การดำเนินคดีต่อเด็กจากการแสดงออกทางการเมืองขัดแย้งหลักสิทธิมนุษยชนสากลโดยตรง โดยเฉพาะหลักการว่าด้วยสิทธิเด็กที่ประเทศไทยมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตามภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) การใช้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาเพื่อตอบโต้การแสดงออกของเด็ก ไม่เพียงเป็นการละเมิดสิทธิในเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมโดยสงบ นอกจากนี้ รายงานการตรวจสอบของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) 1 ยังชี้ให้เห็นรูปแบบการละเมิดสิทธิของเด็กอย่างต่อเนื่อง และสะท้อนปัญหาเชิงระบบไปจนถึงการปฏิบัติที่ไม่คำนึงถึงหลักผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก
หลักการผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก (CRC มาตรา 3): รากฐานสำคัญภายใต้อนุสัญญาสิทธิเด็ก
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กกำหนดให้ “ผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก” ถือเป็นหลักการพื้นฐานที่ยึดเป็นกรอบที่จะตีความกฎหมายและดำเนินการทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเด็ก หลักการนี้มีความครอบคลุมในหลายมิติในการตัดสินใจที่เน้นการคุ้มครองสิทธิในชีวิตและการอยู่รอด สิทธิในการได้รับการปกป้องคุ้มครอง สิทธิในการพัฒนา และสิทธิในการมีส่วนร่วมของเด็ก การตีความหลักผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก ครอบคลุมไปถึงการฟื้นฟูพัฒนาการ การศึกษา และสุขภาพจิตของเด็กเป็นลำดับแรกในการตัดสินใจทางกฎหมายใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพวกเขา 2
โดยเฉพาะในบริบทของเด็กนักปกป้องสิทธิฯ นั้น คณะกรรมการสิทธิเด็กได้ให้คำแนะนำว่า หลักการ “ผลประโยชน์สูงสุด” ไม่ควรถูกจำกัดอยู่เพียงแค่เรื่องสวัสดิการ หรือการปกป้องคุ้มครองจากอันตรายเท่านั้น แต่ต้องครอบคลุมถึงสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองของเด็ก ตลอดจนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งรวมถึงสิทธิในการเสาะหา การรับข้อมูล และการติดต่อสื่อสารข้อมูลต่างๆ อีกทั้งสิทธิในการรวมกลุ่ม และสิทธิความเป็นส่วนตัว การขยายขอบเขตการตีความนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมากโดยเฉพาะเด็กนักปกป้องสิทธิฯ เนื่องจากรัฐภาคีมักใช้ความกังวลเกี่ยวกับการปกป้องคุ้มครองหรือสวัสดิการของเด็กเป็นข้ออ้างในการจำกัดสิทธิในการแสดงออกและการรวมกลุ่มของเด็ก 3
เมื่อมีการพิจารณามาตรการทางกฎหมายใดๆ เช่น การดำเนินคดี หรือการนิรโทษกรรม การตัดสินใจจะต้องมุ่งเน้นไปที่การฟื้นฟูอนาคตของเด็ก และการลดผลกระทบจากการเข้ามาเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม การดำเนินการใดที่ทำให้เด็กต้องเผชิญกับความเครียดทางจิตใจ การหยุดชะงักทางการศึกษา หรือการถูกคุมขัง ย่อมขัดแย้งกับหน้าที่หลักของรัฐในการประกันสิทธิในการอยู่รอดและการพัฒนาของเด็ก
การนิรโทษกรรมจึงเป็นกลไกที่จำเป็นในการลดผลกระทบเชิงลบและฟื้นฟูสภาวะที่เอื้อต่อการพัฒนาที่เหมาะสมตามวัยของเด็ก
การที่รัฐใช้ความรุนแรงหรือกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่รุนแรงต่อเด็กจากการแสดงความคิดเห็นจึงถือเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงและไม่สอดคล้องกับ “หลักประโยชน์สูงสุดของเด็ก” สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งเชิงระบบในการประยุกต์ใช้หลักการนี้ในทางปฏิบัติ
