เติมไฟ เติมฝัน เติมใจ นักรณรงค์เพื่อสังคม Activism Space Public รณรงค์อย่างไรให้แมส กับ…พี่หนูหริ่ง สมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา

การรณรงค์…บางครั้งถูกมองว่าเป็นแค่กิจกรรมเล็กๆ ที่ผ่านมาแล้วหายไป แต่บางครั้งทุกการรณรงค์คือการต่อสู้ที่ซับซ้อน เปรียบได้กับ ‘สงคราม’ ที่มีทั้งคู่ต่อสู้ มวลชน กองเชียร์ และผู้สังเกตการณ์ที่ยืนดูเงียบๆ อยู่รอบสนาม นักรณรงค์จึงไม่ต่างจากนักรบที่ต้องหาพวกพ้อง ต้องเลือกจังหวะออกหมัด ต้องรู้ว่าคู่ตรงข้ามเป็นใคร และที่สำคัญที่สุด ต้องไม่ปล่อยให้อารมณ์พาเราเดินหลงทาง

นี่คือส่วนหนึ่งที่กิจกรรม Activism Space Public ครั้งที่ 3 ที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย พาไปสัมผัสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรงจาก ‘พี่หนูหริ่ง สมบัติ บุญงามอนงค์’ นักรณรงค์เพื่อสังคมและผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา ตลอดเวลากว่าสองชั่วโมงที่นั่งฟังในวงคุย คือการถอดรหัสชีวิตจริงของการรณรงค์ ที่ทั้งเข้มข้น เจ็บจริง ล้มจริง และลุกขึ้นใหม่จริง

สิ่งที่น่าสนใจคือ พี่หนูหริ่งไม่ได้มอง ‘การรณรงค์’ ว่าเป็นเพียงกิจกรรมสร้างสีสันหรือจบในเวลาสั้นๆ แต่เขาอธิบายว่าการรณรงค์คือ “สงคราม” ที่ต้องใช้ทั้งกลยุทธ์ จังหวะ เวลา และความอดทน 

“คุณต้องอยู่ในโอกาส อยู่ในติ่ง ที่จะไปสู่ความสำเร็จให้มากที่สุด ต้องเข้าใจปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จและไม่สำเร็จ พอรู้ว่ายืนอยู่ถูกฝั่งแล้ว ขอให้ทำเรื่อยๆ ทำบ่อยๆ เรียนรู้และพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ”

การณรงค์คือสงคราม

รากของคำว่า ‘รณรงค์’ มาจาก ‘สงคราม’ พี่หนูหริ่งอธิบายให้ทุกคนในวงคุยฟังร่วมกันตีความให้เห็นภาพอย่างง่ายๆ ว่าเวลาจะรณรงค์อะไรจะต้องมีเป้าหมาย มีประเด็น และค้นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของเป้าหมายในการณรงค์ให้ชัดว่า อะไรเป็นแรงผลักให้รณรงค์เรื่องนี้ แน่นอน…เมื่อบอกว่าการณณรงค์มาจากสงคราม ทุกการกระทำไม่มีอะไรที่ทำเล่น เน้นเป้าหมายสูงสุดคือการเอาชนะอีกฝ่ายหรือคว่ำคู่ต่อสู้ตรงข้ามให้ได้ มีจังหวะไหนเล่นได้เล่น ปล่อยหมัดได้ต่อย ใส่ไปทุกเม็ด เก็บให้ได้ทุกดอก ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พี่หนูหริ่งแลกเปลี่ยนให้กับผู้เข้าร่วมได้รับฟัง พร้อมเปิดโอกาสให้ทุกคนได้แชร์มุมมอง ตั้งคำถาม และถกกันเกี่ยวกับแคมเปญรณรงค์ในไทยและทั่วโลก 

“การรณรงค์เหมือนสงครามเพราะสงครามมีคู่ต่อสู้ มีการกำหนดเป้าหมาย จะเอาชนะมึ*เรื่องนี้ให้ได้ อะไรทำนองนี้” 

ทำไมถึงบอกว่าการณรงค์คือสงคราม พี่หนูหริ่งอธิบายจากประสบการณ์ส่วนตัวว่า…สงครามมีคู่ต่อสู้ สงครามกำหนดเป้าหมายเรื่องที่จะเอาชนะ ขณะที่จุดเริ่มต้นของสงครามล้วนมีเบื้องหลังของความขัดแย้ง ยิ่งถ้าดูจากสถานการณ์ทุกวันนี้ จะเห็นว่าสงครามไม่ได้มีแค่คู่ต่อสู้ 2 คนที่ช่วงชิงเอาชนะกัน เหมือนกรณีของอินฟูลเอนเซอร์และนักวิชาการที่มีเรื่องราวกันอยู่ในประเด็นสงครามในช่วงนี้ ที่เปรียบเทียบเช่นนี้เพราะสงครามเหมือนการรณรงค์ตรงที่ว่า…มีมวลชน มีกองเชียร์ มีผู้สังเกตุการณ์ และมีผู้ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ในกลุ่มสุดท้ายมักพบว่า กลุ่มนี้จะมีชีวิตรอดอยู่ในทุกยุคสมัย ฉะนั้น…นักรณรงค์จะต้องมีความรู้สึกหรือ Sense ของการหาพวกพ้อง หาแนวร่วมมาเป็นทีมกลองแต๊ก ทีมกองเชียร์ ที่เห็นด้วยกับสิ่งที่กำลังทำให้ได้ 

สิ่งหนึ่งที่ถูกย้ำในวงคุยกิจกรรม Activism Space Public ของพี่หนูหริ่ง คือทุกการรณรงค์จะต้องตั้งชื่อให้มีความสร้างสรรค์ แต่ต้องเป็นความสร้างสรรค์ในภาษาที่เข้าใจง่าย มีพลังของการสื่อสาร แม้ชื่อจะดูเล็กน้อยมากถ้าเทียบกับการวางกลยุทธ์ต่างๆ แต่ชื่อเป็นอาวุธสำคัญของการณรงค์ให้ชนะในหมัดแรกๆ ได้ เพราะอาจนำไปสู่การเรียกพวกพ้องให้มาอยู่เคียงข้างกับเราในการต่อสู้ และที่สำคัญการรณรงค์จะต้องรู้ว่าสิ่ที่ทำอยู่สู้กับอะไร คู่ต่อสู้ใหญ่หรือเล็กกว่าเรามากน้อยแค่ไหน รู้ประเด็น รู้เบื้องหลัง และรู้ทันเกมของฝ่ายตรงข้ามให้ได้ 

การณรงค์คือการหาพวก…

ระหว่างทางของการทำแคมเปญหรือการณรงค์ถูกย้ำเสมอว่าเป็นการ ‘หาพวกพ้อง’ ประโยคนี้พี่หนูหริ่งอธิบายผ่านคำว่า ‘สงครามของการหาพวก’ ในความหมายนี้เหมือนกับ ‘การเมือง’ เพราะที่ผ่านมาจะเห็นว่าสถานการณ์ทางการเมือง ไม่ว่าจะมีการเลือกตั้งหรือเหตุการณ์อะไรที่เกี่ยวกับคำนี้ จะเห็นว่าการเมืองพร้อมที่จะหาพรรคร่วมหรือคนมาร่วมเพื่อให้ได้เป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านมาโดยตลอด พี่หนูหริ่งขยายความคำว่าสงครามในเชิงรณรงค์อีกว่า สงครามในที่นี้ไม่ใช่สงครามของการฆ่าหรือทำร้ายกันให้เสียชีวิต แต่หมายถึงการต่อสู้เพื่อชัยชนะ โดยเขาบอกว่าการเมืองเป็นสงครามที่ไม่หลั่งเลือด เขาใช้เรื่องนี้เปรียบเทียบกับการรณรงค์

“การเมืองเป็นสงครามชนิดหนึ่งเหมือนกับการรณรงค์ ที่เขาบอกว่าการเมืองคือสงครามที่ไม่หลั่งเลือด การรณรงค์ก็คือการสู้หรือทำสงครามกันโดยไม่หลั่งเลือด แต่เป็นเกมหาพวกพ้องมาร่วมกับเราให้ได้”

นอกจากนี้ การหาพวกในความหมายของการรณรงค์ จะต้องประเมินให้รอบคอบว่า หากนำเสนอสิ่งที่จะทำออกไป จะเป็นการรณรงค์ที่ยิงออกไปแล้วโดนพวกเราหรือพวกเขา และหากทำโดยไม่มีแบบแผนหรือวางแผนไม่ดี อารมณ์ประมาณว่ายิงกระสุนสาดมั่ว การทำแบบนี้อาจทำให้คนที่เป็นผู้สังเกตการณ์ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง สะท้อนความรู้สึกอารมณ์ด้านลบตีกลับมาต่อว่าเราได้เช่นกัน  

“ผมโคตรงงเวลาเกิดปรากฎการณ์ในออนไลน์หรือทางการเมือง ทำไมต้องไปถีบเขาให้ออกไปจากเรา ทั้งที่หน้าที่ของนักรณรงค์คือการหาพวก แล้วจะไปถีบฝั่งนั้น ฝั่งนี้ไปมากันทำไม เราถีบเขา เขามาถีบเรา จะทำไปทำไม”

