เปิดคลัง! เส้นทางการดำเนินคดีอาญาเป็นอย่างไร ติดตามได้ที่นี่!
3 มีนาคม 2566
Amnesty International
เพราะสิทธิมนุษยชนเป็นของทุกคนเสมอ ✊
ดังนั้นหากถูกดำเนินคดีไม่ว่าจะคดีอะไรก็ตาม ไม่ต้องตกใจ ก่อนที่คดีจะถึงที่สิ้นสุดนั้นต้องผ่านขั้นตอนหลาย ๆ ขั้นตอน และตราบใดที่คดียังไม่ถึงที่สิ้นสุด ผู้ต้องหาจะยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะตัดสิน และต้องมีสิทธิในการประกันตัวอยู่เสมอ
และที่สำคัญ “สิทธิ” จะอยู่กับคุณเสมอไม่ว่าจะขั้นตอนไหน มาล้วงลึกในขั้นตอนการดำเนินคดีไปด้วยกันได้ในโพสต์นี้เลย (เซฟเก็บไว้ก็ได้นะ)
Note: ก่อนอื่น อย่าลืมท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจว่า คุณมีสิทธิพบทนาย! คุณมีสิทธิพบทนาย! คุณมีสิทธิพบทนาย! ไม่ว่าจะเป็นคดีอะไร หรืออยู่ในชั้นไหนก็ตาม
ชั้นแรก - ชั้นตำรวจ
หากถูกดำเนินคดี สิ่งแรกที่คุณจะได้รับคือ “หมายเรียก” โดยที่ตำรวจจะต้องส่งหมายเรียกผู้ต้องหาให้กับบุคคลที่ตำรวจจะดำเนินคดี โดยจะส่งไปที่บ้านของคนนั้นตามทะเบียนราษฎร ตำรวจจะส่งมากที่สุดสองครั้ง ถ้าไม่ไปตามนัด ตำรวจจะขอศาลออกหมายจับ
“หมายจับ” เมื่อตำรวจทำการจับกุม ตำรวจต้องแสดงหมายจับที่ออกด้วยศาลให้ผู้ถูกจับกุมเห็นพร้อมแจ้งสิทธิด้วย หลังจากการจับกุมจะต้องพาไปสถานีตำรวจท้องที่ที่มีการจับกุม สิ่งนี้ระบุไว้ในประมวลกฎหมาย วิ.อาญา ด้วยเช่นเดียวกัน
มาตราไหนบ้าง?
- มาตรา 57 วรรคหนึ่ง ระบุว่าการจับ ขัง จำคุก ค้นตัวหรือสิ่งของต้องมีคำสั่งหรือหมายของศาล
- มาตรา 78 พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งของศาลนั้นไม่ได้ เว้นแต่ ทำผิดซึ่งหน้า น่าก่อเหตุร้ายเกิดภยันตราย เร่งด่วนที่ไม่อาจขอให้ศาลออกหมายและผู้ต้องหาหรือจำเลยขะหลบหนีระหว่างถูกปล่อยชั่วคราว
- มาตรา 66 ออกหมายจับจะต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน หรือการไม่มาตามหมายเรียกหรือนัดมีเหตุให้สันนิษฐานว่าจะหลบหนี
นอกจากนี้ ในการจับกุม ตำรวจต้องแจ้งเหตุที่จับพร้อมแจ้งสิทธิให้ผู้ถูกจับทราบและแจ้งว่าจะพาไปสถานีตำรวจที่ไหน
ในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บจากการจับกุมจะต้องได้รับการเก็บบันทึกว่าได้รับการบาดเจ็บและถูกพาไปตรวจที่โรงพยาบาล
ตลอดขั้นตอนเหล่านี้ คุณมีสิทธิที่จะ:
1. พบและปรึกษาผู้ซึ่งจะเป็นทนายความเป็นการเฉพาะตัว
2. ให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้ในชั้นสอบสวน
3. ได้รับการเยี่ยมหรือติดต่อกับญาติได้ตามสมควร
4. ได้รับการรักษาพยาบาลโดยเร็วเมื่อเกิดการเจ็บป่วย
5. สิทธิจะให้การหรือไม่ให้การก็ได้
6. สิทธิพบและปรึกษาทนายเป็นการส่วนตัว ไม่ให้เจ้าหน้าที่สอบสวนฟังได้
ต่อมา หลังจากได้รับหมาย ขั้นต่อมาคือ การรับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นกระบวนการเข้ารับฟังข้อกล่าวหาที่ถูกบุคคลหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้ง ทั้งนี้จะต้องมีทนายอยู่ด้วยเสมอ และสิ่งนี้ระบุชัดเจนในประมวลกฎหมาย วิ.อาญา มาตรา 134/4 และมาตรา 135
ตลอดขั้นตอนเหล่านี้ คุณมีสิทธิที่จะ:
1. ในการถามคำให้การผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนต้องแจ้งสิทธิต่อผู้หาก่อน และในกรณีที่ไม่แจ้งก่อน คำให้การของผู้ต้องหาจะไม่สามารถนำมาเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ได้ และพนักงานสอบสวนต้องไม่ทำการใดๆ ที่เป็นการให้คำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวง ทรมาน ใช้กำลังบังคับ หรือกระทำโดยมิชอบ ประการใดๆ เพื่อจูงใจให้ผู้ต้องหากให้การอย่างใดๆ
2. ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตน
หลังจากนั้น พนักงานสอบสวน สืบสวนและทำความเห็นว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่สั่งฟ้อง แล้วจึงส่งเรื่องไปยังอัยการ
**ในชั้นนี้สอบสวน อาจมีการฝากขัง โดยมีรายละเอียดตามวิ.อาญา มาตรา 87 ดังนี้
1. ความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 500 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลมีอำนาจสั่งขังได้ครั้งเดียว มีกำหนดไม่เกิน 7 วัน
2. ความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินกว่า6 เดือน แต่ไม่ถึง 10 ปี หรือปรับเกินกว่า 500 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลมีอำนาจสั่งขังหลายครั้งติด ๆ กันได้ แต่ครั้งหนึ่งต้องไม่เกิน 12 วัน และรวมกัน ทั้งหมดต้องไม่เกิน 48 วัน
3. ความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป จะมีโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตาม ศาลมีอำนาจสั่งขังหลายครั้งติด ๆ กันได้ แต่ครั้งหนึ่งต้องไม่เกิน 12 วัน และรวมกันทั้งหมดต้องไม่เกิน 84 วัน
ขั้นที่สอง - ชั้นอัยการ
ตำรวจมีความเห็นว่าจะสั่งฟ้อง ชั้นต่อมาที่จะต้องเจอ คือชั้นอัยการ ที่คุณจะต้อง:
รายงานตัว ตำรวจจะนัดผู้ต้องหาไปที่สำนักงานอัยการประจำท้องที่ ทั้งนี้กระบวนการนี้ต้องมีทนายไปด้วยทุกครั้ง แต่ที่ผ่านมาในคดีที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก มีหลายครั้งที่ถูกอัยการเลื่อน
ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม ที่ผ่านมาในคดีการเมือง มีการยื่นขอให้สอบสวนพยานเพิ่มเติมและการสั่งฟ้องจะไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
ในขั้นนี้ อัยการอาจสั่งฟ้องคดี หรือไม่ฟ้องคดีก็ได้ แต่ถ้าหากสั่งฟ้อง ขั้นตอนต่อไปที่คุณจะพบเจอ คือขั้นตอนของศาล
เราเรียนกันมาตั้งแต่เด็กจนโต ว่าศาลที่พิจารณาคดีอาญานั้นมีศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา แต่รู้หรือไม่ ไม่ใช่ทุกคดีจะสิ้นสุดลงที่ชั้นศาลฎีกา แต่อาจจบลงที่ศาลอุทธรณ์ก็ได้ เช่นคดีของอัญชัญ ปรีเลิศ
และก่อนจะไปถึงขั้นตอนที่สาม เราข้อแนะนำคำสองคำให้คุณได้เตรียมความพร้อมที่จะรู้จักกันก่อน
“โจทก์” คือผู้ที่ยื่นฟ้องคดีต่อศาล หรือผู้กล่าวหา
“จำเลย” คือผู้ที่ถูกฟ้องต่อศาล หรือผู้ต้องหา
* ผู้ต้องหาหรือจำเลย ถือเป็น “ประธานแห่งคดี” ที่ต้องทำหน้าที่พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นผู้บริสุทธิ์กับฝ่ายศาลซึ่งถือเป็นอำนาจรัฐ การที่ให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ แก่ตัวผู้ต้องสงสัยหรือจำเลย นับว่าเป็นการมอบความเท่าเทียมให้ประชาชนมีอำนาจเท่ากับรัฐ เพื่อไม่ให้เกิดการฟังความฝ่ายเดียว ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้
.
