปกป้องตนเองได้การแพร่ระบาดของเชื้อโรคในหมู่คนยากไร้และถูกกีดกันคือภัยที่ร้ายแรงที่สุด

โรคระบาดครั้งนี้ได้ท้าทายระบบสาธารณสุขของแม้แต่ประเทศที่ร่ำรวยที่สุดจนถึงขีดจำกัดความกดดันบนระบบดังกล่าวได้ขึ้นพาดหัวข่าวฝั่งตะวันตกแต่ความสนใจในประเด็นดังกล่าวทำให้สังคมมองข้ามความไม่เท่าเทียมอย่างร้ายกาจที่ประเทศกำลังพัฒนาต้องพยายามปกป้องประชาชนที่อ่อนแอด้วยทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดและในสถานการณ์แบบนี้ประเทศที่ระบบสาธารณสุขอ่อนแอที่สุดก็คือจุดอ่อนของคนทั้งโลกเพราะตราบใดที่โควิด-19 ยังแพร่ระบาดในที่ใดก็ตามก็ไม่มีใครปลอดภัยอีกต่อไป

เมื่อเหตุการณ์ไม่คาดคิดมาเยือนเราเราก็ตกอยู่ในภาวะหายากที่ทุกๆ คนมีผลได้เสียโดยตรงในการสร้างโลกที่มีความเท่าเทียมกันมากกว่านี้แนวคิดที่ยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นหลักกลับกลายเป็นว่ามันไม่พอแนวคิดที่จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้จะต้องส่งผลถึงมนุษยชาติอย่างเท่าเทียมกัน

ภาวะวิกฤตมักนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงไม่ว่าดีขึ้นหรือแย่ลงการมองย้อนกลับไปดูการตัดสินใจใช้นโยบายต่างๆที่นำไปสู่การเปลี่ยนโควิด-19 ให้กลายเป็นปัญหาพยศจะช่วยให้เราสร้างสังคมที่เท่าเทียมยั่งยืนและทรหดมากขึ้นความเป็นหนึ่งเดียวในตอนนี้จะเป็นตัวแปรสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมให้ดียิ่งขึ้น

โควิด-19 ปัญหาพยศระดับมหากาฬ

โควิด-19 จะต้องแก้ไขโดยการกระทำของส่วนรวมแต่โดยธรรมชาติของปัญหาพยศนั้นรัฐบาลจะต้องเผชิญกับสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในหลายๆ ประเทศการทดลองกับเชื้อโรคมีข้อจำกัดมากมายทำให้เราเข้าใจในความสามารถของเชื้อโรคแค่บางส่วนเท่านั้นเพราะความเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ทำให้สมมุติฐานที่เรามีต้องแปรเปลี่ยนไปตามข้อมูลใหม่ๆ ที่เข้ามาตลอดวัคซีนเป็นวิธีเดียวที่ยังเป็นที่มั่นใจของประชาคมการตรวจสอบกักกันและตามรอยโรคระบาดต้องใช้ทรัพยากรมหาศาลและต้องก้าวก่ายเสรีภาพและความเป็นส่วนตัวของบุคคลในระดับที่ไม่เป็นที่สบายใจในขณะที่การอยู่บ้านกักเชื้อก็ส่งผลกระทบร้ายแรงกับเศรษฐกิจและสังคมตัวเลือกในการแก้ปัญหาถูกจำกัดโดยนโยบายและงบประมาณที่มีอยู่

นอกจากนี้โรคระบาดครั้งนี้ยังทำให้เราตั้งคำถามกับสิทธิมนุษยชนอีกด้วยปัจจุบันรัฐบาลทั่วโลกปกป้องสิทธิต่อสุขภาพของประชาชนด้วยการจำกัดสิทธิด้านอื่นๆอย่างมากทั้งสิทธิในการเดินทางพบปะรวมตัวในที่สาธารณะหน้าที่การงานและชีวิตในครอบครัวของเราด้วยการกักตัวอยู่บ้านห้ามเดินทางและการปิดสถานที่ทำงานและสถานศึกษากฎหมายนานาชาติระบุถึงความจำเป็นที่จะต้องรับรองสิทธิของประชาชนแต่การรักษาสมดุลระหว่างสิทธิต่างๆ เพื่อให้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้นั้นแตกต่างไปตามบริบทโดยการจะศึกษาผลดีผลเสียของวิธีแก้ปัญหาต่างๆ นั้นต้องอาศัยความรู้จากต่างสาขาเข้ามาทำงานด้วยกันโดยเฉพาะในด้านสาธารณสุขศีลธรรมกฎหมายสิทธิมนุษยชนและนโยบายทางเศรษฐกิจ 