สิทธิในการมีส่วนร่วม การแสดงออก และการชุมนุมของเด็ก (CRC มาตรา 12, 13, 15)
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กรับรองอย่างชัดเจนว่า เด็กทุกคนมีสิทธิมนุษยชนเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ ซึ่งรวมถึงสิทธิที่จะพูดและแสดงความคิดเห็น (มาตรา 12) สิทธิในการแสวงหา รับ และถ่ายทอดข้อมูลข่าวสาร (มาตรา 13) และสิทธิในการรวมกลุ่มและการชุมนุมโดยสงบ (มาตรา 15) การใช้สิทธิเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญของบทบาทเด็กนักปกป้องสิทธิฯ
อย่างไรก็ตาม กสม. ได้พบการละเมิดสิทธิเหล่านี้ในหลายรูปแบบ การละเมิดสิทธิในการแสดงออก การรวมกลุ่ม และการชุมนุมของเด็กนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การใช้กำลังโดยตรงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการข่มขู่คุกคามและการสอดส่อง เช่น การที่เจ้าหน้าที่รัฐนอกเครื่องแบบติดตามนักเรียน และการถูกสืบค้นประวัติและนำไปเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ กสม. วินิจฉัยว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปติดตาม สอดส่อง สอบถามข้อมูล หรือรบกวนพื้นที่ชีวิตส่วนตัวของเด็กจนเกินกว่าเหตุโดยไม่มีเหตุสมควรตามกฎหมาย ถือเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวตามมาตรา 16 ของอนุสัญญาสิทธิเด็ก
การสืบค้นประวัติและนำไปเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ (Doxxing) เป็นกลยุทธ์การตอบโต้เชิงดิจิทัลที่มีเป้าหมายเพื่อทำลายชื่อเสียง (Defamation) ของเด็กในฐานะนักกิจกรรม และสร้างความหวาดกลัว (Intimidation) ให้แก่ครอบครัวและชุมชน การคุกคามนี้เป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว (มาตรา 16) และสิทธิในการแสดงออก (มาตรา 13) ไปพร้อมกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อบั่นทอนความน่าเชื่อถือของการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง การคุกคามในโลกออนไลน์นี้สร้างความเสียหายทางจิตใจอย่างต่อเนื่อง และกระทบต่อเครือข่ายทางสังคมและพัฒนาการทางจิตใจในระยะยาว ซึ่งเป็นการขัดขวางการฟื้นฟูพัฒนาการอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ การตัดสินใจเดินหน้าดำเนินคดีอาญากับเด็กที่กระทำความผิดภายใต้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ โดยเฉพาะหลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง รวมไปถึงการ การดำเนินคดีหลายคดีซ้ำซ้อน รวมถึงข้อหาที่มีโทษรุนแรง เช่น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมาตรา 116 ทำให้เด็กต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญาซ้ำเรื่อยๆ การดำเนินคดีเหล่านี้ก่อให้เกิด ความเสียหายต่อสุขภาพจิตจากการดำเนินคดีซ้ำซ้อนถือเป็นการปฏิบัติที่ไม่สอดคล้องกับหลักประโยชน์สูงสุดของเด็ก และไม่คำนึงถึงผลกระทบจากการดำเนินคดี ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบทางด้านสุขภาพจิตและการฟื้นฟูพัฒนาการของเด็กจากการถูกดำเนินคดีอาญา 4
สิทธิในการได้รับการปกป้องคุ้มครองและการปฏิบัติอย่างเหมาะสมในกระบวนการยุติธรรม (CRC มาตรา 37, 39)
