ลองวาดฝันชีวิตอีก 8 ปีข้างหน้าสำหรับคนที่อายุ 70 ปี นี่คงเป็นช่วงอายุแห่งการวางแผนการใช้ชีวิตให้สอดรับกับร่างกายที่โรยราลงตามวัย ต่อจากนี้จะหาเงินอย่างไร จะฝากเรือนร่างและหยุดมันไว้ ณ สถานที่ใดเพื่อให้บั้นปลายชีวิตมีความสุขสงบที่สุด

อันที่จริง เมื่อ 8 ปีที่แล้วของอัญชัญ ปรีเลิศ ก็ควรจะเป็นช่วงเวลาที่เธอได้ออกแบบบั้นปลายชีวิตของตัวเองเช่นเดียวกัน เพราะถัดจากปี 2558 ไปอีกเพียงปีกว่า อัญชัญก็จะเกษียณอายุข้าราชการจากกรมสรรพากร มีตำแหน่งสุดท้ายคือข้าราชการระดับสูง และใช้ชีวิตอย่างมั่นคงด้วยเงินบำนาญ
กระทั่งช่วงรัฐประหารปี 2557 ในห้วงของการประกาศใช้กฎอัยการศึก หญิงสูงอายุคนนี้ก็กลายเป็นภัยความมั่นคงของรัฐ ตำรวจและทหารบุกจับกุมอัญชัญภายในบ้านพัก ด้วยข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้เผยแพร่เสียงของนักจัดรายการวิทยุใต้ดินนามแฝงว่า ‘บรรพต’ ที่ถูกชี้ว่ามีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นพระมหากษัตริย์จำนวน 19 คลิป ทำให้เธอกลายเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา ม. 112 ไปเสียดื้อๆ แม้จะเป็นเพียงการแชร์คลิปเสียงเท่านั้น
ภายใต้การบริหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนและเอาทหารมาแทนที่ คดีของอัญชัญต้องเข้าสู่การพิจารณาของศาลทหาร ทั้งๆ ที่ตัวเธอเป็นพลเรือน ก่อนจะโอนย้ายคดีไปยังศาลอาญา แม้จะมีความพยายามในการขอประกันตัวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่เป็นผล ท้ายที่สุดถูกตัดสินจำคุก 87 ปี ลดครึ่งหนึ่งเหลือ 43 ปีกับอีก 6 เดือน เพราะเธอรับสารภาพ
โทษที่หนักกว่าคดี ‘ฆ่าคนตาย’ หลายคนเปรยว่า คดีของเธอคือคดีประวัติศาสตร์ที่ได้รับโทษสูงสุดในความผิดอาญา ม. 112 แม้ในวันนี้อิสระของอัญชัญที่เคยถูกพันธนาการในกรงขังจะหวนคืนอีกครั้งหลังได้รับพระราชทานอภัยโทษ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า 8 ปี 4 เดือน 19 วันในเรือนจำได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตของเธอไปอย่างสิ้นเชิง
1
20 พฤษภาคม 2557 กองทัพที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอบสนองขบวนการ ‘Bangkok Shutdown’ ด้วยการประกาศกฎอัยการศึก ทหารเข้าควบคุมสถานีโทรทัศน์ ปิดกั้นสื่อ อ้างว่า ‘เพื่อรักษาความสงบ’ จากเหตุผลได้กลายเป็น ‘ชื่อ’ ของคณะรัฐประหารว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มีอำนาจล้นฟ้า ยุบรัฐบาลและรัฐสภา สั่งห้ามชุมนุมทางการเมือง คุมสื่อ กระทั่งคุมประชาชนเข้าค่ายทหาร ในเวลาเดียวกัน กระบวนการยุติธรรมหยุดชะงัก แทนที่ด้วยมาตรา 44 กฎหมายพิเศษที่ทุกคนต้องคิดตามทหาร ส่วนคนที่ยืนฝั่งอยู่ตรงข้ามก็ถูกจับกุม ถูกควบคุมตัว ถูกข่มขู่ คุกคาม กระทั่งถูกทรมาน
