การรับรองอัตลักษณ์ทางเพศ: กฎหมายรองรับตัวตนและศักดิ์ศรีของคนข้ามเพศในไทย

“การกำหนดเพศคือสิทธิมนุษยชน”

ประโยคสั้นๆ ที่สะท้อนให้เห็นว่าสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่หลายคนคิด เพราะนับตั้งแต่คุณลืมตาดูโลก ก็มีสิทธิเหล่านี้ติดตัวมาโดยชอบธรรม เช่นเดียวกับเรื่องของ “เพศ” ที่แม้ปัจจุบันประเทศไทยจะได้ผ่านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม และเปิดโอกาสให้ทุกกลุ่มสามารถจดทะเบียนสมรสกันได้อย่างเสมอภาคไปเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 แล้ว แต่คนบางกลุ่มกลับยังไม่ถูกยอมรับในตัวตนที่พวกเขาเลือกจะเป็น

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ได้พูดคุยกับ ธัญวัจน์ กมลวังศ์วัฒน์ หนึ่งในผู้ผลักดันและขับเคลื่อนกฎหมายรับรองอัตลักษณ์ทางเพศผ่านรายการ Talk อะ Rights Podcast Season 2 กับประเด็นในเรื่องของเพศที่จะเป็นโอกาสให้ทุกคนสามารถแสดงตัวตนได้อย่างภาคภูมิไปกับร่างกฎหมายรับรองอัตลักษณ์ทางเพศ กฎหมายที่ซึ่งจะทำให้การเลือกปฏิบัติหมดไป และทำให้ทุกคนสามารถกำหนดเพศของตัวเองได้อย่างต้องการ

ธัญวัจน์มองว่า ทุกคนควรมีสิทธิในการระบุเพศของตนเอง เพราะคือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน แม้บางครั้งประเด็นนี้จะถูกพูดถึงเฉพาะในวงการวิชาการ หรือยังไม่ได้รับการยอมรับในวงกว้างจากสังคมทั่วไป แต่อัตลักษณ์ทางเพศคือ “ตัวตน” ของแต่ละคน เป็นสิ่งที่สะท้อนว่า “เราเป็นใคร” ซึ่งธัญวัจน์เปรียบเทียบว่า “เรื่องเพศ ก็เหมือนเรื่องลมหายใจ” ไม่ว่าจะตื่นนอน ออกจากบ้าน ไปทำงาน หรือพบปะผู้คน สังคมยังคงยึดโยงเรื่องเพศกับตัวตนของเราอยู่เสมอ

แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยกรอบแนวคิดของสังคมที่ยังคงกดทับ ทำให้หลายคนในจำเป็นต้องปกปิดตัวตนของตัวเองเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง และในบางครั้งคนเหล่านั้นอาจต้องละทิ้งอัตลักษณ์ของตนเองเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องกลายเป็นจุดด่างที่มีความแตกต่างในสังคม สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เข้าใจและไม่ให้ความสำคัญในเรื่องเพศ ซึ่งเป็นความไม่เข้าใจที่คนบางกลุ่มถูกผลักให้ออกห่างจากเส้นทางของความเท่าเทียม

“กรอบของสังคมไม่ได้คำนึงถึงอัตลักษณ์ทางเพศ ในบางครั้งกลุ่มคนผู้มีความหลากหลายทางเพศจึงถูกบังคับให้ใช้ชีวิตในรูปแบบที่ตัวเองไม่อยากจะเป็น”

