กฎหมายสมรสเท่าเทียมของไทยที่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 มกราคม 2568 นับเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์ของการรับรองสิทธิบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTI) อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์นี้จะเจาะลึกข้อจำกัดในปัจจุบัน และเสนอแนวทางการปฏิรูปที่ครอบคลุมตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล เพื่อก้าวข้าม “ความเท่าเทียมบนกระดาษ” ไปสู่ความเสมอภาคที่แท้จริง
แม้การจดทะเบียนสมรสจะไม่จำกัดเพศแล้ว แต่ความไม่เท่าเทียมในระบบยังคงปรากฏชัดในด้านสิทธิการเจริญพันธุ์ สัญชาติ การรับรองความเป็นพ่อแม่ และการคุ้มครองจากการเลือกปฏิบัติ มาดูกันว่ากฎหมายไทยยังขาดอะไร และทำไม “ความเท่าเทียม” ต้องเป็นมากกว่าแค่ “แต่งงานได้”
สมรสเท่าเทียมให้อะไรบ้าง?
กฎหมายสมรสเท่าเทียม (เริ่มใช้ 22 มกราคม 2568) เปิดโอกาสให้ “บุคคลสองฝ่าย” ไม่จำกัดเพศ สามารถจดทะเบียนสมรสได้ พร้อมกับสิทธิพื้นฐานดังนี้:
- รับมรดก / เป็นผู้รับผลประโยชน์ตามกฎหมาย
- ลดหย่อนภาษี / ยื่นภาษีแบบคู่สมรส
- ตัดสินใจแทนกันด้านสุขภาพและชีวิต
- รับบุตรบุญธรรม “ร่วมกัน” (หลังจากแต่งงานเท่านั้น)
- ใช้สิทธิในสวัสดิการภาครัฐ/เอกชน แบบคู่สมรสทั่วไป
ทั้งหมดยังไม่ครอบคลุมทุกสิทธิในเชิงชีวิตครอบครัว
สิทธิที่ควรได้รับการคุ้มครองเพิ่มเติม
🧬 สิทธิการเจริญพันธุ์และการมีบุตร
ปัญหา: การรักษาด้วยการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) และการอุ้มบุญ จำกัดเฉพาะ “หญิงที่มีสามี” ตามพระราชบัญญัติเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 1536-1546 ซึ่งยังไม่รองรับบิดา/มารดาร่วมเพศ ทำให้คู่สมรสเพศเดียวกันไม่สามารถมีบุตรผ่านเทคโนโลยีทางการแพทย์ได้ และไม่สามารถจดชื่อเป็นพ่อแม่ร่วมในใบเกิด ต้องผ่านกระบวนการรับบุตรบุญธรรมที่ยาวนาน ทำให้เด็กขาดการคุ้มครองทางกฎหมาย
มาตรฐานสิทธิมนุษยชนที่อาจถูกกระทบ: การจำกัดสิทธิดังกล่าว อาจเป็นการละเมิด ข้อ 17 (สิทธิในชีวิตครอบครัว) ของกติการระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) หากเป็นการแทรกแซงโดยพลการหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย และ อาจไม่สอดคล้องกับ ข้อ 26 (ความเสมอภาคภายใต้กฎหมายและไม่เลือกปฏิบัติ) ของ ICCPR และรัฐธรรมนูญไทยมาตรา 27 (หลักการไม่เลือกปฏิบัติ) รวมถึงอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ข้อ 7 (สิทธิเด็กในการรู้จักและได้รับการดูแลจากพ่อแม่) และข้อ 24 (เด็กทุกคนต้องได้รับการคุ้มครองโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ)
⚖️ ปัญหาด้านภาษาและการตีความกฎหมายที่อาจนำมาสู่การเลือกปฏิบัติ
ปัญหา: แม้ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมจะเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับสิทธิของบุคคลหลากหลายทางเพศ แต่ในทางปฏิบัติยังคงมีข้อจำกัดเชิงโครงสร้างที่อาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว ความเป็นบิดามารดา หรือความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ซึ่งยังตั้งอยู่บน “แนวคิดทางชีววิทยา หรือสายเลือด” มากกว่า “แนวคิดที่เน้นความสัมพันธ์เป็นหลัก”