ในฐานะพลเรือนที่ติดตามสถานการณ์บ้านเมืองอย่างใกล้ชิด สถานการณ์เช่นนี้ย่อมไม่ใช่สถานการณ์ปกติสำหรับประชาชนในประเทศที่อ้างตนเป็นประชาธิปไตย รวมถึงอัญชัญที่เริ่มตั้งคำถามกับการเมืองในประเทศ และไปแสวงหาคำตอบผ่านการฟังรายการวิทยุวิพากษ์การเมืองชื่อ ‘บรรพต’ ตั้งแต่ปี 2555 และแชร์ในสิ่งที่เธอเห็นตรงกัน อันเป็นสิ่งที่กระทำได้ในประเทศประชาธิปไตย แต่เพราะตอนนั้นประเทศไม่ใช่ประชาธิปไตย จึงอาจทำให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น

“เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2558 มีตำรวจนอกเครื่องแบบกับทหารมาที่บ้านที่ตลิ่งชัน เราก็ตกใจว่าเขามาทำไมกันเยอะแยะ นี่มันคดีอะไรกันนักหนาถึงถือปืนเข้ามาคุมทั้งท้ายซอย-ต้นซอยจนชาวบ้านพากันตกใจ มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งถามเราว่า คุณรู้ไหมว่าผมมาเรื่องอะไร ตอนนั้นเราก็พอรู้แล้วว่าน่าจะเป็นเรื่องของบรรพตแน่ๆ”
บ้านของเธอถูกค้น อุปกรณ์สื่อสารทั้งโทรศัพท์มือถือและโน้ตบุ๊กถูกยึดไป ส่วนตัวของอัญชัญถูกควบคุมไปยังที่หลับนอนแห่งใหม่ในค่ายทหาร เป็นที่อยู่ที่ปิดทึบ มองไม่เห็นสิ่งใดจากโลกภายนอกแม้แต่แสงอาทิตย์ แม้ว่าในเวลาต่อมาอัญชัญจะได้ออกจากห้องที่มืดสนิทเพื่อเดินทางไปสอบสวนยังศาลทหาร แต่ดวงตาของเธอก็ถูกบังคับให้มองไม่เห็นด้วยการถูกปิดตาและคลุมถุงดำ น่าคิดว่า หากพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและอุ้มหายเกิดขึ้นในตอนนั้น การกระทำของเจ้าหน้าที่ต่ออัญชัญจะเข้าข่ายหรือไม่
“ห้องสอบสวนจะมีโต๊ะรูปตัวยู เราอยู่ตรงกลางเพื่อตอบคำถาม ตอนที่เราสัมภาษณ์ก็ถามกลับไปว่า ทหารตำรวจยังแชร์กันเยอะแยะ มีคนเขาก็แชร์กันทั่วราชอาณาจักร ทำไมฉันต้องโดนอยู่คนเดียว ณ วันนั้นก็โดนตัดสิทธิการประกันตัว เลยได้เข้าไปอยู่ในทัณฑสถานหญิงกลางตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2558” อัญชัญเล่า
2
เมื่อถูกปฏิเสธการประกันตัว อัญชัญจึงต้องเข้าสู่การถูกจองจำในทัณฑสถานอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง สภาพของเรือนจำมีแต่ความแออัดถึงขั้นที่ต้องนอนโดยเท้าชิดติดกัน
“มันเหมือนกับนรก” เธอเปรียบเปรย ก่อนเล่าว่ากิจวัตรประจำวันของเธอภายในเรือนจำนั้นดำเนินไปด้วยความจำเจ ในวัย 59 ปี เธอต้องตื่นนอนราวตี 4 เก็บที่หลับนอน และใช้ชีวิตในทัณฑสถานที่แม้จะอยู่ในสภาพที่แออัดก็ยังคงเติมนักโทษเข้ามาเรื่อยๆ จนต้องนอนกันเบียดเสียด แม้แต่การอาบน้ำก็ต้องแย่งกัน
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมีเวลาจำกัด มันเร่งรีบ ถึงเวลากินข้าวก็มานั่ง ถึงเวลาไปทำงานก็ไป คนไม่มีงานทำอย่างคนแก่ๆ คุณก็นั่งไปอย่างนั้นจนกว่าเขาจะปล่อย”