รับรองอัตลักษณ์ = รับรองความเท่าเทียม

เมื่อ “ความเท่าเทียม” ต้องแปรเปลี่ยนเป็น “การรับรอง” อย่างเป็นรูปธรรม นี่จึงเป็นสิ่งที่ควรถูกผลักดันในเชิงนโยบายอย่างจริงจัง ปัจจุบันมีร่างกฎหมายที่เสนอให้บุคคลสามารถเลือกใช้คำนำหน้าชื่อให้สอดคล้องกับเพศสภาพของตนเองแล้ว ไม่ว่าจะเป็น “นาย” “นางสาว” หรือแม้แต่คำนำหน้ากลางๆ อย่าง “นาม” ที่ไม่ระบุเพศ ธัญวัจน์กล่าวเสริมว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังครอบคลุมถึงบุคคลที่เป็น Intersex หรือผู้ที่มีภาวะที่ไม่สามารถระบุเพศที่ชัดเจนได้ โดยกำหนดหลักเกณฑ์ว่าต้องห้ามมีการผ่าตัดเลือกเพศจนกว่าบุคคลนั้นจะมีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ ยกเว้นในกรณีที่อายุต่ำกว่านั้นและได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง

ในทางปฏิบัติ การเปลี่ยนคำนำหน้าไม่ได้เป็นเรื่องที่ยุ่งยากหรือซับซ้อน ขั้นตอนโดยรวมคล้ายคลึงกับการเปลี่ยนข้อมูลในบัตรประชาชน เพียงแค่ต้องไปแจ้งยังสำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอที่มีอำนาจดำเนินการ แต่การเปิดโอกาสให้บุคคลข้ามเพศสามารถเปลี่ยนคำนำหน้าได้ ย่อมทำให้เกิดคำถามและความกังวลจากบางส่วนของสังคม อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ร่างกฎหมายนี้จะถูกผลักดัน ทีมผู้ทำงานขับเคลื่อนได้อธิบายอย่างชัดเจนว่า การให้สิทธิในการเปลี่ยนคำนำหน้า คือการ “รับรองอัตลักษณ์” ให้ตรงกับตัวตนของแต่ละบุคคล และการเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคนๆ นั้นสมัครใจในการเปลี่ยนคำนำหน้า

ที่ผ่านมา มีความกังวลว่า การอนุญาตให้เปลี่ยนคำนำหน้า อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น การหลอกลวงหรือฉ้อโกงผ่านการแต่งงาน แต่ธัญวัจน์กลับมองว่า ประเด็นเรื่องการแต่งงานเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความไว้ใจ ไม่ว่าจะเป็นชาย-หญิง หรือบุคคลข้ามเพศ ต่างก็มีความเสี่ยงในลักษณะเช่นเดียวกันนี้ 

“เอกสารที่เปลี่ยนคำนำหน้า ก็เพื่อให้ตรงกับตัวตนที่แท้จริงของบุคคล หากใครเปลี่ยนโดยไม่สอดคล้องกับตัวตนจริง สุดท้ายแล้วปัญหาก็จะย้อนกลับมาหาตัวเขาเอง”

ธัญวัจน์ยังอธิบายเพิ่มเติมในแง่กฎหมายว่า หากคู่สมรสตกลงใช้ชีวิตร่วมกันและจดทะเบียนแต่งงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ภายหลังพบว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปกปิดหรือปลอมแปลงตัวตน ก็ถือได้ว่าการจดทะเบียนสมรสนั้นเป็นโมฆะโดยชอบธรรมได้ เพราะมีการปิดบังอำพรางความจริงกันตั้งแต่แรก โดยสามารถนำหลักฐานหรือข้อเท็จจริงที่มีไปใช้ต่อสู้คดีในชั้นศาลได้

ทว่า การเริ่มต้นร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องเผชิญกับคำถามจำนวนมาก และแรงต้านจากกลุ่มอนุรักษนิยมที่ยกประเด็นด้านศีลธรรมและความเหมาะสมขึ้นมาเป็นอุปสรรค แต่เมื่อมองลึกลงไปแล้ว สิ่งที่เป็นแก่นแท้ของเรื่องนี้กลับมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ถูกยึดถือไว้ คือ “สิทธิมนุษยชน” เพราะทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมกับสิทธิของตนเอง

“คนที่เปลี่ยนคำนำหน้า เขาก็ต้องอยากเปลี่ยนเพื่อให้ชีวิตเขาไม่มีปัญหา ไม่มีใครอยากเปลี่ยนคำนำหน้าแล้วอยากให้ชีวิตของตัวเองมีปัญหาอยู่แล้ว”

