การเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด: เปิดมุมมองนักศึกษาฝึกงานแอมเนสตี้ กับการตัดสินใจฝึกงานในองค์กรสิทธิมนุษยชน

จะมีสักกี่คนที่เลือกเส้นทางการเป็นนักศึกษาฝึกงานถึง 3 ครั้ง ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ชีวิตการทำงานอย่างเต็มตัว “ท็อป” อภิสิทธิ์ เกียมขุนทด บัณฑิตใหม่ป้ายแดงจากคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สาขานิเทศศาสตร์ เอกข่าวและสารคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ตัดสินใจสมัครเข้าฝึกงานอีกครั้งในวัย 23 ปี ที่แม้จะสำเร็จการศึกษาและเป็นการฝึกงานครั้งที่ 3 แล้วก็ตาม

ประสบการณ์ฝึกงานครั้งที่ 3 กับการเตรียมความพร้อมก่อนลงสนามจริง

ท็อปเล่าว่าหลักสูตรที่เรียนมามีความเกี่ยวข้องกับการสื่อสารเป็นหลัก ตลอดช่วงที่ผ่านมา เขาเคยฝึกงานกับสำนักข่าวและนิตยสารที่มุ่งเน้นการนำเสนอเรื่องราวของผู้คนให้สังคมรับรู้ แต่อย่างไรก็ตาม ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ความถูกต้องและความน่าเชื่อก็นับได้ว่าเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกคนควรตระหนักถึง “Watchdog” หรือการทำหน้าที่เป็น “สุนัขเฝ้าบ้าน” คือคำนิยามที่ท็อปใช้เรียกบทบาทของตนเองในอนาคตที่เขาอาจเลือกเดินบนเส้นทางของการนักข่าว ซึ่งจะต้องเป็นคนที่ไม่ได้มีเพียงแค่ส่งต่อข้อมูลให้ผู้รับสาร แต่ยังต้องทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องและคัดกรองข่าวสารอย่างเข้มงวดก่อนนำเสนอแก่สาธารณะ

ซึ่งประกอบกับคำแนะนำของรุ่นพี่ที่คอยสนับสนุนให้ท็อปได้ลองเลือกเส้นทางเดินในสายงานใหม่ๆ ผ่านฝึกงานในองค์กรที่แตกต่างจากเดิม ก็นับเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เขาตัดสินใจสมัครเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับองค์กรที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนอย่าง แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เพราะด้วยหลักสูตรที่มีการเรียนการสอนด้านสิทธิมนุษยชนควบคู่ไปกับการทำข่าวอยู่แล้ว การได้ลงพื้นที่จริงและทำงานร่วมกับผู้ที่ขับเคลื่อนประเด็นนี้โดยตรง ก็อาจจะช่วยให้เขาเข้าใจภาพรวมของงานด้านสิทธิมนุษยชนมากขึ้น และสามารถนำไปต่อยอดในการทำงานด้านสื่อสารมวลชนได้

“เราเรียนเรื่องสิทธิมนุษยชนประกอบการทำข่าว แต่ว่ายังไม่เข้าใจถึงคนในองค์กรเลยว่าเวลาเขาทำงานกันจริงๆ เขามีมุมมองยังไงบ้าง และเราก็อยากหามุมมองใหม่ๆ ที่นอกจากการที่เราเรียนข่าวเชิงประเด็นมาด้วย”

การตัดสินใจฝึกงานครั้งที่ 3 ของท็อป ไม่ใช่เพียงเพื่อเติมเต็มความรู้ แต่เป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ และยังเป็นการเตรียมความพร้อมตัวเองสำหรับเส้นทางในสายงานสื่อสารมวลชนในอนาคต

จุดเริ่มต้นของความสนใจที่ได้จากตำราเรียน

ช่วงเวลาที่ท็อปใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นเต็มไปด้วยเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่น ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิต่างๆ ของเยาวชน ทำให้เขาได้เห็นมุมมองที่หลากหลาย รวมถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งในสังคมไทย ประกอบกับหลักสูตรที่เขาเรียน ซึ่งรวมถึง “สิทธิมนุษยชนและการเขียนข่าว” กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่หล่อหลอมให้เขาเริ่มมีความสนใจในประเด็นสิทธิมนุษยชน พร้อมทั้งต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมในประเด็นนี้มากยิ่งขึ้น

