ปลดปล่อยมดลูก ปลดปล่อยทางเลือก สิทธิที่คนท้องเลือกได้…ในวันยุติการตั้งครรภ์สากล

ทุกครั้งที่พูดถึง “สิทธิ” เรามักนึกถึงภาพใหญ่ สิทธิในการเลือกตั้ง สิทธิในการแสดงออก หรือสิทธิในการรวมตัวประท้วงเพื่อเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง แต่มีสิทธิอีกชนิดหนึ่งที่ใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันอย่างที่สุด กลับถูกผลักให้กลายเป็นเรื่องต้องห้าม ถูกปิดประตูไว้ในห้องสี่เหลี่ยม หรือถูกพูดถึงด้วยความระแวดระวังว่าจะกระเทือนศีลธรรมหรือไม่หากเอ่ยออกไปในที่สาธารณะ นั่นคือสิทธิของผู้หญิงและผู้ตั้งครรภ์ที่จะตัดสินใจในเนื้อตัวร่างกายและอนาคตของตัวเอง

วันที่ 28 กันยายนของทุกปี คือ “วันยุติการตั้งครรภ์สากล” (International Safe Abortion Day) วันซึ่งไม่ได้เชิญชวนให้ใครเห็นด้วยหรือคัดค้านการทำแท้ง แต่เป็นวันที่ชวนให้สังคมเลิกมองเรื่องนี้ด้วยสายตาแห่งการพิพากษา แล้วหันมามองในฐานะสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน สิทธิที่จะมีชีวิตอย่างปลอดภัย สิทธิที่จะเลือกเวลาที่เหมาะสมในการเป็นแม่ หรือแม้กระทั่งสิทธิที่จะปฏิเสธการเป็นแม่ในช่วงเวลาที่ไม่พร้อม

เพราะการยุติการตั้งครรภ์ไม่ใช่แค่การดูแลทางการแพทย์ แต่คือการดิ้นรนเพื่อรักษาศักดิ์ศรีและความอยู่รอดของมนุษย์ การตัดสินใจเพียงครั้งเดียวอาจกำหนดทิศทางชีวิตทั้งชีวิตของผู้ที่ตั้งครรภ์ โดยเกี่ยวพันกับสุขภาพกาย สุขภาพใจ เศรษฐกิจในครัวเรือน ความปลอดภัยในความสัมพันธ์ และอนาคตของลูกที่อาจเกิดมาหรือที่มีอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อเราพูดถึง “การทำแท้ง” คำถามสำคัญอาจไม่ใช่เพียงว่า “ถูกหรือผิด” แต่คือ “เราจะทำอย่างไรให้การเลือกของผู้หญิงและผู้ตั้งครรภ์ทุกคนปลอดภัย และเป็นไปได้จริงในชีวิตประจำวัน”

จากไม้แขวนเสื้อสู่ผ้าพันคอสีเขียว สัญลักษณ์ทำแท้งปลอดภัย

หากต้องเลือกสัญลักษณ์ 2 ชิ้นเพื่อเล่าเรื่องสิทธิการยุติการตั้งครรภ์ของโลกหรือการทำแท้ง หนึ่งคือ ไม้แขวนเสื้อ สิ่งของสามัญที่ในยุคหนึ่งกลับกลายเป็นเครื่องหมายแห่งบาดแผลของสังคม เพราะคือร่องรอยความเจ็บปวดของวันที่ประตูบริการทางการแพทย์ปลอดภัยถูกปิดตาย เมื่อครั้งหนึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผิดบาปผู้หญิงจำนวนมากถูกผลักออกนอกระบบสาธารณสุข บังคับให้ต้องหาทางเอาตัวรอดด้วยอุปกรณ์ในบ้านที่คม แข็ง เพื่อหยุดการตั้งครรภ์ ทำให้ไม้แขวนเสื้อจึงไม่ใช่เพียงวัตถุโลหะธรรมดา แต่คือ “สัญลักษณ์ของการถูกทอดทิ้งและเจ็บปวด” เมื่อสังคมปฏิเสธสิทธิในการเลือก ทำให้ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยจบชีวิตลงด้วยการติดเชื้อ เลือดออกไม่หยุด หรือบาดแผลที่ไม่มีวันสมานทั้งต่อร่างกายและจิตใจ

อีกชิ้นคือ ผ้าพันคอสีเขียว ที่มีต้นกำเนิดจากละตินอเมริกาและแคริบเบียนก่อนได้รับการยอมรับไปทั่วโลก ผืนผ้านี้ไม่เพียงเป็นเครื่องแต่งกาย หากกลายเป็นธงนำในการปลดปล่อยมดลูกและคืนอำนาจการตัดสินใจให้ผู้ตั้งครรภ์ สีเขียวในที่นี้คือสีของความหวัง ความอุดมสมบูรณ์ และการเริ่มต้นใหม่ ผ้าพันคอสีเขียวจะถูกโบกสะบัดในการชุมนุมถนนหน้าอาคารรัฐสภา ในมหาวิทยาลัย และในตลาดริมถนนที่มีการจัดกิจกรรมในวันยุติการตั้งครรภ์สากล ผืนผ้าเล็กๆ นี้แปรเปลี่ยนเป็นสัญญาณให้เห็นว่า การต่อสู้เรื่องสิทธิในการยุติการตั้งครรภ์ไม่ได้เป็นเพียงข้อถกเถียงในวงวิชาการ แต่คือพลังของขบวนการสตรีนิยมและขบวนการภาคประชาชนที่ต้องการเปลี่ยนชีวิตจริง