ฉะนั้น เวลาที่พูดถึงการรณรงค์หรือการต่อสู้ อาจไม่ใช่การเหวี่ยงหมัดไปทั่ว แต่คือการบีบสมรภูมิการต่อสู้ให้เล็กที่สุด จำกัดคู่ตรงข้ามให้เหลือเท่าที่จำกัดวงล้อมได้เพื่อไม่ให้ศัตรูเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น พี่หนูหริ่งบอกว่า การเปิดสงครามแบบยิงไม่เลือก ต่อสู้ไปแบบกราดยิงเพื่อหวังจะกวาดเรียบในสมรภูมิแห่งชัยชนะ อาจไม่ทำให้เราชนะง่ายขึ้น แต่กลับทำให้เราต้องแบกรับศัตรูมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ ปัญหาคือหลายครั้งนักรณรงค์มักปล่อยหรือเผลอให้อารมณ์นำเป้าหมายสูงสุดของการต่อสู้

“พอจังหวะมาก็ไล่ด่า ไล่ชน ต่อว่าขั้วตรงข้ามเรียงตัวไปหมด ทั้งที่จริงแล้วสิ่งนั้นไม่ใช่การรณรงค์ แต่คือการ ‘ปสด’(หัวเราะ) ดังนั้นหัวใจสำคัญของการเคลื่อนไหวรณรงค์คือต้องควบคุมอารมณ์ไว้ให้ได้ หยุดตั้งหลักใหม่ และออกแบบว่าเราจะโฟกัสตรงไหน เลือกสู้เฉพาะประเด็นและเป้าหมายที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่สู้ทุกที่ทุกเวลา จนพลังเราหายไปกับความวู่วาม” 

การรณรงค์คือเรื่องยุคสมัย

“เข้าใจคู่ขัดแย้งในการรณรงค์ให้มากที่สุด” คือสิ่งที่พี่หนูหริ่ง ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา ย้ำตลอดวงคุยเรื่องการทำแคมเปญรณรงค์เขาบอกว่า ‘เข้าใจคน เข้าใจคู่แข่ง’ เป็นสิ่งที่นักรณรงค์ห้ามปล่อยผ่าน แต่ต้องเป็นเรื่องที่ต้องสนใจและให้ความสำคัญมากที่สุด เพราะสิ่งนี้เป็นหน้าที่หลักของนักรรณรงค์ ยิ่งไปกว่านั้นจะต้องเข้าใจไปถึงรากของความขัดแย้งที่ลึกลงไป ว่าอะไรคือเบื้องหลังที่ทำให้คู่ขัดแย้งเกิดการตัดสินใจไปอยู่ฝั่งตรงข้ามหรือเห็นต่างจากความคิดของเราที่กำลังรณรงค์ประเด็นที่เห็นว่าเป็นประโยชน์กับสังคม

เรื่องของ ‘ยุคสมัย’ เป็นสิ่งที่นักรณรงค์ไม่ว่าจะหน้าเก่าหรือใหม่ต้องทำความเข้าใจ พี่หนูหริ่งเชื่อว่าแต่ละฝ่ายมีความปรารถนาดี ความตั้งใจดีที่จะรณรงค์เพื่อให้สังคมดีขึ้น หรืออาจจะต้องมองไปถึงความเป็นมนุษย์ที่ว่า คนๆ นั้น อาจจะมีความเชื่อที่ลึกซึ้งว่านี่คือสิ่งที่ถูกที่สะสมมาจากภาพจำ รสนิยม หรือสิ่งที่ปลูกฝังเขาตั้งแต่เริ่มเกิดมาลืมตาดูโลก พี่หนูหริ่งยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัด ผ่านเรื่องเล็กๆ อย่างการแต่งกายไปเรียนระหว่างอาจารย์กับนักศึกษา สมมติอาจารย์บางคนอาจคิดว่า “เรียนหนังสือมาดีขนาดนี้ แต่ยังแต่งตัวเหมือนเพิ่งตื่นนอนอยู่บ้าน แล้วที่อดทนสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาได้ มันก็เพื่อจะได้ภูมิใจว่าเราได้เข้าเรียนที่ดี ๆ ไม่ใช่หรือ”  มุมมองเช่นนี้ หากมองตามยุคสมัย อาจเกิดจากความตั้งใจดีที่อยากเห็นนักศึกษาให้เกียรติตัวเองและสถาบัน แต่ในความเป็นจริงของปัจจุบัน นักศึกษาจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับกฎเกณฑ์เรื่องการแต่งกายแล้ว และถือเป็นสิทธิในการเลือกของพวกเขาเอง

สิ่งนี้สะท้อนว่าการรณรงค์หลายครั้ง เกิดขึ้นจากรอยต่อยุคสมัยของวันเวลาและวัยที่ต่างกัน ทำให้ผู้คนมีมุมมองไม่เหมือนกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรือผิดอะไร แต่เป็นความจริงของสังคม หากเจอเหตุการณ์เช่นนี้ คนทำงานรณรงค์ต้องมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้น และใช้เป็นโอกาสเรียนรู้ในการหาทางเชื่อมระหว่างความคิดที่ต่างกัน มากกว่าที่จะมองว่าเป็นอุปสรรคหรือมองเขาเป็นคู่ขัดแย้งตลอดไป

“เรื่องนี้เป็นคลาสสิกมาก คุณจะเจออยู่เสมอว่าคนต่างยุคต่างวัยมักมีความเห็นไม่ตรงกัน ซึ่งจริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ เพราะสังคมย่อมมีทั้งการคลี่คลายและการเคลื่อนตัว คนรุ่นก่อนอาจคิดว่า ‘เมื่อก่อนก็ทำแบบนี้ได้ ทำไมเดี๋ยวนี้ถึงทำไม่ได้แล้ว’ หรือบางครั้งก็เผลอคิดไปถึงขั้นว่า ‘เฮ้อ…พ่อแม่สอนกันมายังไง’ 

“การรณรงค์จะมีอารมณ์แบบนี้เกิดขึ้น และเมื่อความไม่พอใจเริ่มแรงขึ้น คนก็มักจะหาพวกพ้อง ใช้รุ่น ใช้อายุ ใช้ Gen เป็นตัวแบ่ง ไปคุยกันในกลุ่มไลน์ ซุบซิบนินทากันบ้าง หรือรณรงค์กันเองในพื้นที่เล็กๆ ของโลกออนไลน์ โดยเฉพาะกลุ่มไลน์ผู้สูงอายุที่เรามักคุ้นตา เริ่มต้นด้วยการส่งสติ๊กเกอร์ ‘สวัสดีวันจันทร์’ แล้วต่อด้วยการเล่าเรื่องเด็กสมัยนี้ ว่าทำไมเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก่อนจะเมาท์กันต่อไปแบบไม่รู้จบ”

สิ่งที่พี่หนูหริ่งเล่าในวงคุยกิจกรรม Activism Space Public สะท้อนความจริงที่เกิดขึ้นเสมอในสังคมว่าเรื่องความเห็นต่างระหว่างรุ่นไม่ได้เป็นสิ่งผิดปกติ ตรงกันข้าม นี่คือภาพสะท้อนของการเปลี่ยนแปลงที่กำลังดำเนินอยู่ คนรุ่นก่อนมองจากประสบการณ์ที่เคยใช้ได้ผลในสมัยหนึ่ง ส่วนคนรุ่นใหม่เติบโตมากับเงื่อนไขและบริบทที่ต่างออกไป ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้นได้เป็นธรรมชาติ

การถกเถียง การหาพวก หรือแม้กระทั่งการ ‘เมาท์ในกลุ่มไลน์’ จึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่ไร้สาระ แต่อาจเป็นกลไกที่สังคมใช้เพื่อจัดการกับความไม่ลงรอยกัน การเข้าใจสิ่งเหล่านี้ในฐานะ ‘ความธรรมดาของการเปลี่ยนผ่าน’ อาจจะช่วยให้เราไม่ตื่นตระหนกต่อความต่าง หากมองลึกลงไป นี่คือจังหวะที่สังคมกำลังเรียนรู้และปรับตัว เพื่อให้คลี่คลายไปสู่ยุคใหม่ที่คู่ขนานไปด้วยกันระหว่างการรณรงค์

กลุ่มเป้าหมายของการรณรงค์

เมื่อพูดถึงการรณรงค์ พี่หนูหริ่งย้ำเสมอว่า หัวใจแรกของการณรงค์คือการหาพวกให้ได้ก่อน” เหมือนเวลาเรียนการตลาดที่ต้องวิเคราะห์ส่วนแบ่งทางการตลาด (Segment) เราต้องรู้ว่ากำลังจะขายไอเดียนี้ให้ใคร ไม่ใช่ทำการรณรงค์แบบลอยๆ  ไม่มีข้อมูล ไม่มีประเด็น ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน แต่หวังว่าใครสักคนจะเข้าใจเรา เขาบอกว่าการรณรงค์เกี่ยวข้องกับการตลาดตรงที่ว่า “หาพวก ออกแบบว่าใครซื้อไอเดีย ทำ Segment ส่วนแบ่งทางการตลาด โดยแบ่งเป็นพวกๆ เพื่อวิเคราะห์เป้าหมาย” นั่นหมายความว่า การรณรงค์จึงไม่ต่างจากการขายสินค้าและบริการ เพียงแต่สินค้าของการรณรงค์คือแนวคิดหรือประเด็นที่สร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เราต้องการผลักดัน

