คุยกับอลิสา ก่อนวันฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ 

“มันก็เหมือนกับสิ่งที่แอมเนสตี้ได้รณรงค์มาตลอด
คือไม่ควรมีใครโดนจำคุกหรือถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกทางการเมือง” 

อลิสา  อดีตสมาชิกกลุ่มนักกฎหมายอาสา Law Long Beach ซึ่งปัจจุบัน เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายนักกิจกรรม แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยกล่าว 

ในวันที่ 6 สิงหาคม 2568 เวลา 09:00 น.  ศาลจังหวัดพัทลุง นัดฟังคำพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค ในคดีของ อลิสา บินดุส๊ะ พร้อมด้วย ชมพูนุท นักศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และศุภกร ขุนชิต บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในชั้นอุทธรณ์ ในข้อกล่าวหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามมาตรา 112, “ยุยงปลุกปั่นฯ” ตามมาตรา 116 (2) (3) และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) 

คดีดังกล่าวมี ร.ต.อ.รณกร หุ้มขาว ตำรวจฝ่ายสืบสวนของ สภ.เมืองพัทลุง เป็นผู้กล่าวหาว่าทั้งสามคนได้ร่วมกันขี่รถไปถ่ายภาพสถานที่ต่าง ๆ ในตัวเมืองพัทลุง ในช่วงกลางดึกของวันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 อัยการได้สั่งฟ้องคดีโดยแยกเป็น 2 กระทง ได้แก่ กรณีการโพสต์ภาพในเพจ “พัทลุงปลดแอก” จำนวน 5 ภาพ และกรณีการโพสต์ภาพในเพจ “ประชาธิปไตยในด้ามขวาน” จำนวน 15 ภาพ 

13 กุมภาพันธ์ 2567 ศาลได้ตัดสินยกฟ้องคดีดังกล่าว ด้วยเหตุว่าพยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ และเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง 

อย่างไรก็ตาม ทั้งสามคนได้ให้การปฏิเสธ และยืนยันที่จะสู้คดี  

อลิสาเล่าว่า จุดเริ่มต้นของความสนใจในสิทธิมนุษยชนของเขา คือความรักในอาหารทะเลและรักทะเล ก่อนที่จะเริ่มทำกิจกรรมและเข้าร่วมค่ายสำหรับเยาวชนตั้งแต่มัธยมปลาย โดยประเด็นเริ่มต้นในการขับเคลื่อน คือประเด็นทรัพยากร สิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของเยาวชน ในพื้นที่ภาคใต้ 

“แรกๆ ตอนเป็นนักศึกษาก็จะสร้างพื้นที่เรียนรู้เรื่องกฎหมายในประเด็นสังคมที่จังหวัดสงขลาเป็นหลัก เพราะเราเรียนนิติศาสตร์มา ย้อนไปช่วงมัธยมก็มีทำเรื่องธรรมนูญเยาวชนร่วมกับกลุ่มบีชฟอร์ไลฟ์ ที่ไปรับฟังความคิดเห็นของเยาวชนในจังหวัดสงขลา เพื่อรวบรวมข้อเสนอเหล่านี้เป็นธรรมนูญว่าอยากให้หาดเป็นแบบไหน 

“ปี 2560-2561 ก็มีเรื่องของโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะและโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ทำให้เราได้มีโอกาสชวนเพื่อนนักศึกษาออกนอกห้องเรียนไปเชื่อมโยงกับชุมชนบ้าง ก็เลยทำห้องเรียนสิทธิให้กับชุมชน โดยใช้ความรู้กฎหมายนำเป็นหลัก เช่น การทำห้องเรียนสิทธิชุมชนชายฝั่ง” 

ในช่วงเวลาเดียวกัน ประเทศไทยยังคงได้รับผลกระทบจากการรัฐประหาร ซึ่งนำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เกิดขึ้นในปี 2557 อลิสาถูกดำเนินคดีฝ่าฝืนคำสั่งคสช. ในปี 2561 จากกิจกรรมชุมนุมประท้วงครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร 

“คดีนั้นโดนยกฟ้องในปี 2566 หลังจากสู้คดีมาเกือบ 5 ปี”