แม้มาตรา 67 ของกฎหมายสมรสเท่าเทียมจะบัญญัติให้ถ้อยคำ “สามี-ภริยา” ในกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่งใด หมายรวมถึง “คู่สมรส” ตามนิยามใหม่ด้วย แต่ วรรคสองของมาตราเดียวกัน ได้ระบุข้อยกเว้นในกรณีที่กฎหมายอื่นกำหนดสิทธิ หน้าที่ หรือสถานะของสามี-ภริยาไว้แตกต่างกันโดยชัดแจ้ง ซึ่งหมายความว่าคู่สมรสเพศเดียวกันอาจไม่สามารถเข้าถึงสิทธิหรือสถานะทางกฎหมายบางประการได้
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือบทบัญญัติใน ประมวลกฎหมายอาญา และ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ที่กล่าวถึงสถานะของ “บิดา มารดา บุพการี หรือเครือญาติ” ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการใช้สิทธิในฐานะผู้เสียหายในคดีอาญา การเป็นผู้แทนทางกฎหมาย หรือการได้รับการคุ้มครองตามสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ยังเป็นข้อยกเว้นในการใช้คำตามที่บัญญัติใหม่ตามกฎหมายสมรสเท่าเทียม
ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเสมอภาคอย่างแท้จริง การแก้ไขกฎหมายเฉพาะฉบับจึงไม่เพียงพอ แต่จำเป็นต้องมีการ ทบทวน ปรับปรุง และแก้ไขกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สิทธิของคู่สมรสทุกคู่ได้รับการคุ้มครองอย่างเท่าเทียมในทุกมิติของกฎหมาย
มาตรฐานสิทธิมนุษยชนที่อาจถูกกระทบ: ไม่สอดคล้องกับหลักการ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR) ข้อ 7 (เสมอภาคภายใต้กฎหมาย) และ ICCPR ข้อ 26
🏛️ การขาดการคุ้มครองจากการเลือกปฏิบัติ
ปัญหา: พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ ยังไม่ครอบคลุมการคุ้มครองจากการเลือกปฏิบัติที่เกิดจากเพศสภาพและอัตลักษณ์ทางเพศ
🏷️ การรับรองอัตลักษณ์ทางเพศ
ปัญหา: ยังไม่มีกฎหมายรับรองอัตลักษณ์ทางเพศ ทำให้บุคคลข้ามเพศและนอนไบนารีไม่มีสิทธิในการระบุตัวตนตามเจตจำนงของตน
มาตรฐานสิทธิมนุษยชนที่อาจถูกกระทบ: อาจเป็นการละเมิด ICCPR มาตรา 17 (สิทธิความเป็นส่วนตัว), UDHR มาตรา 1-2 (ศักดิ์ศรีและความเสมอภาค) และหลักการยอกยาการ์ตา ข้อ 3 (สิทธิในการรับรองทางกฎหมาย) และข้อ 6 (สิทธิในความเป็นส่วนตัว)
ความสำเร็จของประเทศอื่น — บทเรียนสำหรับไทย
แม้จะมีการต่อต้านความเท่าเทียมทางเพศเพิ่มขึ้นในหลายบริบททั่วโลก แต่ก็มีความก้าวหน้าสำคัญในด้านสิทธิความหลากหลายทางเพศ (LGBTI) และสิทธิอนามัยการเจริญพันธุ์ (SRHR) ในหลายประเทศ ที่เป็นแรงบันดาลใจและบทเรียนสำหรับประเทศไทย (อ้างอิงจากรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลกประจำปี 2567/68 ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล):
ความเท่าเทียมด้านการสมรส
- ญี่ปุ่น (2567) ศาลได้วินิจฉัยว่าคำสั่งห้ามสมรสของเพศเดียวกันไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
- กรีซ (2567) และ สาธารณรัฐเช็ก (2567) ได้ออกกฎหมายรับรองการสมรสของเพศเดียวกัน
การรับรองสิทธิครอบครัวและการเป็นพ่อแม่
- สวีเดน (2565) คู่สมรส LGBTI สามารถจดชื่อพ่อแม่ร่วมในใบเกิด และได้รับการยอมรับเป็นผู้ปกครองตามกฎหมายโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการรับบุตรบุญธรรม
การรับรองสิทธิของคนข้ามเพศและอัตลักษณ์ทางเพศ:
- อาร์เจนตินา (2555): มีกฎหมายว่าด้วยอัตลักษณ์ทางเพศที่อนุญาตให้เปลี่ยนเพศในเอกสารโดยไม่ต้องผ่าตัด
- นิวซีแลนด์ (2555): อนุญาตให้ใช้เครื่องหมาย “X” หรือไม่ระบุเพศในหนังสือเดินทาง/บัตรประจำตัว
- ศาลใน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ ไต้หวัน ได้สร้างความก้าวหน้าในการรับรองสิทธิของคนข้ามเพศที่จะได้รับการปฏิบัติเพื่อยืนยันเพศสภาพ
การยกเลิกกฎหมายที่เลือกปฏิบัติ:
- ใน นามิเบีย (2567) ศาลสูงได้สั่งให้กฎหมายที่เอาผิดกับการมีเพศสัมพันธ์ของเพศเดียวกันโดยสมัครใจเป็นโมฆะ (แม้ว่ารัฐบาลจะอุทธรณ์คำวินิจฉัยนั้น)
การส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์:
- ฝรั่งเศส (2567) เป็นประเทศแรกในโลกที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญว่าการทำแท้งเป็นเสรีภาพที่ได้รับการคุ้มครอง
- ในหลายประเทศ มีการสนับสนุนมาตรการเพื่อคุ้มครองผู้ป่วยและผู้ให้บริการทางการแพทย์จากการคุกคามนอกคลินิกทำแท้ง
กฎหมายที่ครอบคลุมและภาษาที่เป็นกลางทางเพศ:
- มอลตา (2559): ได้รับการยกย่องว่ามีกฎหมายคุ้มครอง LGBTI ที่ครอบคลุมที่สุดในยุโรป
- เนเธอร์แลนด์(2565): มีการปรับแก้กฎหมายหลายฉบับให้ใช้คำว่า “คู่สมรส” แทน “ชาย/หญิง” เพื่อให้เกิดความเป็นกลางทางเพศ
ประเทศเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า “การยกระดับสิทธิ” นั้นสำคัญกว่าแค่ “การอนุญาตให้แต่งงาน” และได้นำหลักการไม่เลือกปฏิบัติมาปรับใช้ในมิติต่างๆ ของกฎหมายอย่างแท้จริง
ข้อเสนอเพื่อความเท่าเทียมที่แท้จริง
เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมอย่างแท้จริงในประเทศไทย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเสนอการปฏิรูปที่ครอบคลุมดังนี้ โดยอ้างอิงจากนโยบายและรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลกของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล:
- เรียกร้องให้มีการเข้าถึงบริการและข้อมูลด้านอนามัยการเจริญพันธุ์อย่างเท่าเทียมและครอบคลุมโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ: แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเชื่อว่าทุกคนต้องสามารถเข้าถึงสิทธิทางเพศและอนามัยการเจริญพันธุ์ได้โดยปราศจากการบังคับ การเลือกปฏิบัติ และความรุนแรง ซึ่งรวมถึงการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพทางเพศและอนามัยการเจริญพันธุ์อย่างครอบคลุม รัฐต้องดำเนินการที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อให้มั่นใจว่าบริการสุขภาพและข้อมูลที่จัดทำโดยรัฐและไม่ใช่รัฐสามารถเข้าถึงได้ทุกคนโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ ้ รวมถึงการเข้าถึงการทำแท้งอย่างปลอดภัย (อ้างอิง: AI Policy summary: Sexual rights and reproductive rights, April 2012; AIR 2024/68)
- สนับสนุนการยอมรับความสัมพันธ์ทางแพ่งที่เท่าเทียม โดยยึดหลักการไม่เลือกปฏิบัติ: แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลคัดค้านการเลือกปฏิบัติทางกฎหมายสมรสทางแพ่ง และ ตลอดจนการรับรองสถานะดังกล่าวข้ามพรมแดนในกรณีที่มีความจำเป็น (อ้างอิง: AI’s statement on equal marriage).