กลุ่มที่อาจจะมาเป็นพวกเราในการรณรงค์

ก้าวแรกของการทำงานรณรงค์จะต้องชัดเจนว่า ใครมีแนวโน้มจะยืนอยู่ข้างเรา ตัวอย่างที่พี่หนูหริ่งหยิบมาเล่าคือ ถ้าอยากรณรงค์ให้พ่อครัว แม่ครัว เลิกใส่แครอทในทุกเมนูอาหาร อาจต้องเริ่มจากคนที่ไม่ถูกกับแครอทเป็นทุนเดิม เช่น คนสูงอายุที่ผูกพันกับรสมือแม่หรืออาหารรสชาติดั้งเดิม ซึ่งแทบจะไม่ใส่แครอทลงไปในอาหาร พอเจาะเข้ากลุ่มนี้ได้ จึงค่อยๆ ขยับต่อไปยังคนที่ไม่กินผัก หรือตั้งคำถามเรื่องต้นทุนของอาหารจานนั้น ว่าการใส่แครอทลงไปในทุกเมนูอาหารทำให้ต้องเก็บเงินลูกค้าเพิ่ม หรือสร้างขยะอาหาร (Food Waste) โดยเปล่าประโยชน์หรือไม่

จากตรงนี้ เราจะเห็นว่าการรณรงค์ไม่ใช่แค่โยนประเด็นออกไปกลางอากาศเพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมายของการรณรงค์ แต่คือการ ‘เลือกสนาม’ และ ‘เลือกผู้เล่น’ ที่จะมาร่วมอยู่กับเส้นทางของเรา บางครั้งการรณรงค์ยังสามารถขยายแนวร่วมอีกได้ เช่น เชื่อมโยงเรื่องขยะอาหาร (Food Waste) ไปยังนโยบายของ กทม. ที่กำลังรณรงค์เรื่องการให้แต่ละบ้านช่วยกันแยกขยะ และดึงหน่วยงานรัฐมาเป็นแนวร่วมต่อได้ หากเราทำให้เรื่องแครอทในเมนูอาหารมีพลังจนเป็นการรณรงค์ระดับชาติได้ 

“การฉายภาพพวกแครอทกองเป็นภูเขา ก๊าซมีเทนลอยไปยังชนชั้นบรรยากาศ นี่คือภาพตัวอย่างการหาแนวร่วมที่มีโอกาสมาเป็นพวกเรา เพราะถ้าทำการณรงค์แล้วไม่รู้ว่าใครจะเป็นพวกคุณ ไม่รู้ว่าจะไปขายใคร จะประสบความสำเร็จยากมาก”

“เช่น คนขายไอศกรีมลายสัตว์ป่า สัตว์สงวนที่เขาใหญ่ เป้าหมายเจ้าของร้านคือนักท่องเที่ยวเขาใหญ่ ถามกลับทำไมเขาไม่ขายจตุจักร เพราะมันไม่ธรรมชาติ ถ้าอยู่เขาใหญ่ไอศกรีมรสลายต่างๆ ของเขาจะเข้ากับธรรมชาติในป่าเขาใหญ่ มันทำให้คนเข้าถึงธรรมชาติ นี่คือตัวอย่างของการหาพวกที่เป็นไปได้ที่จะซื้อของเรา เพราะพอเขาซื้อเสร็จเราก็จะรู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งกับเรา”

การณรงค์คือการ “ขายความรู้สึก” 

ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญการตลาดหรือการรณรงค์ทางสังคม สิ่งที่ขายจริงๆ อาจไม่ใช่ตัวสินค้าหรือประเด็นทางสังคมที่ต้องการนำเสนอ แต่คือ ‘คุณค่าของความรู้สึก’ พี่หนูหริ่งอธิบายผ่านตัวอย่างง่ายๆ ให้ฟังในวงคุยว่า

“ไอศกรีม Walls ขายอะไร เขาไม่ได้ขายไอศกรีมอย่างเดียวนะ เขาขายความสุข น้ำดื่มอัดลมยี่ห้อต่างๆ ขายความสดชื่น เห็นจากอะไรในเรื่องนี้ เพราะเราเห็นโฆษณาทีไรมีคนเปิดน้ำมากิน ยก กระดก สดชื่น สิ่งนี้เขาขายความรู้สึกให้ผู้คน ไอศกรีมเห็นได้ชัดเลยว่าเขาขายความสุข เวลาเขาวางรูปแบบ วางแนวทางการตลาด เขาจะทำให้ไปถึงความรู้สึกของคน การณรงค์ทางสังคมก็เช่นกันครับ”

พลังของภาพถ่ายสู่การรณรงค์ที่มีพลัง…

ในโลกของการรณรงค์ ตัวอย่างชัดคือภาพ ‘เต่าทะเลถูกหลอดพลาสติกแทงจมูก’ ภาพเดียวที่กลายเป็นไวรัลไปทั่วโลก ทั้งที่ก่อนหน้านั้นมีการรณรงค์เพื่อลดการใช้พลาสติกมานับครั้งไม่ถ้วน มีแคมเปญที่ผ่านการคิดวิเคราะห์ ออกแบบกลยุทธ์อย่างรอบคอบจากนักการตลาด นักรณรงค์ และนักสร้างสรรค์ทั่วโลก แต่กลับไม่เคยสร้างแรงสั่นสะเทือนเท่ากับภาพถ่ายเพียงภาพเดียว ในประเด็นนี้พี่หนูหริ่งตั้งคำถามชวนคิดว่า

“ทำไมเต่าในทะเลที่รณรงค์ถึงมีพลัง…ทำไมหลอดอันนั้นแทงเข้าจมูกเต่ารูปนั้นมันถึงอิมแพ็ค เพราะทำให้คนเห็นรู้สึกว่าเต่ากับหลอดไม่น่าจะเจอกันได้…มันสะท้อนให้เห็นว่าโลกนี้มันบ้า เพราะว่าเต่าอยู่ในทะเลขนาดนั้น แต่หลอดสามารถยัดเข้าไปในจมูกได้”

สิ่งที่ทำให้ภาพนี้แตกต่างคือ ‘ความไม่ปกติอย่างรุนแรง’ ที่ถูกถ่ายทอดออกมา หากเต่าทะเลกินพลาสติกเข้าไปจนตายแล้วผ่าเจอในท้อง อาจยังเป็นเรื่องที่ผู้คนเข้าใจได้ในความเป็นจริง เพราะสัตว์ทะเลอาจเผลอกินพลาสติกเข้าไป ซึ่งเป็นเรื่องที่เคยได้ยินมาก่อน แต่การที่หลอดกาแฟเข้าไปปักในรูจมูก กลับทำให้ผู้คนมีความรู้สึกร่วม รู้สึกช็อกไปพร้อมกันทั่วโลก นี่คือภาพที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ และนั่นคือจังหวะที่ความรู้สึกถูกปลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากเหตุการณ์นี้สะท้อนความจริงที่สำคัญของการรณรงค์ นั่นคือ ความรู้สึกทำงานเร็วกว่าตรรกะหรือหลักการที่ถูกวางแผนมา และหลายครั้งความรู้สึกมีพลังมากกว่าการวางแผนหรือกลยุทธ์ใดๆ ในบางจังหวะและบางโอกาส เพราะทันทีที่ผู้คน ‘รู้สึก’ เขาจะเริ่มตั้งคำถามกับโลกที่เขาอยู่ และความรู้สึกนั้นเองที่จะพาไปสู่การเปลี่ยนแปลง

“ฉะนั้นการรณรงค์ ถ้าสามารถเลือกหรือทำให้มันไปถึงความรู้สึกของคนได้ มันจะน่าสนใจ แต่ถ้าตั้งใจทำก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จ…ทันทีที่มันเกิดเรื่องแบบนี้แล้วสามารถจับประเด็นได้ หยิบเอาเรื่องนี้มาถ่ายภาพเล่าเรื่อง เพราะมันทำให้คนรู้สึก การรณรงค์จะละเลยสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกไม่ได้เพราะมันทำงานเร็วมาก”

บทเรียนจากภาพเต่าไม่ใช่เพียงเรื่องของสถานการณ์สิ่งแวดล้อม แต่คือการย้ำเตือนนักรณรงค์ทุกคนว่า การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากละเลยพลังของความรู้สึกผู้คนที่เราต้องการให้มาอยู่ในแนวร่วมหรือขบวนการเดียวกับเรา

กลุ่มสังเกตการณ์ ไทยมุง ไทยเฉย และโจทย์ยากของการรณรงค์

หากเปรียบการรณรงค์เป็นการชุมนุมใหญ่หรือการต่อสู้ทางความคิด สิ่งที่ปรากฏขึ้นเสมอคือ ‘กลุ่มสังเกตการณ์’ ผู้คนที่ไม่ยอมเลือกข้าง ไม่ประกาศตัวว่าอยู่ฝ่ายใด บางคนเลือกจะยืนดูอย่างห่างๆ บางคนเรียกได้ว่าเป็น ‘ไทยมุง’ หรือ ‘ไทยเฉย’ ซึ่งวิธีคิดของคนกลุ่มนี้ซับซ้อนกว่าที่เราเข้าใจ เพราะเบื้องหลังความเงียบหรือการไม่เข้าร่วม อาจมีเหตุผลมากมาย ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตตัวเองหรือบางครั้งไม่เข้าร่วมเพียงเพราะไม่มีเวลา มีเรื่องอื่นที่เร่งด่วนกว่าให้ทำ พี่หนูหริ่งบอกว่าไม่ใช่เรื่องผิดเพราะเป็นสิทธิของคนเราที่สามารถทำได้เช่นกัน และนี่คือกลุ่มที่นักรณรงค์หลายคนอยากดึงมาเป็นพวก แต่พี่หนูหริ่งกลับพูดตรงๆ ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย

“ถ้าคุณมีโจทย์ที่จะเอาพวก Ignore มาเป็นพวก…จริงๆ ต้องบอกว่าพวก Ignore เป็นพวกที่คุณไม่มีปัญญาในการเอาเขามาเป็นพวก (หัวเราะ) คุณเลยเรียกหรือด่าเขาว่าเป็นพวก Ignore เพราะคุณไม่มีปัญญาเอาเขามาเป็นพวกไงครับ”

คำพูดนี้อาจดูแรง แต่สะท้อนความจริงที่เจ็บปวด นั่นคือการจะเปลี่ยนคนเฉยเมยต่อเรื่องที่กำลังรณรงค์ให้กลายมาเป็นคนร่วมขบวนจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะโดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาไม่ได้รู้สึกว่าประเด็นนั้นๆ เชื่อมโยงกับชีวิตตัวเองเลยสักนิดเดียว หรือคิดว่าทำไปแล้วเราจะได้อะไรกลับคืนมา หรือทำแล้วเปลี่ยนสังคมได้จริงหรือไม่

ทำอย่างไรให้คนเฉยเชื่อมโยงกับประเด็นที่จะรณรงค์

แม้จะเป็นโจทย์ที่ยาก แต่ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ พี่หนูหริ่งตั้งคำถามชวนคิดว่า หากวันหนึ่งต้องทำให้คนเหล่านี้รู้สึกเกี่ยวข้องกับการรณรงค์ เราจะทำได้อย่างไรได้บ้าง

“สมมุติว่าคุณได้โจทย์ว่าคุณต้องเอา Ignore มาเป็นพวก คุณจะทำยังไง…คือจะต้องทำยังไงก็ได้ให้เขารู้สึกเชื่อมโยงกับเรื่องนั้น ๆ ในการรณรงค์ เกี่ยวกับเขายังไง เช่น เรื่องแครอท คุณจะ Ignore ได้หรือเปล่า ถ้าคุณเป็นชาตินิยม คุณจะให้แครอทต่างประเทศมาอยู่ในอาหารไทยได้หรือเปล่า ให้แครอทมาเป็นอาณัติหรืออาณานิคมในการบริโภคแบบใหม่ได้จริงเหรอ”

นั่นหมายความว่า การเปลี่ยนใจคนเฉยเมยต้องอาศัย ‘การหาจุดเชื่อมโยง’ ที่ทำให้เขารู้สึกว่าประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ยกตัวอย่างสมมติ การโยงประเด็นอาหารเข้ากับความเป็นชาตินิยมกับเรื่องแครอทในเมนูอาหาร หรือเชื่อมโยงปัญหาสิ่งแวดล้อม Food Waste ให้เข้ากับชีวิตประจำวัน เช่น ขยะที่ล้นเมืองและกลับมากระทบคุณภาพชีวิตของเขาเอง

ศิลปะแห่งการรณรงค์ ระวังหมัดสวน และอ่านเกมให้ขาด

การรณรงค์ไม่ใช่การออกไปต่อสู้โดยใช้เพียงความกล้าหรืออารมณ์ที่เดือดพล่าน แต่เป็นศิลปะที่ต้องรู้จักทั้งการรุกและการรับ รู้จักจังหวะที่จะออกหมัดและจังหวะที่จะหลบ เพราะทุกสนามที่ก้าวลงไปคือสนามต่อสู้ทางความคิด ความหมาย และพลังของมวลชน พี่หนูหริ่งเปรียบให้ฟังว่าการณรงค์เหมือนการขึ้นสังเวียนมวยตรงที่ว่า เวลาเราออกอาวุธในการรณรงค์เหมือนการต่อยมวย ต้องรู้ว่าเวลาต่อยว่าต้องทำยังไง ต้องคิดอยู่ 2 อย่าง  1.จะเขาชกจุดไหนของคู่แข่ง จะออกหมัดใส่ซี่โครงตรงไหนก็ได้ที่ทำให้คู่แข็งล้มหรือน็อค 2.ทำยังไงเราจะอยู่นอกวิถีที่จะไม่ให้เขาสวนกลับมาหาเราได้ ฉะนั้นการรณรงค์ไม่ว่าจะเรื่องอะไร จะต้องระวังตัวให้รอบด้าน ไม่ใช่ผลีผลาม เพราะจังหวะสวนกลับมีมาได้เสมอ พี่หนูหริ่งย้ำว่าอย่าไว้วางใจจังหวะนี้เพราะมีคนล้มจังหวะสวนมาหลายคนแล้ว

“หมัดสวนคือสิ่งที่นักรณรงค์มักประเมินต่ำเกินไป หากเราเลือกเล่นในประเด็นที่ไม่มีน้ำหนักมากพอ หรือไม่สามารถปิดจุดอ่อนของข้อเสนอได้ การถูกสวนกลับอาจทำให้มวลชนที่ยืนอยู่กับเราสั่นคลอนได้ง่ายๆ”

“การทำรณรงค์เราต้องวิเคราะห์จังหวะสวน เราต้องรู้คู่ต่อสู้ หรือแม้แต่คนที่ไม่ใช่คนฝั่งเรา เพราะเราอาจจะเสียคนของเราไปด้วยเหตุผลว่าเราอาจจะเสียมวลชนไปด้วยความพลาด เพราะไปเล่นในประเด็นที่คุณไม่มีน้ำหนัก พอคุณพลาดหมัดเดียวอาจจะเป๋ล้มเลย จบเกม”

แล้วจะทำอย่างไรกับ ‘อีกฝั่ง’ คืออีกโจทย์หนึ่งที่ท้าทายไม่แพ้กัน นั่นคือการเผชิญหน้ากับฝั่งตรงข้าม คนที่ไม่เพียงเฉย แต่ประกาศตัวว่าอยู่ตรงข้ามกับเราอย่างชัดเจน เช่น คนที่เป็น ‘ติ่งการเมือง’ หรือผู้ศรัทธาในอุดมการณ์คนละชุดกับสิ่งที่เรารณรงค์ พี่หนูหริ่งบอกว่าการหวังให้พวกเขาเปลี่ยนข้างนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะความเชื่อเป็นเรื่องที่ฝังลึก แต่สิ่งที่ทำได้คือการไม่ทำให้พวกเขากลายเป็นศัตรูที่พร้อมจะรวมตัวกันโต้กลับเราด้วยพลังมหาศาล

“ตอนเรารณรงค์เลือกตั้งทางการเมืองก็จะมีการบอกว่า ‘อย่าไปเสียเวลากับคนที่เป็นติ่งของอีกฝั่งหนึ่ง’…ถ้าเป็นผม เราจะไม่คาดหวังให้เขามาเชื่ออยู่ฝั่งเรา แต่ว่าจะทำยังไงให้คนพวกนั้นไม่เป็นศัตรูกัน ไม่ทำอะไรที่ทำให้เขารู้สึกว่าเกินไป จนเขาโมโหแล้วไปรวมตัวกันแล้วอัดเราเข้ามา แค่ทำให้เขาสงบปาก สงบคำไป นี่คือสิ่งที่พอจะทำได้ในการไม่เพิ่มปัญหาความขัดแย้งในการรณรงค์”

การรณรงค์เปลี่ยนความคิดอีกฝั่งยากที่สุด ต้องทำงานเชิงคุณภาพ 

แม้จะยาก แต่ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เลย การเปลี่ยนความคิดของอีกฝั่งอาจเกิดขึ้นได้ หากเป็นการทำงานเชิงคุณภาพที่ลึกและต่อเนื่อง ซึ่งไม่ใช่การถกเถียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่คือการรื้อถอนระบบความคิดที่เขายึดถือมายาวนาน

“เคยมีคนถามว่าไปเปลี่ยนความคิดของอีกฝั่งหนึ่งได้ไหม…การชนะกันในระดับนั้นเป็นชัยชนะที่ยากมาก แต่เราสามารถทำได้ แค่จะต้องเป็นงานเชิงคุณภาพ คุณต้องล้มล้าง ต้องป้อนข้อมูลมหาศาลเข้าไปหักล้างชุดความคิดที่เขาสะสมและยึดถือไว้ ตั้งแต่ระดับข้อมูล ระบบวิธีคิด ระบบการให้คุณค่า”

นี่จึงไม่ใช่การต่อสู้ด้วยประโยคเดียวหรือโพสต์เดียว แต่ต้องเป็นการค่อยๆ ป้อนความรู้ สร้างพื้นที่แลกเปลี่ยน และบางครั้งต้องอาศัยสายสัมพันธ์ส่วนตัว คนใกล้ชิด เพื่อน หรือคนที่เราไม่อยากเสียเขาไป เราต้องป้อนข้อมูลมหาศาลให้เขาค่อยๆ ไม่เชื่อในสิ่งที่เชื่อแบบเดิมถ้าคนนั้นหรือกลุ่มนั้นสำคัญกับเราจริงๆ 

