เมื่อวันที่ 13 – 17 พฤศจิกายน 2568 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด และ โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ (THE PROJECT FOR PUBLIC POLICY ON MINERAL RESOURCES – PPM) ได้รวมกันจัดค่าย Human Rights Geek ตอน “ฮักด่านขุนทด พ้อกันที่เหมืองโปแตช” ค่ายชวนเยาวชนทั่วประเทศมาร่วมเรียนรู้สิทธิมนุษยชนและทักษะการรณรงค์ และเรียนรู้ประเด็นสิทธิมนุษยชน รวมถึงการต่อสู้ของภาคประชาชนในพื้นที่อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา
เพราะแอมเนสตี้เชื่อเสมอว่าคนธรรมดาสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ และเยาวชนคือพลังสำคัญในการขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชน ค่าย Human Rights Geek จึงเป็นตัวกลางเชื่อมต่อเยาวชนเข้ากับขบวนภาคประชาชน และผู้ทรงสิทธิ (Rights Holder) ในพื้นที่ต่าง ๆ ผ่านกระบวนการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนศึกษา และการลงมือ Take Action นอกห้องเรียน เพื่อเสริมศักยภาพเยาวชนให้ มีความรู้ ทักษะ และทัศนคติในการขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชน
โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมาเราได้พาเยาวชนร่วมเรียนรู้ผลกระทบทางสิทธิมนุษยชน ในพื้นที่ภูมิภาค เช่น เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในจังหวัดระยอง ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) ในจังหวัดระนอง จังหวัดพะเยา ไปจนถึงเหมืองแร่ทองคำในจังหวัดเลย
สำหรับค่าย Human Rights Geek ตอน “ฮักด่านขุนทด พ้อกันที่เหมืองโปแตช” ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เยาวชนมีความรู้และความเข้าใจในสิทธิมนุษยชนเบื้องต้นและสิทธิในที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะประเด็นการบังคับไล่รื้อ โดยสามารถเชื่อมโยงกับพื้นที่จริงได้ พร้อมสร้างความตระหนักรู้ในปัญหาการละเมิดสิทธิในที่อยู่อาศัย จากกรณี เหมืองแร่โปแตช อ.ด่านขุนทด ผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์ของชุมชนที่ได้รับผลกระทบ ภาคประชาสังคมและขบวนการการต่อสู้ในพื้นที่
และเพื่อให้เยาวชนมีทักษะ แรงบันดาลใจและความมั่นใจในการออกแบบและสื่อสารงานรณรงค์และนำไปสื่อสาร หรือขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ของตัวเอง
กิจกรรมในค่ายได้แบ่งออกเป็นหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นการติดอาวุธเครื่องมือรณรงค์ให้กับเยาวชน ผ่านการปูความรู้สิทธิมนุษยชนพื้นฐาน ตั้งแต่ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ไปจนถึงสิทธิในที่อยู่อาศัย รวมถึงวิธีการใช้เครื่องมือในการออกแบบงานรณรงค์ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งบนโลกออฟไลน์ และบนโลกออนไลน์ ที่เยาวชนได้ร่วม Take Action ไปกับชุมชนผ่านป้ายผ้าและการเพนท์กำแพงรณรงค์ พร้อมจบค่ายลงด้วยการนำเสนอแคมเปญรณรงค์ (Campaign) ให้กับชุมชน ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญละครสั้น นิทรรศการ ล่ารายชื่อ หรือกิจกรรมวิ่งเพื่อรณรงค์เรื่องเหมืองแร่
แต่ทำไมต้องเป็นพื้นที่ด่านขุนทด?