กับอีก 11 สิทธิ ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนในมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง. International Covenant on Civil and Political Rights (ICCPR) ข้อที่ 14 และข้อวินิจฉัยทั่วไปข้อที่ 32 นั่นคือ:
1. สิทธิในการพิจารณาอย่างเปิดเผย
2. สิทธิในการพิจารณาอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม
3. สิทธิในการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์
4. สิทธิที่จะได้รับแจ้งโดยพลันซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพและเหตุแห่งความผิดที่ถูกกล่าวหา ในภาษาซึ่งบุคคลนั้นเข้าใจได้
5. สิทธิที่จะมีเวลา และได้รับความสะดวกเพียงพอแก่การเตรียมการเพื่อต่อสู้คดี และติดต่อกับทนายความที่ตนเลือกได้
6. ปรึกษาทนายความหรือผู้ซึ่งจะเป็นทนายความเป็นการเฉพาะตัว
7. สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาโดยไม่ชักช้าเกินความจาเป็น
8. สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาต่อหน้าบุคคลนั้น และสิทธิที่จะต่อสู้คดีด้วยตนเอง หรือโดยผ่านผู้ช่วยเหลือทางกฎหมายที่ตนเลือก
9. สิทธิที่จะซักถามพยานซึ่งเป็นปรปักษ์ต่อตน และขอให้เรียกพยานฝ่ายตนมาซักถามภายใต้เงื่อนไขเดียวกับพยานซึ่งเป็นปรปักษ์ต่อตน
10.สิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือจากล่ามโดยไม่คิดมูลค่า หากไม่สามารถเข้าใจหรือพูดภาษาที่ใช้ในศาลได้
11. สิทธิที่จะไม่ถูกบังคับให้เบิกความเป็นปรปักษ์ต่อตนเอง หรือให้รับสารภาพผิด
.
ถ้าพร้อมแล้ว ไปต่อกันเลย
——
ขั้นที่สาม - ชั้นศาลชั้นต้น
ขั้นตอนแรก คุณจะต้อง “นัดคุ้มครองสิทธิ” ก่อน เพื่อให้ผู้พิพากษาได้สอบถามข้อเท็จจริง อธิบายข้อกฎหมาย รูปเรื่องความเป็นมาแห่งคดีให้กับจำเลยได้เข้าใจ ก่อนที่จำเลยจะตัดสินใจรับสารภาพหรือประสงค์จะต่อสู้คดี
ขั้นตอนที่สอง นัดพร้อมและสอบคำให้การตรวจพยานหลักฐาน โดยศาลจะนัดให้จำเลยและโจทก์มาพร้อมกันที่ศาลเพื่อแถลงพยานเอกสารและบุคคลเพื่อทำการนัดสืบพยานต่อไป
ขั้นตอนที่สาม สืบพยานโจทก์และจำเลย ขั้นตอนนี้คือการสืบพยานบุคคลของโจทก์และจำเลย โดยที่ทั้งสองฝ่ายสามารถถามค้านได้
อาจมีนัดไต่สวน ในกรณีที่มีการไต่สวนเรื่องอื่นๆ เช่น ไต่สวนขอปล่อยตัวชั่วคราว ไต่สวนขอถอนประกัน เป็นต้น
ขั้นตอนสุดท้ายของศาลชั้นนี้ คือการมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ตามประมวลกฎหมาย วิ.อาญา ระบุว่าศาลต้องอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยฟัง จำเลยจึงต้องมาฟังตามวันเวลาที่ศาลนัด ถ้าจำเลยไม่มาฟังและศาลมีเหตุสงสัยว่าจำเลยจงใจหลงหนี หรือจงใจไม่มา ศาลจะออกหมายจับจำเลย ถ้ายังไม่ได้ตัวจำเลยมาภายใน 1 เดือน นับแต่วันออกหมายจับ ศาลอาจอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นลับหลังจำเลยได้ โดยถือว่าจำเลยได้ฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นแล้ว
Note
ถึงบางกรณีที่ศาลสั่งพิจารณาโดยลับ เช่นที่ผ่านมาคดีที่ถูกกล่าวหาว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ศาลได้สั่งพิจารณาลับหลายคดี โดยเฉพาะในช่วงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หลังการรัฐประหาร หรือช่วงถ่ายโอนคดีไปยังศาลอาญาหลังยุคคสช. โดยอ้างว่า การพิจารณาคดีอย่างเปิดเผยอาจส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