อลิสายังมุ่งหน้าจัดกิจกรรมกับกลุ่มเยาวชน ไม่ว่าจะเป็นการทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยในรูปแบบต่างๆ ไปจนถึงการจัดทริปท่องเที่ยว จนกระทั่งในปี 2563 ได้มีการชุมนุมประท้วงที่นำโดยเยาวชนเกิดขึ้นทั่วประเทศ

“ตอนช่วงปี 2563 – 2564 เราช่วยคนโดนคดีการเมือง เป็นผู้ช่วยทนาย และประสานเครือข่ายนักกฎหมาย จนมารู้ว่าตัวเองโดนคดีเองช่วงปี 2564” อลิสาเล่า 

“จริงๆ คดีนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้องแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะเห็นว่าไม่ได้กระทำผิด ยกฟ้องด้วยเหตุว่าพยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอ และคดีมีโทษสูง ก็เลยยกประโยชน์อันควรสงสัยให้กับจำเลย แต่ศาลออกหมายขังด้วย และเราได้ประกันในตอนนั้น

“เราไม่ได้ทำผิดตามสิ่งที่เขาฟ้องนะ ดังนั้นถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เราก็จะบอกว่าเราไม่ได้ขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชน เพราะจะถูกดำเนินคดี แต่คิดว่าสิ่งที่เราทำไปเพื่อขับเคลื่อนประเด็น มันคือสิ่งที่เราควรทำได้เป็นปกติ

“มันก็เหมือนกับสิ่งที่แอมเนสตี้ได้รณรงค์มาตลอด คือไม่ควรมีใครโดนจำคุกหรือถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกทางการเมือง

อลิสาย้ำว่า การทำกิจกรรมเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นการจัดห้องเรียนสิทธิ หรือกิจกรรมต่าง ๆ คือการทำหน้าที่ของเขาที่มีต่อสิทธิมนุษยชน 

“มันเป็นประโยคที่เราชอบบอกกับเยาวชนในห้องเรียนสิทธิ เวลาที่อยากให้กำลังใจพวกเขา คือการทำกิจกรรม หรืองานต่าง ๆ ที่กำลังทำมาตลอด ไม่ว่าจะโดนคดีหรือไม่โดนคดีก็ตาม เพราะมันคือการที่เรากำลังมีส่วนร่วมในการใช้สิทธิมนุษยชน และอ้างสิทธิของเราต่อรัฐ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต่อเรา และเติมเต็มให้สิทธิมนุษยชนของเราบรรลุผล ไม่ว่าจะด้วยการเคารพ ปกป้องคุ้มครอง หรือส่งเสริมสิทธิก็ตาม 

“ตราบใดที่สิทธิมนุษยชนของเราไม่สมบูรณ์ ยังคงถูกละเมิดอยู่ในหลายสถานการณ์ เราก็แค่ต้องออกมาทำหน้าที่ของเราในการใช้สิทธิ และในการเรียกร้องมันต่อไปก็เท่านั้น”

ทั้งนี้ จากข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า  นับแต่การชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่มีเยาวชนเป็นแกนนำเริ่มต้นขึ้นในปี 2563 มีผู้ถูกดำเนินคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมประท้วงทางการเมืองอย่างน้อย 1,974 คน ในจำนวนนี้ มีผู้ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์รวมกัน 280 คน มีผู้ถูกคุมขังอย่างน้อย 50 คน รวมทั้ง 32 คนที่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์ 

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล จะยังคงเรียกร้องอย่างต่อเนื่องให้ทางการไทย ยกเลิกข้อกล่าวหาทั้งหมดต่อผู้ชุมนุมประท้วงโดยสงบทันทีและอย่างไม่มีเงื่อนไข รวมถึงผู้ที่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์ และให้ปล่อยตัวผู้ที่ถูกควบคุมตัวจากกฎหมายดังกล่าว

ปกป้องเสรีภาพการแสดงออก

สิทธิของบุคคลทุกคนที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และการแสดงความคิดเห็น เป็นสิทธิในระดับสากลที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายระหว่างประเทศ

สนับสนุนความเท่าเทียม

เราทุกคนต้องได้รับการปกป้องจากการถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งการแสดงออกตามอัตลักษณ์ทางเพศ รสนิยมทางเพศและเพศวิธี ภายใต้หลักการด้านสิทธิมนุษยชน