ทุกวันที่ 28 กันยายน หลายเมืองทั่วโลกจึงถูกแต่งแต้มด้วยสีเขียว บนคอของผู้หญิงที่เดินขบวน บนข้อมือของนักกิจกรรม หรือบนรั้วรัฐสภาที่ประชาชนผูกไว้ เป็นการฝากคำถามกับผู้มีอำนาจว่าจะยังปล่อยให้ไม้แขวนเสื้อเป็นคำตอบของชีวิตอีกกี่ศพ หรือจะยอมรับผ้าพันคอสีเขียวเป็นสัญลักษณ์ของสิทธิด้านสุขภาพและอนามัยเจริญพันธุ์เสียที

ที่มาของวันสำคัญนี้ย้อนกลับไปเมื่อปี 1990 ที่เครือข่ายสตรีนิยมในภูมิภาคลาตินอเมริกาและแคริบเบียน (Latin America and the Caribbean Women’s Health Network) ได้กำหนดวันที่ 28 กันยายนให้เป็นวันรณรงค์เรียกร้องสิทธิในการยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย เหตุผลก็เพราะว่าในภูมิภาคนั้น ผู้หญิงจำนวนมากต้องเสียชีวิตจากการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยเป็นพันๆ คนต่อปี การรณรงค์จึงเริ่มต้นจากเสียงเล็กๆ ที่บอกว่า “ชีวิตผู้หญิงไม่ควรถูกแลกกับความเงียบและการตีตรา”

ต่อมา การเคลื่อนไหวนี้แพร่ขยายไปยังทวีปอื่น องค์กรสิทธิสตรีและสิทธิมนุษยชนทั่วโลกหยิบวันที่ 28 กันยายนขึ้นมาเป็น “วันยุติการตั้งครรภ์สากล” และใช้มันเป็นทั้งพื้นที่การรณรงค์และการไว้อาลัยแก่ผู้หญิงที่สูญเสียชีวิตเพราะการเข้าถึงบริการปลอดภัยถูกปิดกั้น

จากนี้คือบทสนทนาว่าด้วยการทำแท้งที่ปลอดภัย ผ่านมุมมองและประสบการณ์ของ เนี้ยบ ชนฐิตา ไกรศรีกุล ผู้จัดการมูลนิธิทำทาง ผู้ทำงานอยู่ด่านหน้าของการส่งต่อและสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ผู้หญิงและผู้ตั้งครรภ์ในสังคมไทย

“ถ้าคุณกำลังตั้งครรภ์และไม่พร้อมจะเดินต่อไปคนเดียว จงรู้ไว้ว่า คุณไม่ผิดที่รู้สึกแบบนี้ คุณไม่ผิดที่อยากหาทางออกที่ปลอดภัย และคุณไม่จำเป็นต้องแบกความกลัวไว้เพียงลำพัง ยังมีคนที่พร้อมจะฟัง และพร้อมจะพาคุณไปหาบริการที่ปลอดภัย เพื่อให้คุณได้กลับบ้านอย่างมีสุขภาพ และยังมีอนาคตให้เดินต่อไปได้”

เนี้ยบ ผู้จัดการมูลนิธิทำทาง

บทเรียนทำแท้งในไทย: คดีที่พาเราถามรัฐธรรมนูญ

เนี้ยบ ผู้จัดการมูลนิธิทำทางเล่าว่าเส้นทางการเปลี่ยนแปลงเรื่องสิทธิการทำแท้งในไทย ไม่ได้เริ่มต้นจากภาพการประท้วงหรือการชูผ้าสีเขียวกลางถนนเหมือนในละตินอเมริกา แต่เริ่มจากสิ่งที่เงียบงันกว่านั้น นั่นคือห้องสอบสวนและข้อกล่าวหา ที่ทำให้แพทย์ที่ทำหน้าที่ยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัยกลายเป็นจำเลย

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อแพทย์หญิงคนหนึ่งถูกจับกุม เพียงเพราะเธอช่วยผู้หญิงยุติการตั้งครรภ์ ทั้งที่ทำภายใต้ข้อยกเว้นเล็กๆ ของกฎหมายเดิม ซึ่งอนุญาตเฉพาะกรณีถูกข่มขืน หรือกรณีที่กระทบต่อสุขภาพกายและใจ

“เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นเลยค่ะว่า กฎหมายไม่ได้ปกป้องใครจริงๆ ไม่ปกป้องผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อม และไม่ปกป้องหมอที่อยากช่วยชีวิตด้วย”