ผลของการใช้นโยบายในลักษณะนี้คือการที่ประชาชนจะต้องสอดส่องรัฐบาลไม่ให้ฉวยโอกาสในสถานการณ์ที่อันตรายนี้ในการรวบอำนาจอย่างไม่ชอบธรรมเทคโนโลยีเพื่อการสอดแนมอาจช่วยให้รัฐบาลควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้ดีและหลายๆ ประเทศกำลังเร่งพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ในด้านดังกล่าวจนใกล้ — หรือกระทั่งที่เสร็จสมบูรณ์แล้วพวกเขาทำถึงขั้นที่เข้าไปร้องขอให้บริษัทด้านเทคโนโลยีหลายๆ แห่งผ่อนปรนข้อบังคับด้านความเป็นส่วนตัวลงแต่ในขณะที่สถานการณ์กำลังแย่ลงความคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวก็ตกหล่นไปแม้ว่าหลักฐานด้านสิทธิมนุษยชนจะบังคับให้การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวมีระยะเวลาที่ชัดเจนและเหมาะสมมีความเป็นไปได้สูงว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะอยู่กับพวกเราไปอีกนานหลังจากสถานการณ์นี้จบลงเพราะผู้นำทางการเมืองน้อยคนนักที่จะยอมเสียอำนาจนี้ไปได้ง่ายๆพวกเราตกอยู่ในความเสี่ยงที่อาจจะสูญเสียไปแม้กระทั่งความหลอกลวงตัวเองว่าเรามีความเป็นส่วนตัวซึ่งเป็นสิทธิที่หลายๆประเทศไม่อนุญาติอย่างเช่นในจีนที่อินเตอร์เน็ตถูกควบคุมอย่างใกล้ชิด

ความยืดหยุ่นที่จำกัดเพราะความไม่เท่าเทียม

โควิด-19 เป็นภัยต่อทุกคนโดยไม่แบ่งชั้นวรรณะแต่ในขณะที่ทุกคนดูเหมือนจะจมใต้คลื่นทะเลเดียวกันเราไม่ได้ลงเรือลำเดียวกันแต่อย่างไร

สิงค์โปร์เป็นบทเรียนสำคัญประเทศนี้เคยถูกชื่นชมว่าเป็นตัวอย่างของการควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพจนกระทั่งยอดติดเชื้อพุ่งขึ้นท่ามกลางชุมชนแออัดของคนงานต่างชาติจากเอเชียใต้สถิติของพวกเขาเลวร้ายในพริบตา

เช่นเดียวกับในทุกๆ เหตุการณ์ด้านสาธารณสุขคนจนจะต้องเสี่ยงมากกว่าคนรวยอย่างเช่นการล้างมือที่สามารถระงับการระบาดได้หากทำอย่างเป็นประจำแต่ในชุมชนชั่วคราวหลายๆ แห่งนี่คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เมืองหลวงของประเทศเคนย่าอย่างไนโรบีมีประชากรที่เข้าถึงน้ำประปาแค่ครึ่งเดียวเท่านั้นและคนที่ไม่มีจะต้องจ่ายค่าน้ำแพงกว่าตั้งแต่สิบถึงยี่สิบห้าเท่าซึ่งนับเป็นหนึ่งในสามของรายได้การอยู่ให้ห่างจากผู้อื่นช่วยลดการติดเชื้อและปริมาณงานของระบบสาธารณสุขแต่สำหรับครอบครัวใหญ่ในชุมชนแออัดที่ยากไร้นี่คือเรื่องเป็นไปไม่ได้นโยบายอยู่บ้านกักเชื้อกระทบกับคนจนมากที่สุดและยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำทางสังคมลูกจ้างชั่วคราวแรงงานนอกระบบและคนทำงานมากมายที่ถูกเลิกจ้างขาดชั่วโมงงานหรือไปทำงานไม่ได้เพราะระบบขนส่งมวลชนหยุดทำงานหรือโดนเคอร์ฟิวมักไม่ได้รับเงินชดเชย

หากรัฐบาลไม่ช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจกับประชากรชายขอบก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีความวุ่นวายเกิดขึ้นจากความจนตรอกของคนกลุ่มดังกล่าวผู้ที่ไม่เห็นทางอื่นใดที่จะรอดชีวิตไปได้ก็จะออกมาชุมนุมและเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่เชื้ออีก