อนุสัญญาฯ กำหนดให้รัฐต้องปกป้องคุ้มครองเด็กจากอันตราย (มาตรา 19) และส่งเสริมการฟื้นฟูทั้งทางร่างกายและจิตใจ (มาตรา 39) การดำเนินการใดที่ทำให้เด็กต้องเผชิญกับความเครียดทางจิตใจหรือการถูกคุมขังย่อมขัดแย้งกับหน้าที่หลักของรัฐ อย่างไรก็ตาม รายงานการตรวจสอบการละเมิดสิทธิของ กสม. พบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังเข้าจับกุมเด็กด้วยความรุนแรงเกินกว่าเหตุเป็นจำนวนมาก โดยไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาหรือสิทธิตามกฎหมายอย่างครบถ้วน และไม่ได้รับสิทธิในการพบผู้ปกครองหรือปรึกษาทนายความ ขณะควบคุมตัว พบการใช้เครื่องพันธการ คือ สายรัดพลาสติก ในการจับกุมและคุมตัวเด็ก และพบการควบคุมตัวเด็กปะปนกับผู้ใหญ่ โดยไม่มีการแยกพื้นที่ควบคุมตัวเด็กอย่างเป็นสัดส่วน เป็นการเฉพาะ 5
การปฏิบัติงานที่กล่าวมาข้างต้น ละเมิดสิทธิที่จะไม่ถูกละเมิดต่อชีวิตและการทรมาน (มาตรา 37) อย่างร้ายแรง โดยเฉพาะการใช้กำลังเกินกว่าเหตุและเครื่องพันธนาการ ขัดต่อการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรมและเคารพศักดิ์ศรี การไม่แจ้งสิทธิและการเข้าถึงทนายความ ขัดต่อสิทธิในการได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายและยุติธรรม การควบคุมตัวปะปนกับผู้ใหญ่ ขัดต่อข้อกำหนดให้มีการแยกตัวจากผู้ใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น การทำให้เด็กเผชิญกับความเครียดทางจิตใจยังขัดต่อหน้าที่ของรัฐในการส่งเสริมการฟื้นฟูทั้งทางร่างกายและจิตใจ (มาตรา 39)
ขณะเดียวกัน กสม. ได้วินิจฉัยอย่างชัดเจนว่าการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการจับกุมและควบคุมตัวเด็กหลายกรณีไม่สอดคล้องกับกรอบการปฏิบัติงานเพื่อคุ้มครองสิทธิของเด็กตาม พ.ร.บ. ศาลเยาวชนฯ 2553 และไม่สอดคล้องกับ “หลักผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก” กสม. ระบุว่า การที่เจ้าหน้าที่ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ ไม่แจ้งสิทธิในการจับกุม และใช้สายรัดพลาสติก (เครื่องพันธนาการ) รัดข้อมือเด็กถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการคุ้มครองเด็ก
มาตรฐานกระบวนการยุติธรรมตามข้อคิดเห็นทั่วไป ฉบับที่ 24 (2019) ของคณะกรรมการสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ เป็นการตีความสิทธิเด็กในกระบวนการยุติธรรม ในเอกสารตามความเห็นทั่วไปฉบับดังกล่าว ระบุถึงการเรียกร้องให้รัฐภาคีเปลี่ยนจากการลงโทษไปสู่การฟื้นฟู 6 โดยเน้นย้ำการขยายการผันคดี (diversion) ออกจากกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นทางการและส่งเสริมมาตรการที่ไม่ใช่การคุมขังแทนการดำเนินคดีทางอาญา นอกจากนี้ความเห็นทั่วไปฉบับนี้ยังส่งเสริมให้รัฐภาคีพิจารณาการกำหนดอายุขั้นต่ำในการรับโทษอาญา 7
การผันคดี
การผันคดีคือมาตรการที่ช่วยลดตราบาปทางสังคมและช่วยให้เด็กกลับคืนสู่สังคมได้ง่ายขึ้น ระบบกฎหมายภายในประเทศหลายแห่ง รวมทั้งพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวฯ ได้ระบุถึงกลไกผันคดีหลายรูปแบบ เช่น การเปรียบเทียบปรับ การฟื้นฟูสมรรถภาพ การสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ หรือการจัดประชุมกลุ่มครอบครัวและชุมชน มาตรการเหล่านี้ควรถูกนำไปใช้ตั้งแต่ชั้นตำรวจหรืออัยการเพื่อลดการเข้าถึงกระบวนการศาลให้ได้มากที่สุด
พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 ระบุถึงมาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 86 อย่างไรก็ตามการเข้าสู่มาตรการพิเศษ มีเงื่อนไขคือต้องกระทำความผิดที่กำหนดให้มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หากมีคุณสมบัติครบถ้วน เช่น ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน และสำนึกในการกระทำผิด โดยศาลอาจสั่งให้มีแผนแก้ไข บำบัด ฟื้นฟูแทนการดำเนินคดี หากปฏิบัติตามแผนครบถ้วน ศาลจะจำหน่ายคดีชั่วคราว 8
อย่างไรก็ตาม เด็กที่ต้องเข้าสู่มาตรการพิเศษ ต้องแสดง “ความสำนึกผิด” ต่อการกระทำของตนด้วยการรับสารภาพ ซึ่งคำสารภาพถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานในกระบวนการพิจารณาคดีได้ ในบางกรณีในการจัดทำแผนฟื้นฟูของเด็ก ความคิดเห็นของเด็กก็ไม่ถูกนำมาพิจารณา และนำมาสู่มาตรการพิเศษที่ไม่เหมาะสมและไม่สอดคล้องกับหลักประโยชน์สูงสุดของเด็ก หรือในหลายกรณี เด็กเลือกเข้าสู่มาตรการพิเศษ แต่ก็ยังถูกคุมขังซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมมาตรการพิเศษ เช่นกรณีเด็กที่ถูกดำเนินคดีตามประมวลอาญามาตรา 112 9
แม้ว่าประเทศไทยจะมีการกำหนดมาตรการพิเศษเพื่อนำเด็กออกจากกระบวนการยุติธรรม แต่ในทางปฏิบัติยังพบว่า เด็กจำนวนมาก โดยเฉพาะในคดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมและการแสดงออกทางการเมือง ยังคงถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญา การบังคับใช้มาตรการพิเศษจึงยังไม่สอดคล้องกับความเห็นทั่วไปฉบับที่ 24 ซึ่งมุ่งเน้นให้การดำเนินคดีต่อเด็กเป็นทางเลือกสุดท้าย และให้การฟื้นฟูเป็นหัวใจของกระบวนการยุติธรรมเด็ก
การนิรโทษกรรม ในฐานะเครื่องมือในการคืนความยุติธรรมและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
เมื่อรัฐดำเนินคดีต่อผู้คนจาก “การแสดงออกทางความคิด” การนิรโทษกรรมคือเครื่องมือสำคัญในระดับนโยบายที่ช่วย “ยุติคดี” และ “คืนสิทธิ” ให้กับผู้ที่ถูกดำเนินคดีจากการใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมและแสดงความคิดเห็นทางการเมือง มาตรการนิรโทษกรรมทำให้ผู้ถูกดำเนินคดีไม่ต้องเผชิญกระบวนการศาลที่ยืดเยื้อ และไม่ต้องมีประวัติอาชญากรรมติดตัว ซึ่งอาจส่งผลต่ออนาคต การคืนสิทธิเหล่านี้คือการฟื้นฟูศักดิ์ศรีของประชาชน รวมถึงเด็กที่ใช้ออกมาใช้สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
ในรายงานตรวจสอบการละเมิดสิทธิต่อเด็ก กสม. ได้เสนอให้มีการตรากฎหมาย นิรโทษกรรมและยุติการดำเนินคดีกับเด็ก ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดจากการแสดงออกทางการเมืองในช่วงเวลาที่ผ่านมา กสม. วินิจฉัยอย่างชัดเจนว่า การที่รัฐยังคงเดินหน้าดำเนินคดีอาญาต่อเด็กในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หรือกฎหมายอื่น ๆ หลังจากสถานการณ์วิกฤตคลี่คลาย ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลัก “ผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก” อย่างร้ายแรง