หมอคนนั้นเลือกจะไม่ยอมรับคำตัดสิน แต่ตัดสินใจพาคดีขึ้นสู่ ศาลรัฐธรรมนูญ เนี้ยบอธิบายว่า นี่เป็นแนวทางที่หลายประเทศเคยทำ ต้องมีคดีหนึ่งที่ชี้ให้เห็นความไม่สมเหตุสมผลของกฎหมาย เพื่อให้ศาลตัดสินว่ากฎหมายเดิมยังสมควรดำรงอยู่หรือไม่ และแล้วคำวินิจฉัยสำคัญก็มาถึง ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่า กฎหมายทำแท้งเดิมขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะละเมิดสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้หญิงและผู้ตั้งครรภ์ ทำให้รัฐสภาต้องแก้ไขกฎหมายภายในเวลาที่กำหนด หากไม่แก้ กฎหมายเดิมทั้งฉบับจะกลายเป็นโมฆะ “มันเหมือนประตูที่ปิดสนิทมานานถูกงัดออก” เนี้ยบเปรียบเปรย 

และสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ก็คือการเคลื่อนไหวของเยาวชนที่ดังขึ้นบนท้องถนน เรื่องประชาธิปไตยจึงดึงเรื่องสิทธิทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ขึ้นมาอยู่แนวหน้า ทำให้เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเงียบหรือเรื่องต้องห้ามอีกต่อไป แต่กลายเป็นวาระสาธารณะที่สังคมต้องหันมาพูดถึงอย่างจริงจัง ผลที่ตามมาคือการขยายสิทธิในกฎหมายอาญาฉบับใหม่ ที่กลายเป็นหมุดหมายสำคัญของไทย โดยผลลัพธ์จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญทำให้รัฐสภาต้องเร่งแก้กฎหมาย และในที่สุดกฎหมายอาญาฉบับใหม่ก็ขยายสิทธิออกมาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในช่วงอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ ผู้หญิงสามารถยุติการตั้งครรภ์ได้โดยไม่ต้องพิสูจน์เหตุผลใดๆ เพียงตัดสินใจร่วมกับแพทย์ กฎหมายเลือกที่จะ “เชื่อผู้รับบริการ” อย่างเต็มที่ ว่าผู้หญิงรู้ดีที่สุดว่าชีวิตของตนควรเดินไปทางไหน

แต่เมื่อการตั้งครรภ์ก้าวเข้าสู่สัปดาห์ที่ 12 ถึง 20 สัปดาห์ ประตูยังคงของกฎหมายยังคงเปิดอยู่ เพียงแต่ต้องผ่านกระบวนการที่เรียกว่า “ปรึกษาทางเลือก” ก่อน เพื่อให้ผู้หญิงได้รับข้อมูลครบถ้วนทั้งการยุติและการตั้งครรภ์ต่อ กระบวนการนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อเปลี่ยนใจ แต่เพื่อให้ตัดสินใจได้บนพื้นฐานของข้อมูลที่รอบด้านที่สุด และหากการตั้งครรภ์เกิน 20 สัปดาห์ไปแล้ว เส้นทางก็ยังไม่ถูกปิดตาย เพียงแต่ต้องพิจารณาร่วมกับแพทย์ภายใต้เงื่อนไขเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นภาวะเสี่ยงทางสุขภาพ ทั้งกายและใจ การถูกข่มขืน หรือกรณีที่ทารกมีภาวะผิดปกติที่เพิ่งตรวจพบ ซึ่งเป็นการยืนยันว่าชีวิตจริงเต็มไปด้วยเหตุการณ์ไม่คาดคิด มากกว่าจะดำเนินไปตามตัวเลขสัปดาห์เพียงอย่างเดียว

ที่สำคัญ กฎหมายยังระบุว่าเยาวชนอายุสิบห้าปีขึ้นไปสามารถตัดสินใจรับบริการได้ด้วยตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งผู้ปกครอง เพราะรัฐยอมรับความจริงที่แข็งกระด้างว่า บ้านบางหลังไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย การบอกข่าวว่าท้องอาจหมายถึงการถูกดุด่า ลงโทษ หรือเผชิญความรุนแรง มากกว่าจะได้รับอ้อมกอดและความเข้าใจ

“สำหรับเราที่ทำงานผลักดันเรื่องการทำแท้งปลอดภัยมา กฎหมายใหม่นี้คือการที่รัฐยอมคืนความไว้วางใจให้กับประชาชน คือการยอมรับว่าผู้หญิงและผู้ตั้งครรภ์รู้ดีที่สุดว่า ชีวิตของเขาควรเดินไปทางไหน และไม่มีใครควรถูกผลักให้กลายเป็นอาชญากรเพียงเพราะการเลือกอนาคตของตัวเอง”

สิทธิทำแท้งปลอดภัยไม่ใช่บุญกรรม

แต่สิทธิที่ถูกเขียนไว้ในกฎหมาย ไม่ได้หมายความว่าจะปรากฏจริงบนเตียงคนไข้หลังให้สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย เนี้ยบอธิบายว่าแม้จะมีกฎหมายแล้วแต่ยังพบว่าโรงพยาบาลหรือบุคคลที่ให้บริการบางส่วน ยังทำให้ผู้ที่ต้องการใช้บริการต้องอยู่ในระบบ “ตะแกรงบุญตะแกรงกรรม” อธิบายง่ายๆ คือ ผู้หญิงที่โชคดีเจอหมอหรือพยาบาลที่เข้าใจ ก็สามารถผ่านขั้นตอนต่างๆ ได้อย่างราบรื่น แต่ใครที่โชคร้าย เจอผู้ให้บริการหรือสถานพยาบาลที่ตั้งเงื่อนไขเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ก็ต้องเจอกับการถูกดุ ถูกตำหนิ ถูกทำให้อับอาย หรือหนักกว่านั้นถูกส่งต่อไปยังทางเลือกที่มีค่าใช้จ่ายสูงจนไม่อาจเข้าถึงในระบบเอกชน