โควิด-19 เป็นดั่งตัวแทนของความไม่มั่นคงในสังคมผลกระทบของความเหลื่อมล้ำในสิทธิของคนยากไร้ได้แสดงชัดแจ้งต่อผู้คนที่เคยถูกชนชั้นของสังคมบังตาประเทศที่ร่ำรวยมีระบบสาธารณสุขที่แข็งแรงและมีทรัพยากรมากมายในการป้องกันผลกระทบของไวรัสต่อเศรษฐกิจก็จะมีทางเลือกมากกว่าประเทศร่ำรวยหลายๆ ประเทศเช่นอังกฤษได้เริ่มเยียวยาทางเศรษฐกิจเพื่อปกป้องภาคเอกชนและการจ้างงานเอาไว้แม้ว่าจะมีประชากรชายขอบนับล้านที่ไม่สามารถเข้าถึงการเยียวยาได้

แต่ความยืดหยุ่นในภาวะวิกฤตระดับชาติมีผลไม่มากนักในระดับนานาชาติเราทำได้แค่เพียงคงความยืดหยุ่นและมั่นคงในตัวเราเพื่อเผชิญกับปัญหาผยศแห่งยุคเพื่อให้เราสามารถที่จะสร้างสังคมและเศรษฐกิจขึ้นใหม่ให้มีความเท่าเทียมและยั่งยืน

ความอยู่รอดของเราอยู่ในอันตรายเพราะขาดการลงทุนทางสาธารณสุข

ประเทศที่ขาดแคลนเตียงไอซียูอย่างหนักแทบจะไม่สามารถควบคุมกราฟการระบาดของโควิด-19 ได้เลย และพวกเขาเหลือทางเลือกแค่การควบคุมไวรัสให้ได้หรือเสี่ยงกับการเสียชีวิตหมู่ประเทศในแอฟริกาหลายๆ ประเทศที่มีประสบการณ์กับโรคระบาดร้ายแรงได้ใช้นโยบายเชิงรุกเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ถ้าการป้องกันล้มเหลวประเทศที่มีระบบสาธารณสุขอ่อนแอจะต้องรับผลกระทบที่ร้ายแรงอย่างเช่นประเทศซูดานใต้ที่มีเครื่องช่วยหายใจสี่เครื่องสำหรับประชากรสิบเอ็ดล้านคนในประเทศกำลังพัฒนาเจ้าหน้าที่ทางการระดับสูงมักเดินทางไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บในต่างประเทศและละเลยความขาดแคลนในประเทศของตนแต่เมื่อชายแดนปิดลงสนามบินหยุดทำงานและระบบสาธารณสุขของประเทศอื่นไม่สามารถรับผู้ป่วยนอกได้อีกต่อไปถ้าไวรัสระบาดเต็มที่เมื่อไหร่มันจะไม่มีทรัพยากรเหลือพอที่จะรักษาเจ้าหน้าที่ระดับสูงและครอบครัวอีกต่อไป 

ความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศส่งผลต่อความสามารถในการคุ้มครองสิทธิทางสุขภาพของประเทศกำลังพัฒนาอย่างที่นายกรัฐมนตรีประเทศเอธิโอเปียอาบีย์อาห์เม็ดได้เขียนในหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชี่ยลไทม์ว่าสำหรับประเทศในแอฟริกาหลายๆประเทศงบประมาณเพื่อจ่ายหนี้มักจะเยอะกว่างบสาธารณสุขรายปีมากนี่ไม่ใช่สาเหตุเดียวประเทศกำลังพัฒนาหลายๆ แห่งมีปัญหาเชิงโครงสร้างมากมายรวมไปถึงการมีเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่และมีผู้จ่ายภาษีน้อยความให้ความสำคัญกับงบประมาณด้านอื่นๆ เช่นกองทัพมากกว่าและการยักยอกเงินหลวงซึ่งมีผลทำให้พวกเขาลงทุนกับระบบสาธารณสุขไม่พอในภาวะโรคระบาดเช่นนี้การสาธารณสุขของหนึ่งประเทศมีผลโดยตรงต่อประเทศอื่นๆ เช่นกัน

รัฐบาลจะต้องเข้าใจว่าสุขภาพมีค่าดั่งความร่ำรวยพวกเขาต้องลงทุนทรัพยากรให้กับระบบสาธารณสุขมากกว่านี้และทำให้ประชากรทุกคนสามารถเข้าถึงมันได้อย่างเท่าเทียมกันทำให้สังคมมีความมั่นคงทุกคนมีส่วนร่วมและเศรษฐกิจมีความแข็งแรงการจะทำแบบนั้นได้เราจำเป็นต้องแก้ไขความเหลื่อมล้ำทางโครงสร้างระหว่างประเทศเพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนาได้รับใช้ประชาชนของตนเองไม่ใช่รัฐเจ้าหนี้

ความเป็นหนึ่งเดียวกันจะช่วยเรา

เมื่อเผชิญหน้ากับโรคระบาดแบบนี้ทัศนคติที่แก้ปัญหาระดับมนุษยชาติเท่านั้นที่จะเพียงพอ