“การเข้าใจที่จะเปลี่ยนความคิดคนอีกฝั่งในระดับนั้นได้ คุณจะต้องเลือก แล้วก็หาประเด็นในการทำงานเชิงคุณภาพ ถึงจะเอาเขามาอยู่เป็นพวกเราได้ในการรณรงค์”

“ในบางกรณีเราอาจจะต้องใช้ความพยายามพอสมควร หากมีความจำเป็นบางอย่างที่จะต้องนำมาเป็นพวกให้ได้ เช่น เป็นเพื่อนสนิทหรือคนที่เรารู้สึกว่า เสียมึ*ไปไม่ได้ ยอมให้มึ*โง่แบบนี้ไม่ได้ จะอุทิศตนให้กับมึ* จะค่อยให้ความรู้กับมึ* ให้ได้”

ศิลปะของการรณรงค์ จึงไม่ใช่แค่การมีเรื่องที่ถูกต้องอยู่ในมือ แต่คือการวางเกมอย่างระมัดระวัง การเลือกจังหวะการรุกและรับ การรู้จักอ่านคู่ต่อสู้ให้ขาด เพราะหมัดเดียวที่พลาด อาจทำให้ทั้งขบวนการรณรงค์ล้มไม่เป็นท่า หรือที่ภาษานักมวยเรียกว่า ‘เมาหมัด’ หรือ ‘เป๋’ บนสังเวียน ดังนั้น การรณรงค์จึงไม่ต่างจากการต่อสู้ที่ต้องใช้ทั้งสมอง หัวใจ และความอดทน เพื่อสร้างสมดุลระหว่าง การชนะใจคนของเรา การไม่ผลักคนที่ไม่เห็นด้วยให้กลายเป็นศัตรู และการเปิดพื้นที่เล็กๆ ให้กับความหวังในการเปลี่ยนใจอีกฝั่ง

บทเรียนจากความล้มเหลวและต้นทุนที่ต้องคำนวณ

แน่นอนว่าไม่มีใครบนเส้นทางการรณรงค์ที่ไม่เคยผิดพลาด พี่หนูหริ่งเล่าด้วยน้ำเสียงขำปนเจ็บว่า กว่าสิบปีก่อน เขาเคย ‘เน่าในโลกออนไลน์’ เพราะหยิบประเด็นที่ตัวเองเชื่อว่ามีคุณค่ามาพูดในโลกออนไลน์แบบ ‘วิวาทะ’ แต่กลับกลายเป็นการรณรงค์ที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า ตอนนั้น เป็นยุคที่อินเทอร์เน็ตเพิ่งเริ่มเฟื่องฟู และปัญหาที่เห็นทั่วไปคือ การเผยแพร่คลิปหลุดและคลิปเด็ก ซึ่งถือเป็นเรื่องร้ายแรงและควรได้รับการจัดการ เขาตัดสินใจพูดเรื่องนี้ออกไปอย่างตรงไปตรงมา แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาไม่ใช่การถกเถียงในสาระสำคัญที่ต้องการสื่อสารเพื่อสังคม หากแต่เป็นเสียงด้านลบที่พุ่งเข้ามาหาเขากลับรอบทิศทาง ถึงขั้นมีคนหันมาโจมตีตัวเขาแทนว่า “มึ*ไม่เคยดูหนังโป๊หรอ มึ*ไม่เคยช่วยตัวเองหรอ มึ*ทำตัวเป็นพวกศีลธรรมสูง” เหตุการณ์ในตอนนั้นทำให้การรณรงค์ถูกบิดประเด็นไปจนหมด จากประเด็นที่ควรจะถกกันเรื่องความเหมาะสม กลับกลายเป็นการตั้งธงใหม่ว่าเขาเป็นคนสอนศีลธรรมในโลกออนไลน์

“ตอนนั้นผมไม่สามารถพาสังคมกลับเข้ามาใน Message หรือข้อความที่เราชวนสังคมคิดเรื่องคลิปเด็กหรือคลิปหลุดนั้นได้ เพราะว่าพอเราเผชิญหน้ากับปริมาณการโต้กลับในเชิงปริมาณ เราจะสู้เชิงปริมาณไม่ค่อยได้…นี่เป็นความผิดพลาดที่ตอนนั้นถือว่าผิดพลาดยับเลย ไม่มีที่ยืนเลย ยกธงเลยตอนนั้น”

สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดไม่ใช่เพียงเสียงต่อว่าด้านลบกับพี่หนูหริ่ง แต่คือการที่สังคมไม่กลับมาที่หัวใจของประเด็นในเรื่องคลิปอีกต่อไป เหตุการณ์ในตอนนั้นเหมือนเป็นการขึ้นสังเวียนมวยที่โดนหมัดสวนแรงๆ จนเสียหลักทันทีของเขา เพราะสู้กับกระแสสังคมที่ตีกลับมาอย่างถาโถมอยู่ตัวคนเดียว

“เวลาเราสู้กับแมส พวก Activism จะเป็นแบบนี้นะ เวลาสู้กับอะไรที่แมสยากมาก ให้คนกลับมาคุยในหลักโจทย์ที่ตั้งไว้จะไม่มีใครกลับมาคุย เพราะปริมาณที่ถาโถมเข้ามาในโจทย์ มันจะทำให้เกิดการตั้งธงใหม่ขึ้นมา…พอมันหลุดออกจากหลักโจทย์ที่เคยตั้งไว้ เท่านั้นแหละ การรณรงค์หรือทำอะไรจะจบเห่เลย”

คู่ต่อสู้ที่ใหญ่เกินไป และศิลปะแห่งการตีทางอ้อม

อีกหนึ่งตัวอย่างคือกฎหมายอาญามาตรา 112 หมิ่นประมาทกษัตริย์ พี่หนูหริ่งยอมรับตรงๆ ว่านี่คือพื้นที่ที่ “มัดมือ มัดปาก มัดขา” นักรณรงค์ไว้แทบทั้งหมด เขาพูดอธิบายในการรณรงคืประเด็นนี้ว่า

“อีกกรณีมาตรา 112 เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มัดมือ มัดปาก มัดขาคุณ คุณสู้ยังไง เถียงยังไงก็ไปไม่ถึง…เราเจอกับสถานการณ์ขนาดใหญ่ เหมือนเราไปสู้รบกับสิ่งที่จะตอบโต้กลับมาเชิงปริมาณที่มาก ถ้าทำแบบนั้นจะยากมาก เราต้องเริ่มค่อยๆ ไต่ สะสม Momentum ต้องหาวิธีการสะสมเรื่องนี้ และก็อาจจะไม่ตีเข้าไปตรง ๆ แต่อาจจะต้องเลือกใช้วิธีการตีทางอ้อม รอจนมันได้กระแสแล้วจึงค่อยปล่อยออกมา”

สิ่งที่พี่หนูหริ่งพยายามสะท้อนให้เห็นคือ นักรณรงค์ไม่สามารถเผชิญหน้ากับทุกเรื่องอย่างตรงไปตรงมาได้เสมอไป การตีทางอ้อม การสะสมพลัง และการรอจังหวะ จะกลายเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญไม่แพ้ความจริงใจหรือความกล้าหาญในการทำเรื่องนี้ คำถามที่ตามมาคือ บางครั้งการรณรงค์ต้องยอมสูญเสียอะไรบางอย่างหรือไม่ พี่หนูหริ่งมองว่า การสูญเสียไม่ควรถูกมองว่าเป็นการทิ้งจุดยืน แต่คือส่วนหนึ่งของศิลปะการต่อสู้

“การรณรงค์เพื่อต่อสู้กับอะไรเป็นศิลปะ ไม่ใช่เป็นการเสียจุดยืน…เพราะคนที่ไม่สนใจคุณ เขาจะมาเสียเวลากับคุณทำไม แค่ได้โจทย์ให้คนที่ไม่สนใจมาสนใจ โจทย์แค่นี้ก็โคตรยากแล้ว”

เพียงแค่ทำให้คนที่ไม่สนใจ ยอมอ่านบรรทัดแรกจนถึงบรรทัดที่สี่ได้ ถือว่าเป็นเรื่องท้าทายสูงสุดแล้ว การโน้มน้าวต้องอาศัยทั้งศิลปะของการเล่าเรื่อง การเลือกเหตุผล และการสร้างจุดเชื่อมโยงที่คมพอจะดึงให้เขาอยากอยู่ต่อ แต่เส้นทางนี้เต็มไปด้วยบาดแผล นักรณรงค์จำนวนมากเผชิญกับความรู้สึกท้อแท้ว่า “ทำไปทำไม ไปเรียนหนังสือเถอะ พ่อแม่ลำบาก คนอื่นเขามองลูกยังไง” เสียงเหล่านี้ถูกสะท้อนในวงคุยว่า คือแรงกดดันที่กัดกินใจนักรณรงค์จำนวนหนึ่ง พี่หนูหริ่งเตือนว่าทุกการรณรงค์มี ‘ต้นทุน’ และหากไม่คำนวณต้นทุนล่วงหน้า อาจเดินไปไม่ไหวในที่สุด แต่การรู้ว่าต้นทุนสูงจะช่วยเปิดประตูให้เราออกแบบและวางกลยุทธ์ใหม่ เพื่อหาเส้นทางที่ใช้พลังน้อยลง แต่ได้ผลลัพธ์มากขึ้นในการรณรงค์