ท็อปเล่าว่าการเรียนเรื่อง “ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน” ที่อาจารย์นำมาเป็นกรณีศึกษา ทำให้เขาได้เปิดมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับความสำคัญของการเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน ซึ่งก็ถือได้ว่าการเรียนวันนั้นได้กลายเป็น “ประตูบานแรก” ที่พาเขาเข้าสู่โลกของสิทธิมนุษยชน และเชื่อมโยงให้เขาได้รู้จักกับ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ก่อนจะเริ่มต้นสนใจในประเด็นของสิทธิที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบของการศึกษา และหวังที่จะเห็นสังคมเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ทุกคนได้รับความเคารพ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่

“รู้สึกว่าอยากให้มีคนตื่นรู้มากขึ้นในเรื่องสิทธิของนักเรียน เพราะว่ามีทั้งเรื่องสิทธิในร่างกาย สิทธิในทรัพย์สิน สิทธิในการเรียนรู้ มีหลายสิทธิมากที่เริ่มจากเด็กเลย เพราะถ้าเด็กเรียนรู้ได้เร็ว ก็จะทำให้สังคมเปลี่ยนได้ เมื่อเขาตระหนักรู้ตั้งแต่ต้น สังคมก็จะถูกกระตุ้นได้มากขึ้น”

เปิดมุมมองการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนกับองค์กรระดับโลก

“รู้สึกว่าถ้าได้แนวคิดหรือได้เปิดมุมมองใหม่ๆ ก็อาจจะทำให้งานของเรามันเปิดกว้างขึ้นได้มากขึ้น ได้เห็นโลกมากขึ้นก่อนที่จะตัดสินใจเลือกสายงานจริงๆ”

ท็อปเล่าด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยพลัง ดวงตาของเขาสะท้อนถึงความมุ่งมั่น เมื่อกล่าวถึงโอกาสที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการขับเคลื่อนประเด็นสิทธิมนุษยชนร่วมกับผู้คนกว่า 10 ล้านคนทั่วโลก จากจุดเริ่มต้นในห้องเรียน สู่การตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการเคารพซึ่งกันและกัน และในวันนี้ที่เขาได้เข้ามาอยู่ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เต็มไปด้วยคนที่ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลง ทำให้เขาได้รับแรงบันดาลใจมากยิ่งขึ้นในการผลักดันให้สังคมหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นนี้

ท็อปเล่าว่าตลอดระยะเวลาที่ได้อยู่ใน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย บรรยากาศการทำงานนั้นเต็มไปด้วยการเปิดกว้าง ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี ปราศจากอคติ และในขณะเดียวกันก็มีระบบการทำงานที่เป็นระเบียบ ทำให้งานแต่ละชิ้นสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น

“การฝึกงานที่แอมเนสตี้ค่อนข้างจะต่างจาก 2 ที่ที่ผ่านมา เพราะเริ่มมีความเป็นออฟฟิศมากขึ้น เริ่มต้องทำเอกสารบางอย่างที่เรายังไม่คุ้นชิน หรือว่าการทำงานที่มีความเป็นระบบมากขึ้น ต่างจากที่เดิมที่ส่วนใหญ่แล้วเราทำงานสตูดิโอที่ไม่มีโครงสร้างออฟฟิศมากนัก มาฝึกงานที่ก็เหมือนเตรียมให้เราเข้าสู่งานที่เป็นองค์กรมากขึ้น ทำให้เราสามารถจัดระเบียบแผนได้มากขึ้น”

“ผมรู้สึกว่าบรรยากาศที่แอมเนสตี้ค่อนข้างเป็นกันเอง สามารถปรับตัวเข้าหาได้กับพี่ๆ ทุกคน เหมือนทุกคนมีความตามกระแสอยู่ตลอด”

เพราะการสื่อสารนั้นเป็นสิ่งสำคัญ

แม้ในตอนแรกจะรู้สึกไม่คุ้นเคยกับงานด้านสื่อสารองค์กร และพยายามที่จะหลีกเลี่ยงอยู่เสมอ แต่สุดท้ายท็อปพบว่าสายงานในด้านนี้มีความสอดคล้องกับสิ่งที่เขาเรียนมามากที่สุด การฝึกงานในองค์กร NGOs (องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร) ที่อาจไม่ตรงกับความเป็นข่าวและสารคดีมากนัก แต่เขาก็ยังมีความต้องการใช้ทักษะที่เรียนมาเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนให้ผู้คนได้เข้าใจและตระหนักรู้มากขึ้นผ่านเรื่องราว เขาจึงตัดสินใจยื่นสมัครเข้ามาเป็นนักศึกษาฝึกงานในฝ่าย “ประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร”