การดำเนินคดีเช่นนี้ไม่เพียงสร้างภาระทางกฎหมายที่ยืดเยื้อ แต่ยังส่งผลกระทบต่อพัฒนาการและสุขภาพจิตของเด็กอย่างต่อเนื่อง การนิรโทษกรรมหรือการยุติคดีจึงถือเป็นมาตรการเยียวยาเชิงสัญลักษณ์ ที่สำคัญ เพราะเป็นการยอมรับโดยรัฐว่าการดำเนินคดีต่อเด็กจากการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกเป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนและผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก รวมไปถึงการล้างประวัติอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกทางการเมืองในวัยเด็ก ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูพัฒนาการทางสังคม การศึกษา และการกลับคืนสู่ชีวิตปกติ (ตามมาตรา 39 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก) หากไม่มีการนิรโทษกรรม การดำเนินคดีที่ต่อเนื่องจะยิ่งทำร้ายเด็กในระยะยาว ทั้งด้านจิตใจ การศึกษา และโอกาสในชีวิต
นอกจากนี้ การนิรโทษกรรมจึงเป็นการดำเนินการที่จำเป็นอย่างยิ่งในการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างกฎหมายภายในประเทศที่จำกัดสิทธิ กับพันธกรณีสูงสุดของไทยภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ไม่เพียงเท่านั้น การนิรโทษกรรมคดีการเมืองจึงเป็นมากกว่าการยกเลิกโทษ แต่คือการคืนความยุติธรรมให้กับผู้ที่ถูกดำเนินคดีทางการเมือง เป็นการยืนยันว่าการแสดงความคิดเห็น การชุมนุม หรือการมีส่วนร่วมทางการเมือง คือสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐมีหน้าที่ต้องคุ้มครองหรือการมีส่วนร่วมทางการเมือง คือสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐมีหน้าที่ต้องคุ้มครอง ไม่ใช่ลงโทษ
อย่างไรก็ดีกระบวนการนิรโทษกรรมที่สมบูรณ์ตามหลักยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน ต้องไม่หยุดอยู่เพียงแค่การยกเลิกโทษ แต่ต้องมาพร้อมกับ “การรับประกันว่าจะไม่เกิดซ้ำ” ผ่านการปฏิรูปกฎหมายและโครงสร้างทางอำนาจที่เปิดช่องให้เกิดการละเมิดสิทธิ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีใครต้องถูกดำเนินคดีเพียงเพราะใช้สิทธิเสรีภาพของตนอีกต่อไป
ผลกระทบ
ราคาที่เด็กต้องจ่ายเพียงแค่ออกมาใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมแสดงออกทางการเมือง นอกเหนือจากความเสียหายทางกายภาพและจิตใจในระหว่างการชุมนุม การถูกดำเนินคดีทางการเมืองยังสร้างผลกระทบที่เป็นรูปธรรมต่อชีวิตประจำวันและอนาคตของเด็กอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นหลักฐานที่สนับสนุนความจำเป็นเร่งด่วนของการนิรโทษกรรม
การหยุดชะงักทางการศึกษาและโอกาสในอนาคต
กระบวนการยุติธรรมได้เข้าแทรกแซงเส้นทางทางการศึกษาของเด็กหลายรายอย่างร้ายแรง ตัวอย่างเช่น เด็กอายุ 17 ปีที่โดนข้อหา พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ไม่สามารถยื่นใบสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีในรอบโควต้าและพอร์ตโฟลิโอได้ เนื่องจากคดีความยังไม่เรียบร้อย ขณะที่เด็กอายุ 16 ปีที่โดนข้อหา ม. 112 ต้องลาออกจากโรงเรียนปกติไปเรียนในระบบการสอบเทียบแทน เนื่องจากความวิตกกังวลและเวลาที่จะต้องใช้ในการเดินทางไปศาล อัยการ และสถานีตำรวจ
นอกจากผลกระทบในชั้นศาลแล้ว ยังมีการแทรกแซงทางการศึกษาในโรงเรียนด้วยการลงโทษทางการศึกษา เช่น การตัดสิทธิในการศึกษาต่อ การให้คัดข้อความ การเรียกพบเพื่อตักเตือน หรือ การคุมประพฤติของโรงเรียน นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่นักกิจกรรมถูกขึ้นบัญชี “รายชื่อความมั่นคง” (Watch List) ทำให้เสียโอกาสในการเดินทางไปเรียนแลกเปลี่ยนต่างประเทศ เพราะไม่สามารถออกหนังสือเดินทางได้ ตราบใดที่คดียังไม่ถูกตัดสิน ผลกระทบเหล่านี้แสดงให้เห็นว่ากระบวนการทางกฎหมายได้ขัดขวางอนาคตทางการศึกษาของเด็กอย่างรุนแรง 10