“อย่าลืมว่าเราต้องคำนวณเรื่องต้นทุน หลายคนไปต่อไม่ได้เพราะเราไม่ได้คำนวณต้นทุนก่อนว่า เราจะเจอกับอะไร เจอกับเบอร์ไหน พอเราไม่คำนวณต้นทุน พอเราทำไป โอ้โห พอเดินกลับมาก็อาจจะไปต่อไม่ไหว เลิกแล้ว ไม่ทำแล้ว พอแล้ว”

“การคำนวณต้นทุนในการรณรงค์จะนำไปสู่ศิลปะอีก เพราะเวลาคุณรู้ว่ามีต้นทุนสูง คุณจะไปพยายามลดต้นทุน คุณจะหาวิธีการ คุณจะลงทุนกับการออกแบบ คุณจะลงทุนกับการคิดวิเคราะห์ว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร”

ในมุมความล้มเหลวของพี่หนูหริ่งอาจไม่ใช่เรื่องของแพ้หรือชนะเพียงอย่างเดียว แต่คือการตระหนักว่า การรณรงค์คือ ศิลปะแห่งการคำนวณต้นทุนและอ่านเกมในการต่อสู้ ต้องรู้ว่าเมื่อใดควรเดินตรง เมื่อใดควรตีอ้อม เมื่อใดควรยอมเสียเพื่อให้ได้กลับมา และเมื่อใดควรหยุดเพื่อรักษาพลังที่เหลือ เพราะในท้ายที่สุด สิ่งที่สำคัญไม่ใช่แค่การออกไปต่อสู้ แต่คือการรักษาแรงของขบวนการไว้ให้นานพอเพื่อไปถึงเป้าหมายของการรณรงค์

รณรงค์ครั้งเดียวอาจไม่ชนะเสมอไป

เมื่อเราต้องเจอกับโจทย์ใหญ่ในการรณรงค์ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายตรงข้ามที่แข็งแกร่งกว่า มีกำลังมากกว่า หรือแม้กระทั่งเจอกับ ‘กระแสสังคม’ หรือเรียกกันว่า ‘แมส’ ที่ถาโถมจนดูเหมือนเราแทบไม่มีที่ยืน สิ่งสำคัญที่สุดคือการเข้าใจว่า การรณรงค์ไม่ใช่เรื่องของชัยชนะในครั้งเดียว แต่คือการรู้จักสร้างหมุดหมายและสนามการต่อสู้ให้เกิดขึ้นก่อน

  1. ปักธงให้ชัดเจน สิ่งแรกที่ต้องทำคือการปักธง ว่าเรากำลังรณรงค์เรื่องอะไร ประเด็นนี้ต้องถูกวางลงในพื้นที่สาธารณะให้ชัด เพื่อให้สังคมเห็นว่ามีคนกำลังตั้งคำถามหรือเสนอทางเลือกอยู่จริง

“การณรงค์ทุกครั้งจะต้องไม่คิดว่าจะเอาชนะให้ได้ในครั้งเดียว แต่เราคิดว่าเราจะต้องปักธงอะไรก่อน เอาธงไปปักก่อนว่ามีประเด็นนี้”

เพราะเมื่อธงถูกปักลงไปแล้ว ขั้นต่อมาคือการหากำลังสนับสนุน แม้จะเป็นเพียงเสียงส่วนน้อย 5% หรือ 10% ก็มีความหมาย เพราะการปะทะในสนามสาธารณะย่อมดึงดูดสายตาคนอื่นๆ ได้ และทำให้ผู้ที่คิดเหมือนเราเริ่มเดินมาต่อแถวอยู่ข้างหลังไปกับเรา

“การที่รู้ว่ามีคนที่อยู่ฝั่งเราจำนวนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นคนส่วนน้อย แต่การณรงค์ต้องมีกองกำลังอยู่กองกำลังหนึ่ง…เพราะว่าคนจะหันมามอง คนที่อยู่ฝ่ายเดียวกับคุณเขาจะมาต่อแถวกับคุณ เขาจะรู้แล้วว่าการต่อสู้เริ่มขึ้น เพราะเขาเห็นสัญญาณว่าคุณเป็นผู้นำที่คุณอุทิศตนมาสู้”

  1. การปะทะคือพื้นที่แห่งการโน้มน้าว หลายครั้งกระแสหลักของสังคมเอียงไปอีกด้าน เช่น เรื่องสงครามกับสันติภาพที่เสียงส่วนใหญ่กว่า 80% อาจโน้มไปทางสงคราม แต่การปะทะในพื้นที่สาธารณะยังมีความหมาย เพราะอาจช่วยให้คนบางส่วนที่กำลังไหลไปตามกระแส เกิดการฉุกคิดและกลับมาตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“เวลาหลีดประเด็นที่จะไปปะทะผมจะรู้ว่าไปปะทะที่มีการสู้กับแมส แต่ว่าการพูดกับแมสถ้าประเด็นดี ข้อมูล ข้อต่อสู้ดี คุณจะไปฉกคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามให้เกิดการฉุกคิดขึ้นได้…คุณไป Click มัน ไป Calm Down มัน แล้วคุณก็ไปกวาดคนพวกนี้มาเป็นพวก ความจริงอาจจะได้มาสัก 1 เปอร์เซ็นต์ คน สองคน สามคน แต่สมรภูมิแบบนี้จำเป็นในการขึ้นปะทะ”

แม้จะเป็นเพียงการได้คนมาทีละน้อย แต่การปะทะยังเป็นพื้นที่จำเป็นของการรณรงค์ เพราะถ้าไม่มีการปะทะ ประเด็นที่รณรงค์อาจจะไม่ถูกมองเห็นในสังคม เพราะว่าในการณรงค์เป็นการต่อสู้เรื่องข้อมูล ชุดวิธีคิด ถ้าไม่มีการปะทะ ไม่มีสนาม แต่เลือกไปรณรงค์ตามโรงเรียน จัดกิจกรรมตามโรงเรียน ทำกลุ่มเล็กๆ ทำไปเรื่อยๆ พี่หนูหริ่งชวนตั้งคำถามในวงคุยว่า “แล้วเมื่อไหร่เป้าหมายของการรณรงค์จะสำเร็จ”

“ถ้าคุณแข็งแรงมากพอคุณต้องขึ้นปะทะเลยในการรณรงค์ เตรียมตัว เตรียมใจให้ดีว่าจะโดนทัวร์ลง เตรียมลานทัวร์ดีๆ ทำสมาธิดีๆ ให้มีกำลังใจดีๆ ว่าคุณขึ้นปุ๊ปทัวร์ลงแน่นอน แต่ถ้าประเด็นคุณดีแหลมคมพอ คนจำนวนหนึ่งจะมาต่อแถวกับคุณ คุณจะได้คนเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง คุณค่อยๆ สะสมเรื่องแบบนี้ คุณเอาอีก จังหวะดีมันจะค่อยๆ มา”

เวลาและจังหวะสำคัญที่สุดของการณรงค์

สิ่งที่นักรณรงค์จำนวนมากมักพลาดคือ การไม่เข้าใจเรื่องเวลา (Timing) สิ่งนี้สำหรับพี่หนูหริ่งบอกว่า ประเด็นที่ดีมากหลายครั้งในการทำกิจกรรมรณรงค์ ถ้าไม่ถูกปล่อยในเวลาที่เหมาะสมอาจสูญเปล่าทันที ฉะนั้น การรณรงค์จึงไม่ใช่แค่มีตารางงานที่ชัดเจน แต่ต้องรู้จักอ่านบรรยากาศ อ่านกระแสของสังคมให้เป็น วางหมาก วางเกมให้รอบคอบก่อนการรณรงค์

“มันมีเรื่องบรรยากาศของการรณรงค์ด้วยนะ คือการรณรงค์ไม่ใช่ทุกเวลาทำได้นะ คุณต้องรู้ว่าประเด็นของคุณอยู่ในช่วงเวลา Timing ไหน เวลาไหนเหมาะที่สุดที่จังหวะนี้ต้องขึ้นแล้ว”

พี่หนูหริ่งพูดถึงหลายองค์กรที่ทำงานรณรงค์ว่า มีจำนวนไม่น้อยที่มักติดกับ ‘Calendar’ หรือ ‘ตารางปฏิทิน’ ที่วางแผนไว้ล่วงหน้า แต่เมื่อประเด็นในกระแสจริงๆ เกิดขึ้น กลับไม่ตรงกับตารางที่เตรียมไว้ ทำให้ไม่สามารถออกมารับมือได้ทัน จึงทำให้หลายองค์กรพลาดโอกาสสำคัญไปในการรณรงค์

“นักรณรงค์ทำงานเป็นแบบแผน มีตัวชี้วัด มีตารางชัดเจนว่าจะทำอะไร แล้วเวลามีประเด็นขึ้นมา ดันไม่ตรงกับตาราง Calendar ที่ตั้งไว้ แล้วอาจจะบ่นว่า ไม่ตรงเวลาเลย ยังไม่ถึงเวลาเลย เตรียมตัวไม่ทัน ออกมาไม่ได้ รับมือไม่ทัน แบบนี้ไม่ได้เลยนะ การเป็นนักรณรงค์ต้องจับจังหวะให้ได้”