“การสื่อสารเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเข้าใจให้กับสังคม” ท็อปกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง เขาเล่าว่าการทำงานด้านประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กรนั้น ทำให้มองเห็นความแตกต่างของรูปแบบการเล่าเรื่องที่แตกต่างไปจากเดิมเมื่อเปรียบเทียบกับการเขียนข่าวที่เคยทำมาก่อนหน้า

“การประชาสัมพันธ์หรือการสื่อสารค่อนข้างจะมีความเป็นตรงไปตรงมามากกว่าการทำข่าวเหรอ ทำอะไร ที่ไหน อย่างไรก็ได้ เป็นมุมมองที่ทำให้เราได้กลับมาทบทวนตัวเองถึงวิธีการเล่าเรื่องที่มีรายละเอียดมากขึ้น”

“เหมือนเราได้ตัดทิฐิของตัวเองไปด้วย อย่างที่เราเห็นก็คือวิธีการเขียนของเราก็เราสามารถแยกได้มากขึ้นว่าอันไหนการเขียนแคปชั่นธรรมดาหรืออันไหนเป็นการเขียนข่าว”

หน้าที่ ภาระงาน และความรับผิดชอบ

ในแต่ละวัน ท็อปได้รับมอบหมายให้ทำงานที่แตกต่างกันออกไปตามความเหมาะสมและปริมาณงานที่ได้รับ โดยหัวหน้างานจะเป็นผู้จัดสรรหน้าที่ให้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเขาจะรับผิดชอบงานด้านเอกสารและการถ่ายภาพ เนื่องจากเป็นสิ่งที่เขาถนัดมากที่สุด รองลงมาจากนั้นจึงเป็นงานด้านการเขียนต่างๆ เพราะแอมเนสตื้ค่อนข้างเปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงความสามารถผ่านการนำทักษะที่มีมาต่อยอดในงานจริงได้อย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับท็อปที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าทีมสำหรับโปรเจกต์การถ่ายรูป Photo shoot ที่จะถูกนำมาใช้ในงานสื่อสารขององค์กร และเป็นโปรเจกต์จบการฝึกงานของตัวเขาเอง

“เราก็ต้องคิดว่าจะทำโปรเจกต์นี้ยังไง ก็คือตั้งแต่ออกแบบธีม คิดคอนเซปต์ วัตถุประสงค์ ใครจะมาถ่ายบ้าง สถานที่ ของกิน ของใช้ ป้าย เสื้อผ้า เหมือนต้องเอาทักษะสิ่งทุกอย่างที่มีในชีวิตนี้มาทำทำงาน”

เนื่องจากเขามีความถนัดด้านการถ่ายภาพ งานประชาสัมพันธ์และการผลิตสื่อภาพจึงกลายเป็นบทบาทหลักที่ได้รับ ท็อปต้องลงมือทำงานในฐานะหัวหน้าทีม โดยมีเพื่อนร่วมงานคอยให้คำปรึกษา เขาเล่าว่าตลอดการทำโปรเจกต์นี้ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากมาย รวมถึงการก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง อย่างการประสานงานและการสื่อสารกับผู้อื่นที่ทำให้เขากล้าพูดและทำงานร่วมกับทีมมากขึ้น

“เอาจริงๆ ก็ทำงานก็คล้ายๆ กับการเป็นโปรดิวเซอร์ในจะสมัยเรียนนะ ต่างกันก็แค่ตอนนั้นเป็นงานของเด็ก เราไม่เคยทำงานที่เป็นจริงเป็นจังแบบนี้”

และเมื่อให้เปรียบเทียบการทำงานกับอาหารหนึ่งชนิด “ผัดไทย” คือเมนูแรกที่ท็อปนึกถึงเพราะเป็นการผสมผสานองค์ประกอบที่หลากหลายเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นภาพลักษณ์ใหม่ที่มีความละมุนละมัยต่างไปจากเดิม