- เรียกร้องให้รัฐรับรองความสัมพันธ์ของคู่รักเพศเดียวกันอย่างเท่าเทียม เพื่อคุ้มครองสิทธิในชีวิตครอบครัว ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษยชนของทั้งคู่รักและบุตร: การรับรองความสัมพันธ์อย่างเท่าเทียมนี้เป็นสิ่งจำเป็นในการคุ้มครองสิทธิของเด็กในการรู้จักและได้รับการดูแลจากพ่อแม่ และให้เด็กทุกคนได้รับการคุ้มครองโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ ทบทวนและปรับปรุงกฎหมายให้สนับสนุนการใช้ภาษาที่เป็นกลางทางเพศในกฎหมายทุกระดับ เพื่อส่งเสริมและรับประกันการคุ้มครองสิทธิอย่างเท่าเทียมให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง โดยการยึดหลักความสัมพันธ์โดยสมัครใจ เพื่อขยายความหมายของความเป็นครอบครัวให้ครอบคลุมถึงผู้ที่เลือกใช้ชีวิตและดูแลกันโดยไม่จำกัดอยู่เพียงสายเลือดหรือเพศกำเนิด เพื่อประกันสิทธิในการได้รับความคุ้มครองอย่างเท่าเทียมภายใต้กฎหมายโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ ตาม ข้อ 26 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
- เรียกร้องให้รัฐยุติการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศ และรับรองสิทธิอย่างเท่าเทียมของคู่รักเพศเดียวกัน รวมถึงการรับรองอัตลักษณ์ทางเพศและการเข้าถึงบริการและสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างครอบคลุม: แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องให้รัฐดำเนินมาตรการที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อป้องกันและแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดจากการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของเพศวิถีและอัตลักษณ์ทางเพศ การปฏิเสธไม่ยอมรับความสัมพันธ์ของคู่รักเพศเดียวกัน ไม่เพียงแต่เป็นการละเมิดสิทธิในชีวิตครอบครัวและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษยชนเท่านั้น แต่ยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเลือกปฏิบัติ การตีตรา และการละเมิดสิทธิมนุษยชนในรูปแบบอื่นๆ ตามมา การมีกฎหมายที่คุ้มครองผู้มีความหลากหลายทางเพศอย่างครอบคลุม คือหัวใจสำคัญของพันธกิจในการยุติการเลือกปฏิบัติและส่งเสริมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษยชน (อ้างอิง: AI Policy summary: Sexual rights and reproductive rights, April 2012; AIR 2024/68).
กฎหมายสมรสเท่าเทียมของไทยเป็นชัยชนะที่สำคัญ แต่ยังไม่ใช่จุดจบของการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม การสร้างสังคมที่ยอมรับความหลากหลายอย่างแท้จริงนั้นหมายถึง:
- สังคมที่ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกัน
- กฎหมายที่คุ้มครองศักดิ์ศรีของทุกคน
- ระบบที่ไม่บังคับให้ใครต้องซ่อนตัวตน
นี่ไม่ใช่เรื่องของ “ได้คืบจะเอาศอก”
แต่เป็นเรื่องของ “สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน”
ที่ทุกคนควรได้รับ