เพื่อให้เห็นภาพ พี่หนูหริ่งยกตัวอย่างจากสารคดีธรรมชาติเกี่ยวกับเสือหรือสิงโตที่ไม่ได้วิ่งไล่กวางทุกครั้ง แต่จะหมอบรอจังหวะให้แน่ใจว่าลูกกวางเข้ามาในระยะที่จับได้ ถ้าวิ่งออกไปโดยไม่พร้อม จะเสียแรงเปล่าและล้มเหลว

“สารคดี Night Safari มันจะมีเสือ สิงโต จะหมอบตรงต้นหญ้า มองไปนิ่งๆ ดูว่าลูกกวางจะวิ่งมาในทุ่งหญ้าไหม จะรอจนกว่าลูกกวางวิ่งเข้ามา เพราะลูกกว้างวิ่งช้า มีโอกาสสำเร็จ มีประสิทธิภาพให้โอกาสความสำเร็จมี…คุณจะต้องเป็นสิงโตที่ดุๆ แอบอยู่หลังพุ่มไม้ หลังต้นหญ้า รอจนกว่าลูกกวางจะวิ่งมาในเส้นทางที่คุณประกบได้ แล้วคุณออกไปจับมันให้ได้”

อีกภาพหนึ่งที่พี่หนูหริ่งยกตัวอย่างคือ ‘กัปตันเรือใบ’ ที่ต้องรู้จักทิศทางลมและจังหวะ ถ้าไม่มีลม ต่อให้ชักเรือใบอย่างไรก็ไม่ไปไหน นักรณรงค์ก็เช่นกัน ต้องจับให้ได้ว่ากระแสสังคมกำลังพัดไปทางไหน และรอให้ถึงจังหวะที่ลมมาเต็ม ก่อนจะยกใบออกเดินทาง ดังนั้น กระแส… โอกาสเป็นรูปธรรมที่พี่หนูหริ่งแนะนำให้นักรณรงค์ใช้บ่อยๆ ในการทำประเด็นต่างๆ

“นักรณรงค์ต้องเป็นกัปตันเรือใบ เพราะบางคนชอบการการณรงค์ที่แบบไม่มีกระแสเลย ลมอะไรไม่มีกระแสเลย ถ้าเปรียบเทียบกับการชักเรือใบในทะเลแล้วไม่มีลม คุณชักเรือใบยังไงก็ไม่ไปไหน เหนื่อยฟรี…คุณต้องรู้ตารางของลม รู้พฤติกรรมของลม รู้ว่ามาเดือนไหน อะไรยังไง แล้วรู้สึกได้ว่ามาแล้ว ลมมาแล้ว คุณถึงชักเรือใบขึ้นได้”

“พวกชักเรือใบสำคัญมากในงานรณรงค์ เพราะคุณรู้ว่ากระแสลมมาแล้ว มาเต็มเลย แต่ว่าพลาดตรงตาราง กลยุทธ์ แผนงานที่วางไว้ต้องตาม ปฏิทิน Calendar จึงทำให้ไปไม่ได้ ดังนั้นคุณจะต้องเป็นเสือ มีหน่วยเป็นสิงโต คอยเฝ้าอยู่ กระแสลมมาก็ลุยเลย”

มาถึงตรงนี้การเผชิญหน้ากับโจทย์ใหญ่ในการรณรงค์จึงอาจไม่ใช่เรื่องของการหวังชัยชนะครั้งเดียว แต่คือการปักธงให้สังคมเห็นการสร้างสนามให้เกิดขึ้น และการค่อยๆ สะสมพลังจากคนที่เห็นด้วย แม้จะเป็นเพียงคนส่วนน้อยก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องอ่านเวลา จังหวะ และบรรยากาศให้ขาด ต้องรู้จักรออย่างสิงโต ต้องใช้กระแสลมให้เป็นเหมือนกัปตันเรือใบ การรณรงค์ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จจึงไม่ใช่การวิ่งตลอดเวลา แต่คือการรู้จักหยุด รู้จักรอ และรู้จักเลือกจังหวะที่จะออกไปสู้ให้ถูกที่ ถูกเวลา เพื่อให้พลังที่ใช้ไปไม่สูญเปล่า แต่สร้างผลกระทบที่มากที่สุดในเวลาที่เหมาะสมที่สุด 

จังหวะที่สองของการรณรงค์ ใช้แรงของฝ่ายตรงข้ามเพิ่มพลังให้เรา

การรณรงค์ไม่จำเป็นต้องสร้างพลังจากศูนย์เสมอไป หากแต่สามารถ “ฉวยโอกาสใช้แรงคู่ต่อสู้หรือคนอื่นส่ง” จากสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้วในสังคม หรือแม้แต่แรงที่มาจากฝ่ายตรงข้าม แล้วเติมแรงของเราเข้าไป ทำให้เกิดพลังมหาศาลยิ่งกว่าเดิม

“อีกแบบหนึ่งที่ผมชอบคือจังหวะที่ 2 ใครเล่นฟุตบอลจะรู้จังหวะนี้ คือมีคนส่งบอลมาก่อนแล้วคุณตัดหรือได้รับลูกก็ยิงซัดตู้มเข้าไป ใช้แรงของผู้ต่อสู้หรือบอลที่วิ่งเข้ามาในวิถีของเราแล้วก็ซัดบวกกับแรงของตัวเองอัดเข้าไป มันจะทำให้บอลแรงขึ้น”

จังหวะแบบนี้คือการไม่ฝืนทิศทาง ไม่พยายามแบกทุกอย่างไว้คนเดียว แต่รู้จักใช้กระแสที่เกิดขึ้นให้เป็นโอกาสต่อยอด คล้ายกับนักฟุตบอลที่ไม่ได้เลี้ยงบอลมาจากครึ่งสนาม แต่รอจังหวะรับบอลจากเพื่อนหรือจากฝ่ายตรงข้าม แล้วซัดต่อทันที แรงปะทะที่เกิดขึ้นจึงรุนแรงกว่าการทำเพียงลำพัง

การตั้งวาระ กุญแจสำคัญในการกำหนดบทสนทนาทางสังคมในการรณรงค์

ในโลกการตลาดมีสิ่งที่เรียกว่า การตั้งวาระ (Agenda Setting) หมายถึงการกำหนดสิ่งที่สังคมจะพูดถึงหรือให้ความสนใจ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในทักษะสำคัญที่สุดของการรณรงค์ หากสามารถตั้งวาระได้เท่ากับว่าการรณรงค์ของเรากำลังเป็นผู้นำการสนทนาของทั้งสังคม แต่โจทย์ใหญ่คือจะทำได้อย่างไรหากไม่มีกระแสลม ไม่มีแรงส่งของกระแสสังคมอยู่เลยในตอนนั้น ซึ่งเรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์ทางสังคมหรือการตลาดล้วนเป็นเรื่องยากมากหากไม่มีอิทธิพลทางความคิดหรือเงินมากพอ

“ในภาษาการตลาดเรียกว่าเป็นการ Setting Agenda คุณจะกำหนดหรือวางมันได้ยังไงถ้าไม่มีลมเลย และต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก ช่วงหลังมันเกิดขึ้นใน Viral ประหลาดมากเลย นักการตลาดจำนวนมากพยายามทำสิ่งที่เรียกว่า Viral Marketing เพราะราคาถูก และมีพลังมหาศาล”

“ปัญหาคือคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าทำสิ่งนี้จะ Viral ไปอยู่ในกระแสสังคม ถ้าคุณมีเงินมากพอ มีอำนาจมากพอ หรือเป็นคนที่อยู่ในสปอร์ตไลท์เวลานั้น ถ้าคุณอยู่ในตำแหน่ง มีแสง มีเสียงอยู่ในมือคุณทำสิ่งนั้นได้”

การตั้งวาระในการรณรงค์จึงไม่ใช่เรื่องของความคิดสร้างสรรค์เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นเรื่องของบริบท อำนาจ และสถานะในสังคมที่อาจเอื้อให้สิ่งหนึ่งกลายเป็นประเด็นใหญ่ได้

จากที่กล่าวมาจะเห็นว่า ผู้มีอำนาจหรือผู้ที่อยู่ในสปอร์ตไลท์จะมีโอกาสมากว่า ส่วนคนธรรมดาที่อยากทำการรณรงค์ต้องเผชิญกับโจทย์ที่หนักอึ้ง นั่นคือการสร้างกระแสขึ้นมาโดยแทบไม่มีทรัพยากรหนุนหลัง การจะทำให้เรื่องเล็กๆ กลายเป็น ‘พายุ’ จึงเป็นภารกิจที่ยากที่สุดในการทำการรณรงค์ของคนธรรมดาที่มีต้นทุนไม่มากมาย

“คนธรรมดาจะสร้างลม สร้างพายุขึ้นมายังไงในการรณรงค์ ผมไม่รู้ครับ เป็นเรื่องที่ยากมากเลย โคตรยากเลย แต่ผมรู้อยู่ว่าถ้าจะทำเรื่องนี้ เนื่องจากไม่ได้ต้องการกระแสเล็กๆ น้อยๆ เป้าหมายคุณคือพายุ มันมีทางเดียวคือคุณต้องทำสิ่งที่เรียกว่า Viral Marketing ให้ได้ อะไรที่เป็นองค์ประกอบของ Viral คุณต้องพยายามถอดออกมาให้ได้”