รับรองอัตลักษณ์ แต่ไม่ละทิ้งตัวตน

แม้ว่าการเปลี่ยนคำนำหน้าจะช่วยให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศได้รับการยอมรับและความเท่าเทียมมากขึ้น แต่ในบางครั้ง การนิยามตัวตนของพวกเขาอาจถูกลดทอนหรือถูกลบเลือน เมื่อโลกยังคงยึดติดกับกรอบของเพศที่มีเพียง “นาย” หรือ “นางสาว” เท่านั้น ธัญวัจน์ชวนสังคมตั้งคำถามว่า หากเราละทิ้งการเรียกขานที่สะท้อนตัวตน เช่น คำว่า “กะเทย” ที่บางคนอาจมองว่าเป็นคำหยาบ แล้วเลือกที่จะหลีกเลี่ยงหรือแทนที่ด้วยคำนิยามใหม่ๆ โดยไม่ยอมรับต้นกำเนิดของคำและตัวตนที่แท้จริง ในอนาคตตัวตนของคนที่เป็น “กะเทย” ก็อาจจะค่อยๆ ถูกลบเลือนหายไป และอาจนำไปสู่สังคมที่ย้อนกลับไปยึดถือเพียงแค่สองเพศและไม่เปิดรับความหลากหลายอีกครั้ง 

“ตอนนี้เราต้องมาคุยกันว่าจะสู้แบบไหนที่จะไม่นำไปสู่สังคมที่จะวกกลับมามีเพียงแค่สองเพศ”

เพราะต้องยอมรับว่า สังคมของเรานั้นประกอบไปด้วยความหลากหลาย การที่กฎหมายเปลี่ยนแปลงเพียงฉบับเดียวเจึงต้องดำเนินไปอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถครอบคลุมและรองรับคนทุกกลุ่ม โดยไม่สร้างความแตกต่างที่ผลักให้ใครบางคนกลายเป็นคนชายขอบ เช่นเดียวกันกับการให้สิทธิแก่ผู้มีความหลากหลายทางเพศ ในการเลือกคำนำหน้าจึงเป็นเพียงการรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่การให้สิทธิพิเศษที่เหนือกว่าใคร

ซึ่งธัญวัจน์มองว่า คำถามเรื่องคำนำหน้าอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด เพราะในวันที่สังคมเปิดกว้างให้ทุกคนได้เป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ กรอบของคำนำหน้าอาจไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป แต่เพราะข้อจำกัดด้านกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องเอกสารและการเดินทาง คำนำหน้าจึงยังมีความจำเป็นในทางปฏิบัติในปัจจุบัน

เปลี่ยนคำใหม่ โครงสร้างเก่า ความเท่าเทียมยังคงไกลตัว

ในมิติของภาษาที่มีพลังในการกำหนดอัตลักษณ์และการเป็นตัวของตัวเอง การเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเลือกใช้ภาษาหรือคำนำหน้าได้อย่างอิสระถือเป็นสิ่งที่ดีและควรได้รับการสนับสนุน แต่ในขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงนี้ควรนำไปสู่การพัฒนาสังคมในภาพรวมที่จะทำให้สังคมมีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

ธัญวัจน์ชวนตั้งข้อสังเกตในเชิงโครงสร้างว่า หากกฎหมายสามารถพัฒนาให้รองรับความหลากหลายทางเพศได้แล้ว โครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ของสังคมจึงจำเป็นต้องได้รับการปรับให้สอดคล้องด้วยเช่นกัน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมหรือทำให้คนรู้สึกเท่ากันในทางปฏิบัติและทางความคิด โดยธัญวัจน์ชวนมองไปที่เรื่องใกล้ตัวและดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดา เช่น การลาคลอดของผู้หญิง ที่ควรมีความสอดคล้องกับชีวิตจริงของผู้หญิงในปัจจุบัน หรือการจัดสรรงบประมาณด้านการศึกษา ที่ควรคำนึงถึงความคุ้มค่าในการลงทุนสำหรับวางรากฐานให้แรงงานในอนาคต