ด้วยเหตุผลของอายุที่มากกว่าใครๆ ในเรือนจำ อัญชัญจึงถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มผู้ต้องขังสูงวัย กิจวัตรของเธอจึงไม่มีอะไรนอกจากการ ‘นั่ง’ มองทุกสิ่งเคลื่อนผ่านไปตามกาลเวลา หรือเข้าไปหาหนังสือโหราศาสตร์แก้เบื่อในห้องสมุดแทนการนั่งเฉย
“คิดดูสิว่ามันทรมานขนาดไหนที่ต้องนั่งอยู่อย่างนั้น บางคนเขาไม่มีอะไรเลยก็ต้องนั่งอยู่อย่างนั้น นั่งอยู่ในที่ที่เขาจัดให้นั่ง บางทีนั่งไม่ไหวก็ต้องนอนลงไปตรงนั้น ชีวิตจำเจ ทั้งกิน ทั้งอยู่ ทั้งนอนอยู่ในสภาพเดิมๆ คนไม่อดทนอาจจะเป็นบ้าได้เลย มีคนจิตหลุดกันเยอะถึงขั้นต้องกินยา พวกเด็กๆ สาวๆ กินยาจิตเภทกันทั้งนั้น เราใช้ความอดทนมากๆ จะไม่มีปัญหากับใคร เพื่อรอวันได้รับอิสระกลับมา เราจะต้องมีลมหายใจออกไปข้างนอกให้ได้”
เพราะเป็นผู้ต้องขังทางการเมือง ส่งผลให้อัญชัญถูกจับจ้องด้วยสายตาของเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังอยู่เสมอ การสื่อสารกับใครก็ตามจึงต้องทำได้อย่างลับๆ แม้กระทั่งการส่งจดหมายยังต้องผ่านการตรวจสอบหลายตากว่าจะอนุมัติ หากโชคร้ายก็ต้องกลับมาแก้ไขข้อความเพื่อไม่ให้ติดขัดในการตรวจสอบ ในขณะที่การใช้ชีวิตก็ต้องพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ขัดแย้งกับใคร
“ในสถานการณ์นั้น เราไม่อยากสร้างปัญหา นักโทษทางการเมืองเขาพยายามไม่ให้เจอกัน เหมือนกีดกัน มีคนจับตามอง กลัวเราจะคุยอะไร ก็ต้องแอบคุยกัน มีครั้งหนึ่งน้องๆ ที่อยู่ข้างในรู้จักป้าแต่ป้าไม่รู้จักเขา เขาเดินมาคุยด้วย ผู้คุมที่อยู่ตรงนั้นถามเลยว่าคุยอะไรกัน ก็ถามกลับว่าทำไมจะคุยไม่ได้ เขาเดินมาคุยกับฉันเอง ก็เถียงไป แค่คุยกันก็ไม่ได้ เสรีภาพไม่มีเอาเสียเลย”
เวลาล่วงเลยมาเกือบ 4 ปี อัญชัญได้รับการประกันตัวในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561 ด้วยการวางหลักทรัพย์ 500,000 บาท เงินก้อนนี้ทำให้ความเป็น ‘ประชาชน’ ของอัญชัญกลับคืนมาอีกครั้ง เธอมีโอกาสได้ลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งปี 2562 และมองเห็นมูฟเมนต์ทางการเมืองบนท้องถนนที่เปลี่ยนตัวแสดงจากเดิมที่เป็นคนรุ่นเดียวกับเธอ กลายเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่มองเห็นความไม่ปกติของประเทศ
จากนั้น อิสรภาพของอัญชัญก็เดินทางมาถึงจุดตัดอีกครั้ง เมื่อศาลอาญาพิพากษาจำคุก 87 ปี ในคดีอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2564 ด้วยอัตราโทษเท่านี้ อัญชัญเข้าใจดีว่าการสู้ต่อโดยไม่รับสารภาพอาจมีปลายทางคือความผิดหวัง ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการรับสารภาพเพื่อให้ได้รับโทษที่เบาลงกึ่งหนึ่งเหลือ 43 ปี 6 เดือน