ภาระทางใจและสุขภาพจิต
การถูกคุกคามและดำเนินคดีส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเด็กอย่างหนัก ข้อมูลยืนยันว่านักกิจกรรมเด็กหลายรายเกิดความหวาดกลัว ระแวง โกรธ และหงุดหงิดจากการถูกคุกคาม มีกรณีที่นักกิจกรรมอายุ 17 ปี ในจังหวัดเชียงใหม่ถูกวินิจฉัยว่าเป็น กลุ่มอาการป่วยทางจิตจากเหตุการณ์สะเทือนใจ (PTSD) ซึ่งมีสาเหตุมาจากการดำเนินคดีและการคุกคาม กสม. ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของเจ้าหน้าที่รัฐ ก่อให้เกิดผลเสียต่อสภาพจิตใจของเด็ก ซึ่งส่งผลให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในความเป็นกลางของกระบวนการยุติธรรม และทำให้เด็กมีความโกรธแค้นต่อเจ้าหน้าที่รัฐในระยะยาว ความยืดเยื้อของกระบวนการยุติธรรมจึงได้แปรสภาพมาเป็นรูปแบบหนึ่งของการลงโทษทางจิตใจและเศรษฐกิจ
การต้องเผชิญหน้ากับการไต่สวนที่ซ้ำซ้อน การถูกคุมประพฤติของโรงเรียน และความไม่แน่นอนทางคดีที่กินเวลานาน (ดังที่ กสม. ระบุว่าการดำเนินคดีต่อไปขัดต่อ “หลักประโยชน์สูงสุดของเด็ก”) ยิ่งตอกย้ำความจำเป็นที่รัฐจะต้องใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อยุติความเสียหายนี้โดยทันที การนิรโทษกรรมจึงเป็นทางออกที่เด็ดขาดเพื่อบรรเทาภาระทางใจของเด็กและครอบครัว นอกจากผลกระทบต่อตัวเด็กแล้ว ครอบครัวก็ตกเป็นเป้าหมายของกลยุทธ์ในการปราบปรามการเคลื่อนไหวทางการเมือง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไปคุกคามถึงบ้าน และข่มขู่ผู้ปกครองว่าจะนำหมายจับมาจับกุมเด็กหากยังคงเคลื่อนไหว พฤติกรรมนี้สร้างความหวาดกลัวและความรู้สึกไม่ปลอดภัยแก่ทั้งครอบครัว นอกจากนี้ ผู้ปกครองยังต้องสูญเสียโอกาสในการหารายได้เพื่อเดินทางไปศาลกับบุตรหลานในทุกขั้นตอนของคดี ความตึงเครียดทั้งทางอารมณ์และเศรษฐกิจที่ครอบครัวต้องแบกรับนี้ เพิ่มความกดดันให้ครอบครัวต้องจำกัดสิทธิทางการเมืองของบุตรหลานเพื่อความปลอดภัยและความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ
การเฝ้าติดตามและการสร้างความหวาดกลัว
การคุกคามไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกระบวนการทางกฎหมาย แต่ยังรวมถึงการแทรกแซงชีวิตส่วนตัวอย่างต่อเนื่อง เด็กหลายคนต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ต้องถูกติดตามเมื่อออกจากที่พักอาศัย บางรายต้องปลอมแปลงตัวตนด้วยการใส่วิกผม หรือเปลี่ยนสถานที่เดินทางหลายครั้งก่อนกลับถึงที่พักเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครติดตาม นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามไปยังหอพักของนักกิจกรรม ทำให้อาจารย์ที่ดูแลหอพักต้องขอให้นักกิจกรรมย้ายออกเพื่อความปลอดภัยของที่บ้าน การกระทำเหล่านี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัวอย่างร้ายแรง การออกกฎหมายนิรโทษกรรมจึงต้องทำควบคู่ไปกับการกำหนดมาตรการเยียวยาและยุติการคุกคามในชีวิตประจำวัน เพื่อฟื้นฟูความรู้สึกปลอดภัยที่เด็กและครอบครัวสูญเสียไป
กรณีศึกษา: ความล่าช้าในการสร้างความรับผิดชอบ (วาฤทธิ์ สมน้อย)