ปัจจุบัน มูลนิธิทำทางพบว่าแม้ประเทศไทยจะมีโรงพยาบาลมากกว่า 1,000 แห่ง แต่มีเพียง หลักร้อยต้น ๆ เท่านั้นที่ให้บริการยุติการตั้งครรภ์ และถึงแม้สถานพยาบาลเหล่านี้จะมีอยู่จริง ส่วนใหญ่ก็ยังทำงานในลักษณะ ไม่เปิดเผยข้อมูลการให้บริการที่ชัดเจนหรือทำให้สาธารณะรับรู้

คำว่า “ไม่เปิดเผย” ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงการทำงานลับๆ ในห้องมืด หากแต่หมายความว่า บริการถูกซ่อนอยู่ในระบบจนผู้หญิงทั่วไปแทบไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยตัวเอง ผู้รับบริการไม่สามารถเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์โรงพยาบาลแล้วบอกว่า “ขอทำแท้ง” ได้ เพราะสิ่งที่มักได้รับกลับมาอาจเป็นสายตาที่กดดัน หรือคำพูดที่ทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำสิ่งผิดบาป ทั้งที่จริงแล้ว กฎหมายได้เปิดช่องให้บริการนี้อย่างถูกต้อง

ความไม่เปิดเผยนี้ยังสร้างผลกระทบต่อความรู้ในสังคมวงกว้าง เพราะเมื่อโรงพยาบาลไม่ประกาศ ไม่ติดป้าย ไม่ทำให้เห็นชัดว่า “บริการนี้มีอยู่จริง” ผู้หญิงจำนวนมากจึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีสิทธิ และมีทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า ในหลายกรณี ผู้หญิงต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนตามหาช่องทางที่ถูกต้อง บางคนหมดเวลาไปกับการถูกปฏิเสธซ้ำๆ จนเกินช่วงอายุครรภ์ที่เหมาะสมสำหรับการเข้ารับบริการตามกฎหมาย

“บริการยุติการตั้งครรภ์ปลอดภัยมี แต่ซ่อนอยู่ไม่เปิดเผย” นี่คือหัวใจของปัญหาที่เนี้ยบต้องการย้ำและสื่อสารช่องโหว่ที่พบเจอของสถานบริการยุติการตั้งครรภ์ปลอดภัยในประเทศไทย ซึ่งการไม่เปิดเผยไม่ได้เป็นเพียงทำให้บริการเข้าถึงยากขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้คนส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยว่าประตูนั้นมีอยู่จริง ผลลัพธ์คือผู้หญิงจำนวนไม่น้อยถูกผลักไปสู่ตลาดมืด ซื้อยาจากออนไลน์โดยไม่รู้ว่าของจริงหรือปลอม เสี่ยงกับชีวิตทั้งที่รัฐมีทางออกที่ปลอดภัยกว่าเพียงแต่ซ่อนมันไว้ จนทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมา นั่นคือ “ตลาดมืด” ที่ใช้วิธีโฆษณายาออนไลน์หลั่งไหลเต็มหน้าจอ ตั้งแต่ในเพจเฟซบุ๊กไปจนถึงไลน์ส่วนตัว แต่เบื้องหลังคือความเสี่ยงอันมหาศาลที่เจอ ได้แก่ ยาปลอม ยาโดสต่ำเกินไป หรือคนขายที่ไม่ใช่หมอและไม่เข้าใจภาวะทางการแพทย์จริงๆ เหตุการณ์ลักษณะนี้ทำให้ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยต้องเสี่ยง “ทดลองกับร่างกายตัวเอง” โดยไม่รู้เลยว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร 

“ถ้าไม่รู้จักเครือข่าย ไม่ได้ติดต่อผ่านมูลนิธิทำทาง ผ่านสายด่วน 1663 หรือเครือข่ายแพทย์ RSA โอกาสที่ผู้หญิงจะเข้าถึงบริการทำแท้งที่ปลอดภัยแทบไม่มีเลย แม้จะมีกฎหมายที่ให้สามารถทำได้แล้ว”