พ.ศ. 2557 คือช่วงปีที่มีการพิจารณาคดีโดยลับในชั้นศาลทหาร โดยให้เหตุผลว่าเพราะมีเนื้อหาที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ และศีลธรรมอันดีของประชาชน ส่วนคดีอื่น ๆ ที่ศาลอนุญาตให้ญาติหรือผู้สังเกตการณ์เข้าห้องพิจารณาคดี ศาลก็ไม่อนุญาตให้มีการจดบันทึก รวมถึงมีระเบียบไม่ให้เขียนภาพบรรยากาศขณะพิจารณาคดีอีกด้วย
จากประกาศ คสช. ฉบับที่ 37/2557 ได้มีการระบุให้ศาลทหารพิจารณาคดีของพลเรือนในความผิด 4 ฐาน ได้แก่ ความผิดต่อพระมหากษัตริย์ ความผิดต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ความผิดเกี่ยวกับอาวุธ และความผิดจากการฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่ง
คดีของอัญชัญ ปรีเลิศ ในปี 2563 คือหนึ่งในคดีที่ถูกพิจารณาโดยลับ แม้จะเป็นการพิจารณาโดยศาลอาญา โดยระบุว่า เนื่องจากคดีนี้เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในการพิจารณาคดีอาจส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เช่นเดียวกับศาลทหาร
ปี 2565 ตัวเลขของการพิจารณาโดยลับคือ 3 คดี โดยเป็นคดีในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่อนุญาตให้เฉพาะคู่ความเข้าร่วมในการพิจารณา ไม่อนุญาตให้ญาติของจำเลย, ผู้สังเกตการณ์หรือบุคคลภายนอกเข้าฟังการพิจารณา
แม้ว่าตั้งแต่ช่วงปี 2563 ตัวเลขของคดีที่ถูกพิจารณาโดยลับจะไม่ได้สูงนัก เมื่อเทียบกับช่วงรัฐประหาร นั่นคือการเข้ามาของ รัฐบาลคสช. ที่มีการสั่งพิจารณาคดีโดยลับโดยการพิจารณาคดีโดยศาลทหาร แต่ตามหลักสิทธิมนุษยชน และมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ วันฟังคำพิพากษา ศาลจะต้องเปิดให้สาธารณะเข้าฟังคำพิพากษาได้ ตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
คดี 6 ตุลา คืออีกหนึ่งคดีที่ผู้ต้องหาถูกพิจารณาโดยศาลทหาร และตามธรรมนูญศาลทหารที่บังคับใช้อยู่ ณ ขณะนั้น ในศาลทหาร “ในเวลาไม่ปกติ” ยังมีการพรากสิทธิในการแต่งตั้งทนายอีกด้วย หากถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามมาตรา 107-129 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และคดีที่มีข้อหาว่ากระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์ ไม่ว่าจะมีข้อหาว่าได้กระทำความผิดอย่างอื่นด้วยหรือไม่ รวมทั้งห้ามอุทธรณ์ หรือฎีกาด้วย
โดย “ในเวลาไม่ปกติ” นั้นหมายถึง ในเวลาที่มีการรบหรือสถานะสงครามหรือได้ประกาศใช้กฎอัยการศึก
.
อ่านต่อ https://doct6.com/archives/2205
https://www.amnesty.or.th/latest/blog/719/
ขั้นที่สี่ - ชั้นศาลอุทธรณ์
Note: การอุทธรณ์คือการยื่นคำร้องต่อศาลสูงคัดค้านคำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลชั้นต้น
- ถ้าเป็นคดีที่ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์หรือฎีกา โจทก์และจำเลยมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ ภายใน 1 เดือนนับตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษา
- หากไม่ยื่นอุทธรณ์ นั่นคือคดีถึงที่สิ้นสุดแล้ว
ขั้นที่ห้า - ชั้นศาลฎีกา
หากต้องการสู้คดีต่อจากศาลอุทธรณ์ คุณต้องการยื่นฎีก
ศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลยุติธรรมชั้นสูงสุด มีเขตอำนาจทั่วประเทศ มีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษา
ขอขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก
https://tlhr2014.com/archives/46426
https://tlhr2014.com/archives/16032
https://tlhr2014.com/archives/11801
ติดตามเรื่องราวและข่าวสารเรื่องสิทธิ ๆ ได้ก่อนใคร
แอด LINE @AmnestyThailand
สนับสนุนการทำงาน รับจดหมายข่าวผ่านทางอีเมลของเรา ด้วยการเป็นสมาชิกแอมเนสตี้
ที่ https://shop.amnesty.or.th
#HumanRightsGeeksCommunity