“เขา (ศาล) พูดเบา เราฟังไม่ค่อยได้ยินหรอก แต่รู้ว่าโทษของเราเขาลดให้เหลือ 29 ปี 174 เดือน ป้าไม่คิดอะไรมาก ในเมื่อเราต้องโดนอยู่แล้ว” เธอกล่าว
แม้จะบอกว่าตนเองรู้สึกเฉยๆ แต่การได้ใช้ชีวิตในฐานะประชาชนธรรมดาย่อมดีกว่าการอยู่ในฐานะนักโทษการเมือง การกลับเข้าไปในพื้นที่ที่เธอเปรียบเปรยว่าเหมือนนรกอีกครั้งส่งผลให้เผชิญกับความเครียดจนสุขภาพย่ำแย่และต้องพึ่งยารักษาอาการ
“ตอนเข้าเรือนจำครั้งแรกไม่ได้กินยาเลยนะ แต่พอได้ประกันตัวแล้วกลับเข้าไปอีกครั้ง ความเครียดมันก็เกิดขึ้นอีก เลยต้องกินยาความดัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันนี้”
3
“มันสู้ข้างนอกไม่ได้นะ ใครบอกว่าอยู่แล้วไม่ต้องทำอะไร อยู่ฟรี ไม่ต้องเสียค่าน้ำค่าไฟ ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่อยู่ เสรีภาพมันไม่มี อิสระมันไม่มี มีแต่กฎเกณฑ์ที่เขากดเอาว่าคุณต้องอยู่อย่างนี้นะ”
“ดีใจที่ได้อิสรภาพกลับมา จะไปไหนมาไหนก็สบายใจ ไม่ถูกจำกัด ไม่ต้องถูกบังคับ ไม่ต้องถูกกดขี่ ถูกข่มเหง ความเป็นมนุษย์ของเรามันกลับมาแล้ว”
หลังอยู่ในเรือนจำ 8 ปี 4 เดือน อัญชัญได้รับพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2568 จึงได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ตอนนี้เธอมีอิสระ กลับมาเป็นประชาชนที่มีสิทธิเสรีภาพเฉกเช่นที่เคยเป็นและควรเป็นในประเทศประชาธิปไตย ถ้านึกย้อนกลับไป อัญชัญไม่เคยถูกลืมจากหน้าประวัติศาสตร์การเมือง และยังคงมีกิจกรรมเรียกร้องให้เกิดความยุติธรรมกับเธอมาโดยตลอด โดยเฉพาะการเชิญชวนให้ประชาชนเขียนจดหมายถึงอัญชัญส่งเข้าไปในเรือนจำของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ภายใต้แคมเปญ ‘เขียน เปลี่ยน โลก (Write for Rights)’ ที่ทำให้อัญชัญยังคงรับรู้ว่ายังมีคนรอเธอข้างนอกเสมอ
“ป้าขอบคุณทุกคนที่เขียนจดหมายถึงป้า ให้กำลังใจ ทำให้เรารู้สึกว่าแม้จะอยู่ในนั้น แต่เราไม่ได้โดดเดี่ยว ยังมีคนให้กำลังใจ ยังให้ความสำคัญกับเรา แล้วก็ทำให้เรารู้สึกภูมิใจ ขอบคุณทุกกำลังใจที่เขียนถึงป้า”
ในวันที่อัญชัญก้าวเท้าออกมายืนอยู่หน้าเรือนจำ ประชาชนห้อมล้อมตัวเธอด้วยรอยยิ้ม การโผกอด และมอบดอกไม้ คือสัญลักษณ์แห่งความยินดีที่ผู้คนมอบให้เธอ

“ไม่คิดเลยนะว่า ณ วันนั้นป้าจะได้ถ่ายรูปเยอะแยะมากมายก่ายกอง ขอบคุณมากๆ”
เธอมองว่าเด็กรุ่นใหม่มีสิ่งที่พวกเขายังต้องสู้ต่อไป อัญชัญกล่าวว่าเสรีภาพในสังคมไทยยังไม่ได้มีหน้าตาแบบที่เธอต้องการ และยังมองเห็นอำนาจที่กักขังเสรีภาพเอาไว้
“8 ปีที่ผ่านมา มองเห็นความเปลี่ยนแปลงไหม” ผู้สื่อข่าวถาม