ตรงกันข้ามกับความเงียบและความเสี่ยงที่ผู้หญิงจำนวนมากต้องเจอ เนี้ยบ ผู้จัดการมูลนิธิทำทาง ยกตัวอย่างวิจัยเมื่อปี 2567 ของโรงพยาบาลชัยภูมิ (ปัจจุบันให้บริการในเงื่อนไขจำกัด) ที่ชี้ให้เห็นว่าการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยช่วยชีวิตผู้ท้องไม่พร้อม จากงานวิจัยพบว่า การมีบริการที่ชัดเจนและเป็นระบบ ทำให้ภาพรวมของปัญหาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ในอดีต เมื่อผู้หญิงถูกปฏิเสธจากระบบสาธารณสุข พวกเธอมักต้องหันไปพึ่งวิธีเสี่ยงอันตราย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อยาทางออนไลน์ที่ไม่รู้แหล่งที่มา การใช้วิธีการดั้งเดิมที่อันตรายต่อชีวิต หรือแม้แต่การไปหาคนกลางที่ไม่มีความรู้ด้านการแพทย์ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผลลัพธ์เต็มไปด้วยความเสี่ยง ติดเชื้อ มดลูกทะลุ เลือดออกไม่หยุด และในหลายกรณีถึงขั้นเสียชีวิต

แต่เมื่อโรงพยาบาลชัยภูมิเริ่มเปิดบริการอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ภาพก็เปลี่ยนไปทันที งานศึกษาที่นั่นสะท้อนอย่างชัดเจนว่า อัตราภาวะแทรกซ้อนจากการทำแท้งไม่ปลอดภัย “ลดลงถึงสิบเท่า” ตัวเลขที่เคยสะท้อนความสูญเสีย ลดลงจนแทบไม่เหลือเคสอันตรายใหญ่ๆ อีกต่อไป สิ่งที่พบแทนคือผลข้างเคียงเล็กน้อยในระดับที่แพทย์ควบคุมได้ เช่น อาการผื่นขึ้นหรือท้องเสีย ซึ่งต่างจากภาพน่าสะพรึงของการติดเชื้อรุนแรงหรือการเสียชีวิตโดยสิ้นเชิง

“การที่โรงพยาบาลเปิดบริการทำแท้งอย่างปลอดภัยตามกฎหมาย คือหลักฐานชัดเจนว่าเป็นการช่วยรักษาชีวิตผู้หญิงได้จริงๆ เมื่อบริการปลอดภัยและไม่ตั้งเงื่อนไขเกินจำเป็น ผู้หญิงที่ต้องการหยุดท้องก็เข้าถึงได้โดยไม่ต้องเสี่ยง ลดอัตราการบาดเจ็บ สูญเสีย และปัญหาสังคมที่จะตามมา”

เธอย้ำว่ากรณีของโรงพยาบาลชัยภูมิไม่ใช่เพียงตัวเลขในรายงานวิจัย แต่จำนวน 10 เท่านี้ คือ คณิตศาสตร์ของชีวิตที่รอดที่เกิดจากการทำแท้งปลอดภัย เพราะการที่ผู้หญิงไม่ต้องเสี่ยงอีกต่อไป คือสิ่งที่พิสูจน์ว่าประเทศไทยควรขยายบริการนี้ให้ครอบคลุมมากขึ้น แทนที่จะปล่อยให้ผู้หญิงต้องเสี่ยงชีวิตเพียงเพราะระบบเลือกจะปิดไม่บอกว่าให้บริการยุติการตั้งครรภ์ปลอดภัย

เนี้ยบหยิบยกตัวอย่างหนึ่งที่ยังติดอยู่ในความทรงจำของเธอ ผู้หญิงวัยยี่สิบต้นๆ คนหนึ่งถูกปฏิเสธจากโรงพยาบาลในจังหวัดบ้านเกิด เจ้าหน้าที่พูดเพียงสั้นๆ ว่า “ทำไม่ได้ กฎหมายไม่อนุญาต” ทั้งที่จริงกฎหมายใหม่เปิดช่องไว้แล้ว เธอเดินออกมาด้วยความอับอายและไม่กล้าบอกใคร จนสุดท้ายตัดสินใจสั่งยาทางออนไลน์ ยาที่ได้มาเป็นของปลอม เธอกินเข้าไปหลายเม็ดแต่ไม่มีผลใดๆ

“ถ้าตอนนั้นเธอรู้จักช่องทางเครือข่ายอย่างมูลนิธิทำทาง เธอไม่จำเป็นต้องเสี่ยงถึงขนาดนั้นเลย และถ้าสถานบริการไม่ตั้งเงื่อนไขหรือปฏิเสธให้บริการ ชีวิตของผู้หญิงคนนั้นคงไม่เจอเหตุการณ์ที่กระทบชีวิตและจิตใจ”

ในอีกด้านหนึ่ง เนี้ยบเล่าเคสที่เธอยังจำได้ไม่ลืม เรื่องของแม่วัยทำงานคนหนึ่งที่มีลูกแล้ว 2 คน แต่ต้องตั้งครรภ์กับคนรักที่ใช้ความรุนแรงในครอบครัว สำหรับผู้หญิงคนนี้ การมีลูกเพิ่มไม่ใช่แค่ภาระทางเศรษฐกิจ แต่หมายถึงการก้าวลึกเข้าไปในความสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยมากกว่าเดิม สิ่งที่เธอทำคือการยื่นมือขอความช่วยเหลือ และนั่นนำพาเธอมาสู่เครือข่ายที่สามารถส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่ปลอดภัย เนี้ยบเล่าว่าทุกขั้นตอนดำเนินไปอย่างเป็นระบบที่ยึดผู้หญิงเป็นศูนย์กลาง