กรณีการเสียชีวิตของวาฤทธิ์ สมน้อย เด็กอายุ 15 ปี ที่ถูกยิงด้วยกระสุนจริงระหว่างการชุมนุมที่แยกดินแดงในเดือนสิงหาคม 2564 ได้เน้นย้ำถึงปัญหาการขาดความโปร่งใสและความล่าช้าในการดำเนินการทางยุติธรรมอย่างชัดเจน ต่อมา ในเดือนตุลาคม 2567 ศาลชั้นต้นยกฟ้องจำเลยคดียิงวาฤทธิ์ สมน้อย บริเวณ สน.ดินแดง เมื่อปี 2564 เนื่องด้วยพยานหลักฐานไม่ชัดเจนและยังมีข้อสงสัย จึงยกประโยชน์ให้จำเลย 11
ในกระบวนการสอบสวนที่กินเวลากว่าหนึ่งปี ทั้งในชั้นตำรวจและอัยการ แสดงให้เห็นถึงการขาดความเร่งด่วนในการคลี่คลายคดีร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงต่อเด็กในที่สาธารณะ การที่หน่วยงานรัฐระดับสูงต้องออกหนังสือเตือนถึง 5 ครั้งไปยังผู้บังคับบัญชาตำรวจที่รับผิดชอบ สะท้อนให้เห็นถึงความ ความล่าช้าในการนำผู้รับผิดชอบต่อความรุนแรงที่ส่งผลถึงชีวิตเด็ก และปล่อยให้มีการลอยนวลพ้นผิด (Impunity) ของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเป็นอันตรายต่อการคุ้มครองเด็กในอนาคต การนิรโทษกรรมแก่เหยื่อและผู้ถูกดำเนินคดีจะต้องดำเนินควบคู่ไปกับการสร้างความรับผิดชอบต่อผู้ที่ใช้ความรุนแรงและก่อให้เกิดความเสียหายต่อร่างกายและจิตใจของผู้ที่ใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมโดยสงบ โดยเฉพาะยังปรากฏการละเมิดสิทธิของเด็กอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนปัญหาเชิงระบบไปจนถึงการปฏิบัติที่ไม่คำนึงถึงหลักการ “ผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก” ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่ได้ให้สัตยาบันไว้
Footnote
- สรุปการประชุมสภา วาระการรับทราบรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่แอมเนสตี้ ประเทศไทยร้องต่อ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ – แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย. (2025, February 27). แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย. ↩︎
- Eekelaar, J. and Tobin, J. in Tobin, J. (Ed.) (2019) The UN Convention on the Rights of the Child: A Com mentary, p. 95. ↩︎
- องค์กรเครือข่ายสิทธิเด็ก. เอกสารแนะนำเชิงปฏิบัติการเด็กผู้ปกป้องสิทธิพมนุษยชน. (2564) หน้าที่ 18 ↩︎
- เอกสารภายในแอมเนสตี้ ประเทศไทย. สรุปรายงานแจ้งผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน. ↩︎
- แอมเนสตี้ ประเทศไทย. สรุปการประชุมสภา วาระการรับทราบรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่แอมเนสตี้ ประเทศไทย ร้องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ. 27 มีนาคม 2567. ↩︎
- CRC/C/GC/24 art.4 p.1 ↩︎
- Ibid, art. 82-84, p. 13-14 ↩︎
- พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 หมวด 7 มาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญา หน้า 26 ↩︎
- From Classroom to Courtroom: Report Release on Children’s Rights to Freedom of Expression and Assembly in Thailand ↩︎
- Internal document. Factsheet Briefing: เวทีสรุปสถานการณ์การใช้เสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบของเด็กในประเทศไทย ↩︎
- ประชาไท. ศาลชั้นต้นยกฟ้อง คดียิงวาฤทธิ์ สมน้อย หหน้า สน. ดินแดง ปี 64. 1 ตุลาคม 2568. ↩︎