“ปัญหาของคนแต่ละกลุ่มคืออะไร คุณต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ แต่ถ้าเกิดคุณลุกขึ้นมาบอกเพียงว่าอย่าตีตราฉัน มันก็จะจบเพียงแค่นั้น”

แค่รับรองอัตลักษณ์ ก็เท่ากับรับรองความเป็นมนุษย์

“ถ้ากฎหมายรับรองอัตลักษณ์ทางเพศผ่าน จะกลายเป็นกลไกหนึ่งที่จะคอยบอกได้ว่าลูกหลานหรือคนที่คุณรู้จักในฐานะคนข้ามเพศไม่ต้องกังวล เพราะเราพร้อมที่จะให้สิทธิและเสรีภาพกับพวกคุณ”

ธัญวัจน์ชวนให้ทุกคนลองจินตนาการว่า หากวันหนึ่งสมาชิกในครอบครัวของคุณเป็นคนข้ามเพศ เราจะปฏิบัติต่อเขาอย่างไรในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมเดียวกัน

ที่ผ่านมา กลุ่มคนข้ามเพศยังคงต้องเผชิญกับความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติ ที่เกิดจากการไม่ยอมรับในตัวตนที่แท้จริง และกรอบของสังคมที่ยังยึดติดกับเพศชาย-หญิง ได้กลายเป็นแรงกดทับที่ทำให้หลายคนต้องปกปิดตัวตน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตีตรา ธัญวัจน์ย้ำว่าการยอมรับในตัวตนและความตั้งใจที่จะเข้าใจคนข้ามเพศเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะไม่มีใครรู้ได้เลยว่าคนใกล้ตัวคุณจริงๆ แล้ว เขาคนนั้นอยากเป็นใคร หรือเป็นอะไรในแบบที่เขาอยากเลือกเอง

ซึ่งข้อมูลที่ธัญวัจน์อ้างถึงยังสอดคล้องกับรายงาน “อันตรายเกินกว่าที่จะเป็นตัวเอง” โดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ที่ระบุว่าไว้ผู้หญิงและกลุ่มคนหลากหลายทางเพศยังคงเผชิญกับความรุนแรง โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ เนื่องจากสังคมยังไม่เปิดรับตัวตนของพวกเขาอย่างแท้จริง คำพูดเชิงลบมากมายยังคงถูกใช้ตีตราคนข้ามเพศ แม้ประเทศไทยจะถูกมองว่าเป็น “เมืองสวรรค์ของความหลากหลายทางเพศ” ก็ตาม แต่ในความเป็นจริง ปัญหาเชิงโครงสร้างและทัศนคติลบก็ยังฝังรากลึกอยู่ในสังคม

“บางคนต้องอาศัยอยู่ใต้ความกลัว เพราะเขาอยู่ในสังคมก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวแบบไหน เพราะคนรอบข้างมีเพียงแค่เพศชาย เพศหญิง”

“การรับรองอัตลักษณ์ทางเพศเป็นสิทธิมนุษยชน ไม่ต้องกังวลหรือกลัว เพราะเป็นสิทธิของพวกเขา พวกเขารับผิดชอบเอง”

ฟัง Talk อะ Rights Podcast Season 2 ตอน ร่างกฎหมายรับรองตัวตนคนทุกเพศ ได้ที่

Spotify: https://bit.ly/3TdvWC3 

YouTube: https://bit.ly/40sqq2m 

Apple Podcasts:https://bit.ly/4lyty5b

ปกป้องเสรีภาพการแสดงออก

สิทธิของบุคคลทุกคนที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และการแสดงความคิดเห็น เป็นสิทธิในระดับสากลที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายระหว่างประเทศ

สนับสนุนความเท่าเทียม

เราทุกคนต้องได้รับการปกป้องจากการถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งการแสดงออกตามอัตลักษณ์ทางเพศ รสนิยมทางเพศและเพศวิธี ภายใต้หลักการด้านสิทธิมนุษยชน