“ผู้หญิงที่ต้องการทำแท้งปลอดภัย เราจะทำการดูแลอย่างดีตามที่ควรจะเป็น และทำให้เขาสามารถกลับบ้านได้โดยไม่ต้องเสี่ยงตาย และวันนี้เธอยังมีชีวิตอยู่ เพื่อเลี้ยงดูลูกสองคนนั้นต่อไป”

เรื่องเล่าจาก 2 ด้าน ด้านหนึ่งคือผู้หญิงที่ถูกปฏิเสธจนต้องหันไปหายาออนไลน์ อีกด้านคือผู้หญิงที่ได้รับการดูแลจากระบบที่ปลอดภัย ทำให้ความหมายของคำว่า “สิทธิไม่ใช่บุญกรรม” ชัดเจนขึ้นกว่าสิ่งใด เพราะสิ่งที่กำหนดชะตาอาจไม่ใช่ศีลธรรมหรือโชคชะตา แต่คือการที่สังคมจะเลือกเปิดประตูบริการที่ปลอดภัยให้ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม เปิดเผย ไม่ตีตรา หรือจะยังคงปล่อยให้ผู้หญิงต้องเสี่ยงชีวิตอยู่ในระบบที่บังคับให้เลือกระหว่าง “โชคดี” กับ “โชคร้าย” เท่านั้น หากไม่ต้องการที่จะตั้งครรภ์ต่อไป

อย่างไรก็ตาม เนี้ยบเล่าเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูก “อดีตแฟน” นำเรื่องการทำแท้งของเธอมาเปิดเผยในสังคมออนไลน์ หวังให้เกิดการรุมประณามเพื่อเป็นการแก้แค้นฝ่ายหญิงที่จบความสัมพันธ์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม เพื่อนๆ ของเธอกลับทักมาหาด้วยความห่วงใย หลายคนถามหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำแท้งที่ปลอดภัย และวิธีเข้าถึงบริการ ความเงียบที่เคยโอบล้อมเรื่องนี้ไว้ ค่อยๆ ถูกทำลายลง และกลายเป็นบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความเข้าใจแทนที่จะเป็นการตำหนิในด้านลบ เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้จะเป็นเรื่องท้าทาย แต่ประเด็นการทำแท้งปลอดภัยยังเป็นเรื่องที่ “มีคนรอฟัง” โดยเฉพาะประสบการณ์จากผู้ที่เคยผ่านมาก่อน เพื่อเป็นแนวทางให้คนอื่นๆ ได้รับบริการที่ปลอดภัย ในสังคมที่ระแวดระวังเรื่องศีลธรรมจนทำให้ผู้ท้องไม่พร้อมหาคนปรึกษาได้ยาก

“เราไม่ได้ต้องการให้ทุกคนเห็นด้วยกับการทำแท้ง แต่เราอยากให้เคารพการตัดสินใจที่แตกต่าง โลกความจริงซับซ้อนกว่าคำว่าถูกหรือผิด และชีวิตของคนหนึ่งไม่ควรถูกกำหนดด้วยศีลธรรมของอีกคนหนึ่ง”

เส้นแบ่งสิทธิ  ตัวอ่อนกับผู้ตั้งครรภ์

ในเวทีสาธารณะ คำถามที่มักถูกหยิบขึ้นมาเสมอคือ แล้วสิทธิของตัวอ่อนอยู่ตรงไหน? เนี้ยบอธิบายว่า ตามหลักปฏิญญาสิทธิมนุษยชนสากลและหลักกฎหมายไทยสิทธิของบุคคลจะเริ่มต้นเมื่อคลอดออกมาแล้วมีชีวิตรอดเป็นทารก ก่อนหน้านั้นควรให้สิทธิผู้ตั้งครรภ์เป็นคนตัดสินใจ แต่ในทางปฏิบัติสำหรับเรื่องยุติการตั้งครรภ์ สิทธิของผู้ตั้งครรภ์กลับถูกกำหนดให้ต้องถ่วงดุลกับตัวอ่อนอยู่เสมอ ซึ่งเป็นที่มาของการแก้ไขกฎหมายทำแท้งไทยในปัจจุบันตามอายุครรภ์ต่างๆ ด้วย   แนวคิดการถ่วงดุลสิทธิมีปัญหาอย่างมากกับทั้งผู้ตั้งครรภ์และตัวอ่อนเอง เช่นในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ที่ออกกฎหมายห้ามทำแท้งทันทีที่ “ตรวจพบการเต้นที่เรียกว่าหัวใจ” ในระยะ 6 สัปดาห์ (ซึ่งมีการถกเถียงกันว่าสิ่งที่ถูกเรียกว่าเป็น “หัวใจ” จะนับเป็นหัวใจได้จริงหรือไม่ในเมื่อตัวอ่อนขณะนั้นมีขนาดเท่าเมล็ดข้าวโพด) ผลกลับไม่ใช่การปกป้องชีวิตตัวอ่อน แต่ทำให้แพทย์ไม่กล้าตัดสินใจรักษาผู้ตั้งครรภ์แม้ในกรณีที่ผู้หญิงแท้งค้าง ซึ่งมาตรฐานการรักษาคือการรีบยุติการตั้งครรภ์เพื่อป้องกันการติดเชื้อ กฎหมายกลับบังคับให้แพทย์ต้อง “รอจนกว่าตัวอ่อนจะหยุดการเต้นเอง” แม้ในเวลาที่ผู้หญิงกำลังเสียเลือดหรือติดเชื้ออยู่ตรงหน้า ผลลัพธ์คือ ผู้หญิงหลายคนเสียชีวิตไปพร้อมตัวอ่อน ทั้งที่จริงๆ แล้ว สามารถทำการรักษาได้ทันที