นั่นหมายความว่าคนธรรมดาจำเป็นต้องเรียนรู้จากปรากฏการณ์ไวรัลที่ผ่านมา พยายามถอดรหัสองค์ประกอบว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร อะไรทำให้ผู้คนพร้อมใจกันแชร์ อะไรทำให้ภาพหรือเรื่องราวนั้นฝังในใจผู้คน เพราะเป้าหมายไม่ใช่แค่เสียงกระซิบเล็กๆ แต่คือการสร้างพายุที่สังคมละเลยประเด็นเหล่านี้ที่รณรงค์ไม่ได้

พี่หนูหริ่งย้ำว่าความเข้าใจหรือการแลกเปลี่ยนกันในกิจกรรม Activism Space Public ครั้งนี้ ไม่ได้มาจากตำราหรือเนื้อหาของการเรียน แต่เกิดจากการสังเกตการณ์อย่างลึกซึ้งจากประสบการณ์ในชีวิตของเขา จากชั่วโมงบินที่สะสมมานานกว่า 20 ปี สำหรับเขามองว่า นักรณรงค์ที่ดีต้องเป็นเหมือนวิศวกรที่คอยถอดชิ้นส่วนของแต่ละปรากฏการณ์ เพื่อดูว่าอะไรทำงานได้ อะไรทำงานไม่ได้ ต้องถอดเรื่องพวกนี้ออกมาให้ได้ เพื่อนำไปเป็นบทเรียนและบททดสอบในการรณรงค์สร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมต่อไป

“สิ่งที่ผมเล่าออกไป ผมไม่ได้เรียนมาจากอะไรเลย ผมได้จากการสังเกตการณ์ ปรากฎการณ์ในแต่ละปรากฎการณ์ ดังนั้นเวลามันเกิด Viral กระแสสังคมก็ดี เวลาคุณเห็นการณรงค์ที่น่าสนใจ หรือแม้แต่การรณรงค์ที่ไม่น่าสนใจเลย คุณจะต้องเป็นนักสังเกตุการณ์ และพยายามเป็นวิศวกรของการณรงค์ นั่งดูองค์ประกอบของกิจกรรมนั้น มันมีองค์ประกอบได้ยังไง มันสมบูรณ์ มันขาดอะไร มันบิดเบี้ยว หรือมันใช้ไม่ได้ยังไง คุณต้องถอดสิ่งนั้นออกมาให้ได้ หลังจากนั้นเวลาเริ่มตั้งต้นทำอะไร คุณจะต้องอยู่ในเงื่อนไขที่มีองค์ประกอบของความสำเร็จ”

แม้จะมีวางกลยุทธ์มาอย่างรอบคอบที่สุด แต่การรณรงค์ยังมีความเสี่ยงที่จะถูกปัจจัยภายนอกกลบเสียงได้เสมอ เรื่องเล็กๆ ที่ไม่คาดคิดอาจกลายเป็นกระแสใหญ่ จนประเด็นที่เราตั้งใจถูกกลืนหายไป

“ผมมั่นใจ นักการตลาดเก่งๆ เซียนๆ ก็แป็กกันได้เยอะ เนื่องจากมันมีปัจจัยภายนอก เราไม่รู้ว่าอยู่ดีจะเกิดอะไร เตรียมงานมาอย่างดีไม่รู้ว่าจังหวะนี้จะเกิดอะไร ปรากฎว่ามี Viral อื่น กระแสอื่นมาตัดหน้า เหตุการณ์น้ำท่วมจังหวัดน่าน แทบไม่มีกระแสเลยทั้งที่ใหญ่มาก เป็นน้ำท่วมในเชิงประวัติการในรอบ 75 ปีเลย ใหญ่มาก เป็นน้ำท่วมที่ใหญ่มาก แต่ไม่เป็นข่าวเลย คิดง่ายๆ คุณจะรู้ได้ไงว่าฮุน เซ็น จะปล่อยคลิปเสียงจนเป็นกระแสสังคม ตอนนั้นปัญหาน้ำท่วมใหญ่ยังเอาไม่อยู่เลย คลิปฮุนเซนกลบหมด”

นี่คือสิ่งสะท้อนความจริงที่ทำให้การรณรงค์เป็นเรื่องเปราะบาง และต้องยอมรับว่าบางครั้งความสำเร็จหรือความล้มเหลวไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราเพียงฝ่ายเดียว และอย่าหวังหมัดเดียวจะน็อกได้ เพราะท้ายที่สุดเหมือนที่บอกไปในช่วงแรกๆ การรณรงค์เหมือนกับการชกมวย ไม่มีนักมวยคนไหนที่ชนะด้วยการออกหมัดเดียวแล้วปิดเกมได้ตลอดเวลา สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือการต่อยซ้ำๆ การพลาด การโดนป้องกัน และการรอจังหวะที่เหมาะสมเท่านั้น

พอเห็นภาพแบบนี้แล้ว คุณจะต้องอยู่ในเงื่อนไขที่มีโอกาสสำเร็จก่อน แล้วทำหลายๆ ครั้ง การณรงค์หรือทำอะไรสักอย่าง มันไม่มีหรอกต่อยดอกเดียวน็อคเลย แป้กเยอะก็มี คุณเห็นนักมวยเก่งๆ ไหม เห็นนักมวยเก่งระดับโลกไหม บางคนต่อยเข้าหน้า ชกทุกดอก หลายคนต่อยวืดแล้วไม่รู้จะเท่าไหร่ เยอะไปหมด แต่จังหวะที่เข้าได้ปุ๊ปเขาทำให้คู่แข่งหลับได้เลย ฝั่งตรงข้ามเป๋ เซเลย ทั้งที่หมัดนั้นคู่แข่งควรป้องกันได้”

ฝากถึงนักรณรงค์เพื่อสังคม…เรื่องเศรษฐศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลง

ในแง่ของการรณรงค์เราต้องยอมรับว่าโลกไม่อนุญาตให้เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เพราะทุกสิ่งถูกสั่งสมมานาน มีแรงต้าน มีโครงสร้างรองรับอยู่ การเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ จึงต้องการพลังงานมหาศาล ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ ดังนั้นการรณรงค์อย่าคาดหวังสิ่งที่ใหญ่เกินตัวสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้น พี่หนูหริ่งเปรียบเทียบว่า ถ้าการรณรงค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องง่าย โลกของเราทุกวันนี้อาจจะเปลี่ยนปัญหา เปลี่ยนความสำเร็จไปทุกวินาทีได้ตามใจชอบ 

“การรรงค์อย่าคาดหวังเกินเบอร์ เพราะมันเป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์ คุณทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น คุณจะเปลี่ยนแปลงขนาดนั้น ถ้าทำง่าย โลกนี้คงโกลาหลไปหมด อาจจะเปลี่ยนเป็นรายชั่วโมง ทนไม่ไหวเปลี่ยนอีกแล้ว เปลี่ยนอีก เปลี่ยนๆๆ ไปเรื่อย ไปเปื่อย”

“ถ้ามองความเป็นจริง โลกไม่ได้อนุญาตให้เราเปลี่ยนได้ขนาดนั้น เพราะมันมีหลักเศรษฐศาสตร์อยู่ มันสั่งสมสิ่งเหล่านั้นมาอยู่ การที่คุณจะเปลี่ยนสิ่งนั้นได้ คุณต้องใช้พลังงาน หรือทรัพยากรมหาศาลในการแทรกมัน ถ้ามันเปลี่ยนง่ายโดยง่ายแสดงว่ามันสะสมมามากแล้ว มันอยากจะเปลี่ยนเต็มที่แล้ว มันสะสมในปริมาณเต็มที่แล้ว คุณงับไปนิดเดียวมันก็เลยแตกเกิดการเปลี่ยนแปลง”

ท้ายที่สุด พี่หนูหริ่งบอกว่าการรณรงค์ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้จากคอร์สสั้นๆ หรืออบรมครั้งเดียวแล้วกลายเป็นผู้เปลี่ยนโลกได้ ทุกอย่างต้องอาศัยเวลา การลองผิดลองถูก การฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และความพยายามคือหัวใจของการณรงค์ และไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวในการรณรงค์

“นักรณรงค์ไม่ได้เกิดจากการผ่านการอบรมครั้งเดียวแล้วไปทำได้ ไปทำแล้วชนะ ไปทำแล้วประสบความสำเร็จ ต้องมองในความจริงทุกคนเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้เลยในครั้งเดียว ไม่มีครับ ไม่มีสิ่งนั้นอยู่”

ปกป้องเสรีภาพการแสดงออก

สิทธิของบุคคลทุกคนที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และการแสดงความคิดเห็น เป็นสิทธิในระดับสากลที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายระหว่างประเทศ

สนับสนุนความเท่าเทียม

เราทุกคนต้องได้รับการปกป้องจากการถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งการแสดงออกตามอัตลักษณ์ทางเพศ รสนิยมทางเพศและเพศวิธี ภายใต้หลักการด้านสิทธิมนุษยชน