ประสบการณ์ที่ได้ ไม่ใช่แค่การเรียนในห้อง

หนึ่งในความประทับใจที่ท็อปเล่าให้ฟังหลังจากได้เข้ามาเป็นนักศึกษาฝึกงานกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย คือโอกาสในการลงพื้นที่สัมผัสกับชุมชน และเรียนรู้ประเด็นปัญหาต่างๆ จากผู้ที่ทำงานขับเคลื่อนในพื้นที่ตัวจริง ซึ่งตลอดที่ผ่านมา ชีวิตในรั้วของมหาวิทยาลัยเขาได้พยายามมองหาทุนในการทำงานเหล่านี้ แต่ก็น้อยนักที่จะได้รับกลับมาเป็นจำนวนเงินที่จะมากพอให้เขาได้ออกไปศึกษานอกสถานที่ “แก่งเสือเต้น จังหวัดแพร่” คือสถานที่แรกที่เขาได้เดินทางไปทำงานสื่อสารเพื่อรณรงค์ในประเด็นสิทธิของชุมชนที่อาจถูกกลืนกินจากการสร้างเขื่อนที่จะส่งผลกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่

“ประทับใจที่ได้เจอกับชาวบ้านจริงๆ ผมเองก็ตามเรื่องการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นมานานเหมือนกัน แต่ยังไม่เคยลงพื้นที่ พอได้ไปก็ทำให้เข้าใจและได้ซึมซับกับสิ่งที่ชาวบ้านกำลังเดือดร้อนอยู่จริงๆ”

หลังจากการเดินทางครั้งแรก ท็อปได้รับโอกาสให้ลงพื้นที่อีกครั้งที่ จังหวัดระนอง โดยได้รับหน้าที่เป็นช่างภาพพร้อมทั้งเขียนข่าวเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับการทำงานของแอมเนสตี้ เขาเล่าว่า ทุกครั้งที่ได้ลงพื้นที่ เขาจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เปิดมุมมองกว้างขึ้น และได้เข้าใจความแตกต่างของแต่ละท้องถิ่นมากขึ้น เพราะ “ผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิในแต่ละพื้นที่ ล้วนมีเรื่องราวและความต้องการที่แตกต่างกัน” ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ช่วยเติมเต็มการเรียนรู้ และทำให้เขาเข้าใจถึงการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนอย่างลึกซึ้งมากขึ้น

“ทุกครั้งที่ไป ผมก็จะได้เห็นว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน มันก็เหมือนเพิ่มพูนความรู้ของเราในการทำงานกับองค์กรสิทธิมนุษยชนไปด้วย เพราะเราจะได้เห็นมุมมองการทำงานของพี่ๆ ทีมงานทุกคน อีกทั้งได้มาฟังมุมมองของน้องๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรม เหมือนมันได้เรียนรู้ 2 ต่อ”

พลังการเปลี่ยนแปลงจากแรงขับเคลื่อนของเยาวชน

เราไม่จำเป็นต้องมีพลังวิเศษหรือทักษะอันโดดเด่นเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคม แค่เป็น “คนธรรมดา” เพียงหนึ่งคน ก็สามารถจุดประกายการเปลี่ยนแปลงได้ นี่คือแนวคิดที่แอมเนสตี้จากทั่วโลกพยายามผลักดันเสมอ เพราะหลายครั้ง “พลังของคนธรรมดา” ก็เปรียบเสมือนแสงจากเปลวเทียนที่ส่องสว่าง ท้าทายความมืดที่เกิดจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน และท็อปเองก็เป็นหนึ่งในเยาวชนที่เริ่มต้นเดินบนเส้นทางนี้ แม้จะเป็นเพียงคนหนึ่งคน แต่เขาได้ใช้ความรู้และประสบการณ์ที่มีเพื่อช่วยเติมเต็มการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

“ความกระตือรือร้น” และ “ความสดใหม่” คือสิ่งที่ท็อปนิยามว่าเป็นหัวใจสำคัญของเยาวชนในการสร้างความเปลี่ยนแปลง เขาเชื่อว่า พลังของเยาวชนคือการเปิดรับสิ่งใหม่ๆ มีแรงผลักดันในการทำงาน และสามารถประยุกต์ใช้ทักษะที่หลากหลายเพื่อช่วยขับเคลื่อนองค์กรระดับโลกได้ แม้แต่การเป็นนักศึกษาฝึกงานก็สามารถเป็นฟันเฟืองสำคัญในกลไกแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ได้