“นี่คือสิ่งที่เรียกว่ากฎหมายที่ไม่ปลอดภัย เพราะมันไม่ได้ทำให้การทำแท้งหายไป แต่ทำให้การทำแท้งปลอดภัยน้อยลง และผลักให้ผู้หญิงจำนวนมากต้องจ่ายด้วยชีวิตของตัวเอง”

สำหรับเนี้ยบ ผู้จัดการมูลนิธิทำทางที่ทำงานเรื่องการทำแท้งปลอดภัยมาหลายปี การถกเถียงเรื่องสิทธิของตัวอ่อนกับผู้ตั้งครรภ์ ควรกลับมามองความจริงตรงหน้า ว่าใครคือคนที่กำลังเจ็บปวด ใครคือคนที่เลือดไหลไม่หยุด และใครคือคนที่ต้องรับผลจากการตั้งครรภ์ทั้งหมด

ถ้าเรามองข้ามชีวิตของผู้หญิงที่มีเลือดเนื้อและลมหายใจ เพียงเพื่อปกป้อง “ภาพ” ของตัวอ่อน เท่ากับว่าเราไม่ได้คุ้มครองสิทธิ แต่กำลังพรากสิทธิไปจากมนุษย์ที่ต้องเผชิญกับการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม ไม่สมัครใจ หรือมีเหตุผลที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ต่อไปได้ และหากผู้ตั้งครรภ์ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว เราจะคุ้มครองตัวอ่อนให้ปลอดภัยหรือมีคุณภาพได้อย่างไร

โลกไปทางไหน และไทยจะไปยังไงกับเรื่องทำแท้งปลอดภัย

ขณะที่สถานการณ์ปัจจุบันมีตัวอย่างจากต่างประเทศให้เราได้ศึกษา ฝรั่งเศสเพิ่งเลือกยกระดับ “สิทธิในการยุติการตั้งครรภ์” ขึ้นไปอยู่ในรัฐธรรมนูญ การเขียนสิทธินี้ลงในกฎหมายสูงสุดไม่ได้เป็นเพียงการเพิ่มข้อความในเอกสารทางกฎหมาย แต่คือการประกาศอย่างชัดเจนต่อทั้งสังคมและประชาคมโลกว่า การทำแท้งไม่ใช่อาชญากรรม แต่คือสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐต้องคุ้มครองและต้องไม่ถูกพรากไปไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลกี่หน เป็นสิทธิพื้นฐานไม่ต่างจากสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความรุนแรง หรือสิทธิในการศึกษาและการดูแลสุขภาพ

อีกฟากหนึ่งของทวีป ในสหราชอาณาจักร มีแนวทางที่เรียกว่า decriminalize หรือการ “ยกเลิกความผิดอาญา” กำลังเดินหน้าอยู่ตอนนี้ หมายความว่าการยุติการตั้งครรภ์จะไม่ถูกจัดอยู่ในหมวดความผิดทางกฎหมายอาญาอีกต่อไป เพื่อยุติการผลักผู้หญิงเข้าสู่กระบวนการลงโทษ แม้ว่ายังมีระบบสาธารณสุขคอยกำกับมาตรการและขั้นตอนอยู่ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือทิศทางได้เปลี่ยนไปแล้ว จากการมองผู้หญิงว่าเป็นผู้ต้องหา กลายเป็นการมองเธอในฐานะผู้รับบริการด้านสุขภาพที่สมควรได้รับการดูแล

ส่วนประเทศไทย แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยเปิดสิทธิให้สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้ภายใต้เงื่อนไขต่างๆ โดยเฉพาะการยุติการตั้งครรภ์ภายใน12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ แต่โครงสร้างกฎหมายโดยรวมยังคงผูกเรื่องนี้ไว้กับประมวลกฎหมายอาญา ทำให้การทำแท้งถูกมองว่าเป็น “ความผิดที่มีข้อยกเว้น” มากกว่าการถูกยอมรับว่าเป็น “บริการสุขภาพ” ที่ทุกคนควรเข้าถึงได้จริง

“บ้านเรายังติดอยู่กับคำว่าผิด แม้จะขยายสิทธิให้ทำแท้งปลอดภัยได้ แต่โครงสร้างกฎหมาย เงื่อนไขของสถานบริการ คนรับเรื่องที่ทำงานทางการแพทย์บางคน ยังทำให้ผู้หญิงหรือผู้ที่ตั้งครรภ์รู้สึกว่าตัวเองทำผิด ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาเพียงแค่ใช้สิทธิในการดูแลชีวิตของตัวเอง”