“ไม่เปลี่ยนเลย ไม่เห็นเปลี่ยนเลย” อัญชัญตอบ ก่อนถามกลับว่า “หนูว่าเปลี่ยนไหม ป้าว่าไม่เปลี่ยนนะ ผู้มีอำนาจก็ยังคุมเหมือนเดิม เขาก็ยังกดเราเหมือนเดิม ป้าว่าแบบนั้นนะ ทุกวันนี้เขาไม่เห็นจัดการกับคดีทางการเมืองเลย ยังคงมีการตัดสิน ยังคงทำให้คนกลัว แบบนั้นมันก็ย่ำอยู่กับที่ มันยังคงไม่ไปข้างหน้า ยังคงวนๆ อยู่อย่างนี้”
“อยากจะบอกกับผู้มีอำนาจให้มองรอบด้าน คิดกันให้ดีๆ คุณจะดึงสถาบันลงมาต่ำทำไม ยิ่งเอา (ม.112) มาใช้มันยิ่งแย่ลงไป ถูกไหม คดีหมิ่นประมาทจะต้องมีเจ้าทุกข์ เจ้าทุกข์ที่ถูกกระทำจริงๆ การเอามาใช้กับคดีทางการเมืองแบบนี้ มันเหมือนกับเชือดไก่ให้ดู บังคับให้กลัว” เธออธิบาย
อันที่จริง ด้วยโทษทางการเมืองทำให้เส้นทางชีวิตของอัญชัญเปลี่ยนไปมาก แบบที่ไม่อาจหวนคืนกลับมาได้ จากความตั้งใจทำงานรับข้าราชการด้วยความฝันที่จะมีชีวิตที่มั่นคงในช่วงบั้นปลายต้องจบลงไปในพริบตา เพราะเธอถูกไล่ออกจากราชการและถูกตัดเงินบำนาญทั้งหมด ทั้งที่เธอไม่ได้ทำผิดในหน้าที่ราชการ
ปัจจุบันจึงต้องสู้ในศาลปกครองเพื่อความหวังเล็กๆ ในบั้นปลายชีวิต คือการได้บำนาญจากหยาดเหงื่อแรงกายในงานราชการที่เธอสมควรได้รับ สำหรับชีวิต ‘อัญชัญ ปรีเลิศ’ ในตอนนี้ หากเปรียบเทียบกับสัตว์เธอเหมือนนกที่บินออกจากกรง อัญชัญได้รับอิสระจากกรงขังในเรือนจำแล้ววันนี้ ทางข้างหน้าคือการใช้ชีวิตในฐานะประชาชนคนหนึ่งในประเทศไทยแห่งนี้

เธอฝันถึงชีวิตที่เรียบง่าย อยากมีร้านเล็กๆ สักร้านหนึ่งที่บ้านของเธอย่านตลิ่งชัน อาจจะเป็นร้านกาแฟบรรยากาศดีๆ มีอาหารจานเดียวขายร่วมด้วย กับบ้านสักหลังอยู่ใกล้กับท่าน้ำ และปัจจุบัน อัญชัญขายน้ำพริกหลากหลายรสชาติ ทั้งในเฟซบุ๊กส่วนตัว และตามงานต่างๆ ด้านสิทธิมนุษยชน และเครือข่ายที่ร่วมทางชีวิตสู้เพื่อสิทธิของเธอมาตั้งแต่อยู่ในเรือนจำ จนถึงวันที่ได้รับอิสรภาพ อัญชัญฝากบอกว่า “ขอบคุณจริงๆ ที่เคียงข้างกัน”
“อยากใช้ชีวิตในช่วงที่เหลืออยู่ ป้าไม่ต้องการอะไรมากมาย แค่อยากให้มันมีชีวิตดำรงอยู่ต่อไป ไม่ต้องหรูหราฟู่ฟ่า เพียงขอแค่ไม่อดอยาก ให้มันมีรายได้เข้ามาบ้างเพื่อบำรุงเลี้ยงชีพของเราได้แค่นั้น เราก็อยู่กับคนที่เรารักแค่นั้นเอง ไม่ได้มากมายอะไรเลย”
ในวัยสูงอายุ บันปลายชีวิตหลังจากนี้ เธอยังมีความหวังเล็กๆ เป็นความหวังที่จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงสังคม สิทธิ เสรีภาพ ประชาธิปไตย ซึ่งเธอมองว่า ‘กาลเวลา’ จะเป็นสมการหรือสูตรหนึ่ง ของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ และมีคนรุ่นใหม่เป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนให้มันเป็นจริง
“ฝากคนรุ่นหนูด้วยนะ ต่อไปเป็นรุ่นของพวกหนูแล้วที่จะต้องแบกรับภาระนี้ไป ถ้าเราอยากให้ลูกหลานสบาย หนูก็ต้องสู้ๆ ป้าจะคอยมองดู” อัญชัญกล่าวทิ้งท้าย