“ทักษะแต่ละคนที่แตกต่างกันก็สามารถมาปรับใช้ในการทำงานขององค์กรได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำภาพหรือว่าทำโปรเจกต์อะไรก็ตาม ผมรู้สึกว่างานเหล่านั้นมันเข้าถึงคนได้ง่าย เพราะเราเข้าใจในสไตล์ของคนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของเรา”

และไม่ใช่แค่วันนี้ เดือนนี้ หรือปีนี้เท่านั้น แต่ท็อปยังคงยืนหยัดในหลักการของการทำงานเพื่อขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชนต่อไป แม้ว่าในอนาคตเขาอาจยังไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่าเส้นทางอาชีพของเขาจะเป็นเช่นไร แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ เขาจะยังคงทำงานที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนเสมอ สายตาที่มุ่งมั่น น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตั้งใจ และคำพูดที่หนักแน่นว่า“ผมก็จะยังทำงานเรื่องสิทธิมนุษยชนอยู่” เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เป้าหมายของเขาจะยังคงอยู่บนเส้นทางนี้

“ผมก็ยังคงสนใจในงานสิทธิมนุษยชน เพราะถ้าหากได้ทำงานสายข่าว นักข่าวก็มักจะมีสายข่าวเป็นของตัวเอง เช่น ตัวผมสนใจในเรื่องการศึกษา ก็จะทำอันนี้ต่อไป หรือแม้แต่เรื่องของสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมที่กำลังเป็นกระแสก็มีความน่าสนใจ เพราะอาจจะสอดคล้องกับความเป็นอยู่ของพวกเราในอนาคต”

ส่งกำลังใจและปลุกไฟแห่งสิทธิให้โชติช่วง

“การฝึกงานกับแอมเนสตี้เป็นทางเลือกที่ดี เพราะเราได้ทำงานเชิงประเด็นที่เข้มข้น ได้เรียนรู้ตั้งแต่กระบวนการคิด วิเคราะห์ ค้นคว้า ไปจนถึงการวางแนวทางการสื่อสารขององค์กร เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายของเรา”

ตลอดระยะเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา ท็อปได้เรียนรู้การทำงานในหลายมิติ ตั้งแต่ การประสานงาน การจัดการเอกสาร ไปจนถึงการทำงานเชิงประเด็น ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่เขาอยากส่งต่อให้กับรุ่นน้องที่กำลังมองหาที่ฝึกงาน หรือแม้แต่คนที่อยากเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างการเปลี่ยนแปลง

ช่วงท้ายของการพูดคุย ท็อปย้ำเสมอว่า “สิทธิมนุษยชนคือภาพใหญ่ของการทำงาน” ไม่ว่าเราจะมีทักษะด้านใด ก็สามารถนำมาปรับใช้กับงานด้านสิทธิมนุษยชนได้เสมอ สิ่งที่เขานิยามไว้ว่าเป็น “ความกลมกล่อม” เพราะการผสมผสานของความแตกต่างที่ทำให้ประเด็นสำคัญเหล่านี้ได้รับการพูดถึงและขับเคลื่อนไปข้างหน้า

และก่อนจากไปในฐานะนักศึกษาฝึกงาน ท็อปอยากส่งต่อไฟแห่งความมุ่งมั่นนี้ให้กับทุกคนที่ยังคงเชื่อมั่นในความยุติธรรมและการเปลี่ยนแปลง

“ถ้ายังไม่แน่ใจในเส้นทางของตัวเอง หรืออยากเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ผมว่าการลองมาฝึกงาน ไม่ว่าจะเป็นที่แอมเนสตี้หรือองค์กร NGOs อื่นๆ ก็อาจจะช่วยให้คุณได้ค้นหาตัวเอง และเติมเต็มประสบการณ์ที่มีค่ามากยิ่งขึ้น ผมมองว่าการมาหาความรู้อะไรแบบนี้มันก็ตอบโจทย์นะ”

ปกป้องเสรีภาพการแสดงออก

สิทธิของบุคคลทุกคนที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และการแสดงความคิดเห็น เป็นสิทธิในระดับสากลที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายระหว่างประเทศ

สนับสนุนความเท่าเทียม

เราทุกคนต้องได้รับการปกป้องจากการถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งการแสดงออกตามอัตลักษณ์ทางเพศ รสนิยมทางเพศและเพศวิธี ภายใต้หลักการด้านสิทธิมนุษยชน