ที่ผ่านมา เนี้ยบและเครือข่ายย้ำข้อเสนอซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า ถึงเวลาที่สังคมไทยต้อง ยกเลิกความผิดอาญาที่หลงเหลืออยู่ เช่น มาตรา 301 ซึ่งยังทำให้ผู้หญิงรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำสิ่งผิดกฎหมาย แม้จะเป็นการใช้สิทธิของตัวเองก็ตาม กฎหมายนี้ไม่เพียงสร้างตราบาปทางสังคม แต่ยังทำให้บุคลากรทางการแพทย์จำนวนไม่น้อยรู้สึกลังเล ไม่กล้าให้บริการ เพราะกลัวว่าจะถูกตีความว่า “ช่วยคนทำผิด” มากกว่าการทำหน้าที่แพทย์ในการดูแลชีวิต

เธอชี้ว่า แทนที่รัฐจะเอาเวลาไปเพิ่มข้อหา สร้างเงื่อนไขใหม่ ๆ หรือทำให้การเข้าถึงบริการยากขึ้น ควรหันมาทำงานเชิงรุกเพื่อ ขยายสถานบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย ให้ครอบคลุมและเข้าถึงได้จริง เพราะหากเราต้องการลดการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยจริงๆ คำตอบไม่ได้อยู่ที่การสร้างปัญหาเพิ่มหรือผลักผู้หญิงให้เจอกับความสูญเสียมากขึ้น แต่คือการทำให้บริการที่ปลอดภัยมีจำนวนมากขึ้น เข้าถึงง่ายขึ้น และไม่สร้างบรรยากาศที่ทำให้ผู้หญิงรู้สึกเหมือนกำลังทำสิ่งผิดกฎหมาย

“ถ้าอยากลดการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย ต้องขยายบริการมากขึ้น ไม่ใช่ตั้งเงื่อนไขมากมาย หรือมองไปแค่เรื่องศีลธรรมเพียงอย่างเดียว อย่าทำให้การทำแท้งที่ปลอดภัยกลายเป็นเหมือนการทำผิดที่ต้องถูกลงโทษ”

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย

ในโลกความจริง สิ่งที่สำคัญไม่ใช่เพียงกฎหมายที่เขียนไว้อย่างเดียว แต่คือ ข้อมูลที่ถูกต้องและเข้าถึงได้ เพราะนั่นคือสิ่งที่จะช่วยให้ผู้หญิงก้าวพ้นจากความสับสนไปสู่การดูแลที่ปลอดภัย เธอบอกว่าทุกอย่างต้องเริ่มจากการรู้ว่าอายุครรภ์เท่าไร โดยนับตั้งแต่วันแรกที่มีประจำเดือนครั้งสุดท้ายจนถึงปัจจุบัน ข้อมูลเล็กๆ ตรงนี้คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ผู้รับบริการมองเห็นทางออกว่าจะมีตัวเลือกรับบริการแบบใดบ้างที่ตรงกับเงื่อนไขอายุครรภ์ของตัวเอง และย้ำว่าทุกคนเข้าถึงสิทธิยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัยได้เมื่อไม่พร้อม 

ปัจจุบันมีหลายเครือข่ายที่ช่วยให้เข้าถึงการทำแท้งปลอดภัยได้ ดังนี้ 

  • มูลนิธิทำทาง (LINE: @tamtang) ให้คำปรึกษาและส่งต่อบริการตั้งครรภ์ไม่พร้อมทั่วประเทศ ทุกวัน 10:00–22:00 น.
  • สายด่วน 1663 ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพทางเพศและการตั้งครรภ์ไม่พร้อม
  • เครือข่ายแพทย์ RSA ดูแลการส่งต่อและบริการตามมาตรฐานการแพทย์

วันที่ 28 กันยายน ซึ่งเป็นวันยุติการตั้งครรภ์สากล จึงไม่ใช่เพียงวันของการรำลึก หากแต่เป็นวันที่ชวนเรากลับมาทบทวนร่วมกันว่า เราพร้อมหรือยังที่จะมองการยุติการตั้งครรภ์ในฐานะ บริการด้านสุขภาพและสิทธิขั้นพื้นฐาน พร้อมที่จะยอมรับหรือยังว่า ผู้หญิงและผู้ตั้งครรภ์ย่อมรู้ดีที่สุดว่าชีวิตและร่างกายของพวกเขาควรเดินไปทางไหน เพราะท้ายที่สุดแล้ว การทำแท้งที่ปลอดภัย ไม่ได้หมายถึงเพียงการคุ้มครองสิทธิ แต่คือการปกป้องชีวิตมนุษย์ที่อยู่ในสังคมเดียวกันกับเรา และนั่นคือเหตุผลที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ยังคงยืนหยัดเรียกร้องให้สิทธินี้เป็นจริงสำหรับทุกคน

ปกป้องเสรีภาพการแสดงออก

สิทธิของบุคคลทุกคนที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และการแสดงความคิดเห็น เป็นสิทธิในระดับสากลที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายระหว่างประเทศ

สนับสนุนความเท่าเทียม

เราทุกคนต้องได้รับการปกป้องจากการถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งการแสดงออกตามอัตลักษณ์ทางเพศ รสนิยมทางเพศและเพศวิธี ภายใต้หลักการด้านสิทธิมนุษยชน