แม้กายเราจะห่างกันแต่ชะตากรรมของพวกเราดึงเราให้ใกล้ชิดกว่าที่เคยเป็นมา “การรักษาระยะห่างทางสังคม” กำลังถูกบัญญัติใหม่เป็น “ความเป็นหนึ่งเดียวอย่างกว้างขวาง” โดยถือเป็นการกระทำที่แสดงความมีน้ำใจปกป้องผู้อื่นเมื่อไวรัสเติบโตเป็นทวีคูณความช่วยเหลือซึ่งกันและกันก็หลั่งไหลไม่ขาดสายผู้คนช่วยเหลือซึ่งกันและกันในหลากวิธีเพื่อบรรเทาความเหงาของตนเองแม้ว่ามันจะเกิดจากภัยพิบัติแต่ความเป็นหนึ่งเดียวครั้งนี้ก็สร้างความหวังและแสดงให้เห็นว่าเรามีศักยภาพแค่ไหนเมื่อพวกเรารวมตัวกัน 

ในขณะที่โลกทั้งใบหมุนเคว้งอย่างไม่อาจควบคุมผู้คนก็เริ่มจินตนาการถึงสังคมและเศรษฐกิจใหม่ๆ ความใส่ใจและความสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นในวิกฤตครั้งนี้อาจจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงได้ตอนนี้ก็มีความเปลี่ยนแปลงที่เริ่มเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่สเปนที่เริ่มพิจารณานโยบายเงินเดือนให้เปล่าไปจนถึงเมืองอัมสเตอร์ดามที่อ้าแขนรับระบบเศรษฐกิจแบบโดนัทที่มีการวางผังเมืองแบบองค์รวมนำโดยประชาชนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเวลาเท่านั้นที่จะบอกเราว่าความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะสำเร็จหรือไม่แต่อย่างไรก็ตามเราต้องเรียกร้องให้ผู้นำทางการเมืองนำประชาชนชายขอบเข้ามามีส่วนในการได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลด้วยเราต้องไม่ทนกับความหลอกหลวงของผู้นำที่ให้สัญญาปากเปล่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหาผยศแบบนี้รวมไปถึงคนที่ฉวยโอกาสเพิ่มอำนาจของตนบนความทุกข์ยากของเรา

เพื่อให้เรารอดจากวิกฤตนี้ความเป็นหนึ่งเดียวของเราต้องออกไปไกลกว่าแค่ในชายแดนของเราวาทกรรมชาตินิยมที่ว่างเปล่าช่วยอะไรใครไม่ได้ เพราะไม่มีประเทศไหนอยู่รอดคนเดียวได้ เราต้องช่วยเหลือระบบสาธารณสุขที่อ่อนแอที่สุดเราต้องรวบรวมทรัพยากรเพื่อให้มีโอกาสค้นพบวัคซีนได้เร็วที่สุดและเราต้องทำให้แน่ใจได้ว่าบริษัทยาทั้งหลายจะไม่ฉวยโอกาสจดลิขสิทธิ์ในสภาวะแบบนี้เพื่อให้ต้นทุนวัคซีนมีมูลค่าต่ำที่สุดเท่าที่ทำได้

เหนือสิ่งอื่นใดนี่คือเวลาที่เราต้องยอมรับว่าในความเหลื่อมล้ำอย่างสาหัสบนโลกไม่มีใครอยู่รอดปลอดภัยได้โรคระบาดครั้งนี้ควรจะปลุกเราทุกคนให้ตาสว่างเสียทีภาพลวงตาของความปลอดภัยในการแบ่งแยกควรจะเป็นที่เห็นชัดแล้วว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตาในขณะที่ชีวิต “ธรรมดา” ของเราจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปพฤติกรรมในอดีตจะหวนคืนกลับมาแบบไม่คิดเมื่อเราฟื้นตัวได้ซักระยะหนึ่งนี่คือเวลาที่เราจะต้องเจาะจงและชัดเจนในการกำหนดความเปลี่ยนแปลงที่เราต้องการจะเห็นซึ่งนี่หมายถึงการละความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนในระยะใกล้และไปคำนึงถึงประโยชน์ของมนุษยชาติ 

โควิด-19 ทำให้เราต้องเสียน้ำตาแต่จากความทุกข์โศกนั้นเราสามารถเลือกได้ว่าเราจะใช้มีนสร้างความแตกต่างหรือไม่ของขวัญที่ดีดที่สุดที่เราจะมอบให้ตัวเองได้คือโลกที่เท่าเทียมและเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาผยศของวันพรุ่งนี้

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแอมเนสตี้
บริจาคสนับสนุนแอมเนสตี้