เราจะพาทุกคนไปย้อนเรื่องราวการต่อสู้ของกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดไปด้วยกัน
แร่โปแตช
ย้อนกลับไปในวันที่ 11 มิถุนายน 2523 คณะรัฐมนตรีที่นำโดยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้ออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเชิญชวนบริษัทเอกชนยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตแร่โปแตชในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
แร่โปแตช เป็นกลุ่มแร่ที่มีโพแทสเซียมเป็นส่วนประกอบสำคัญ อยู่ใต้พื้นผิวโลก และอยู่ใต้ชั้นเกลือหินในบริเวณที่เคยเป็นแอ่งน้ำทะเล ทำให้การทำเหมืองแร่
โปแตชจะต้องใช้วิธีการเจาะเข้าไปใต้ผิวดิน ซึ่งแร่ที่ขุดได้จะถูกลำเลียงเข้าสู่โรงแต่งแร่ เพื่อนำไปผลิตเป็นปุ๋ยโพแทสเซียม
ที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรมได้เร่งผลักดันโครงการทำเหมืองแร่โปแตชเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ย
โพแทสเซียมอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายทางเศรษฐกิจ ได้แก่ การสกัดแร่โปแตช เพื่อนำไปทำปุ๋ยเคมี เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าแร่โปแตชเพื่อใช้ผลิตปุ๋ยจากต่างประเทศ เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทย
นำเข้าแร่โพแทชประมาณปีละ 8 แสนตัน คิดเป็นมูลค่านำเข้าสูงถึง 7,600-10,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายในการ
นำไปผลิตแบตเตอรี่ชนิดโพแทสเซียมไอออนและโซเดียมไอออน ซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่าแบตเตอรี่ลิเทียม เพื่อตอบสนองต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อีกด้วย
ปัจจุบันมีผู้ได้รับประทานบัตรทำเหมืองแร่โปแตชในไทยรวมทั้งสิ้น 3 ราย
1) บริษัทเอเชีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น (APPC) เดิมชื่อบริษัท ไทยอะกริโก โปแตช จำกัด ซึ่งมีกลุ่ม ‘อิตาเลียนไทย’ เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ได้รับประทานบัตรอายุ 25 ปี ในวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2565 ปริมาณการผลิตตลอดอายุโครงการประมาณที่ 33.67 ล้านตัน ครอบคลุมการทำเหมืองในพื้นที่อำเภอเมือง และอำเภอประจักษ์ศิลปาคม จังหวัดอุดรธานี
2) บริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน) ได้รับประทานบัตรอายุ 25 ปี
ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 ปริมาณการผลิตตลอดอายุโครงการประมาณที่ 17.33 ล้านตัน ครอบคลุมพื้นที่อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ
3) บริษัท ไทยคาลิ จำกัด ได้รับประทานบัตรเหมืองแร่โพแทชในพื้นที่อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ครอบคลุมพื้นที่ 9,005 ไร่ ประทานบัตรอายุ 25 ปี ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2558 – 6 กรกฎาคม 2583 โดยมีกำลังการผลิต 1 แสนตันต่อปี ปริมาณการผลิตตลอดอายุโครงการ 2.15 ล้านตัน
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น แร่โปแตชอยู่ใต้ชั้นเกลือหิน
นั่นทำให้การทำเหมืองแร่โปแตชต้องมีการขุดเจาะไปยังชั้นใต้ดิน
เกิดอะไรขึ้นที่ด่านขุนทด


ในวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2568 – วันที่ 3 ของค่าย Human Rights Geek กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด และ PPM ได้ร่วมพาเยาวชนลงพื้นที่อำเภอด่านขุนทด เพื่อเก็บข้อมูลสิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ทั้งฝั่งบ้านสระขี้ตุ่นและบ้านสระสมบูรณ์ ซึ่งยังไม่มีการขุดอุโมงแนวดิ่งเพื่อทำเหมือง ไปจนถึงพื้นที่บ้านหนองไทร ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำในเหมืองทะลักในปีพ.ศ. 2565
เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงบ่าย เหล่าเยาวชนได้กระโดดขึ้นรถกระบะ เพื่อพูดคุยกับสมาชิกกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯ บนระยะทางจากวัดสระขี้ตุ่นจนถึงไร่
ในมือของแต่ละคนถือสมุดจดหนึ่งเล่ม โทรศัพท์หนึ่งเครื่อง เพื่อบันทึกเรื่องราวที่พวกเขากำลังจะได้รับฟังและมองเห็นจากในพื้นที่

เดือนรุ่ง มูลขุนทด สมาชิกกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด คือหนึ่งในวิทยากรที่ได้พาเยาวชนไปยังไร่ของตน
“ให้น้อง ๆ ได้ดูเมล็ดข้าว ดูรวงข้าวของแม่ ๆ ไว้ก่อนนะคะ แล้วตอนเราไปหนองไทรจะได้เทียบความแตกต่างว่า ผลผลิตบริเวณตรงนี้ กับผลผลิตบริเวณรอบเหมืองโปแตชที่ได้รับผลกระทบ ผลผลิตมันเป็นอย่างไร”
เธอกล่าวในค่ำคืนของวันที่ 14 พฤศจิกายนว่า “ในชุมชนรักและสามัคคีกันดี แต่ไม่ค่อยได้ออกมารวมกลุ่มกันแบบนี้ ด้วยความที่ต้องทำไร่ ปกติบ้านเราคือพื้นที่ทำไร่ในพื้นที่ส่วนบุคคล มีไร่กันเกือบทุกบ้าน และมีพื้นที่เยอะมาก ก็จะไม่ค่อยได้รวมกันแบบนี้
“พอมีเรื่องแบบนี้ (การทำเหมืองแร่โปแตช) เกิดขึ้น มันทำให้รู้ว่าบ้านเราที่หลายคนเคยคุยกันไม่รู้เรื่อง สามารถมาคุยกันได้ในเรื่องนี้ เราวางความคิดส่วนตัว เพื่อคุยกันเรื่องเหมือง ระดมความคิดว่าทำอย่างไรถึงจะหยุดเหมืองได้”
16 มิถุนายน พ.ศ. 2566 คือวันประวัติศาสตร์ที่ผู้คนจากบ้านต่าง ๆ ในอำเภอด่านขุนทดได้มารวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว ด้วยจุดหมายเดียวกันคือ หยุดการขุดแท่นเจาะสำรวจเหมือง

“บริเวณนี้คือศาลเจ้าพ่อจันดุ เนื่องจากชุมชนของเรานับถือเรื่องเหล่านี้ตามขนบธรรมเนียมของอีสาน เรามีเจ้าปู่บ้านคือพ่อบุญลือ นอกจากนี้ยังมีขุนศึกประจำตัวท่าน คือพ่อขุนหาญ พ่อปู่จำนง พร้อมกับพ่อจันดุ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิที่รักษาพื้นที่ในบริเวณบ้านของเรา
“วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2566 เหมืองได้เข้ามายังพื้นที่ใกล้กับแหล่งน้ำซึ่งเป็นหัวจิตหัวใจของเรา จากนั้นเช้าวันที่ 13 มิถุนายน เหมืองได้นำเครื่องจักรเข้ามาพร้อมเทแท่นขุดเจาะสำรวจ”
จงดี มินขุนทด อีกหนึ่งสมาชิกกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ได้ฉายภาพเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนผ่านคำบรรยาย พร้อมพาเยาวชนไปยังบริเวณศาลผีอารักษ์พ่อปู่จันดุ ข้างฝายเก็บน้ำ
“ในวันนั้นพี่น้องได้รวมตัวกันเป็นหนึ่งได้สำเร็จ เพื่อปิดกั้นไม่ให้เขาเอารถหรือสิ่งอำนวยความสะดวกของเขาในการขุดเจาะเข้าพื้นที่ได้อีก
“ต้องขอบคุณการเข้ามาของที่ปรึกษาด้วยเช่นกัน เพราะการต่อสู้ใช้แรงของภาคประชาชนอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องเรียนรู้เรื่องการใช้กฎหมาย รวมถึงการยื่นหนังสือเช่นกัน”
น้ำเสียงของเธอทรงพลัง และพาเราทุกคนย้อนไปยังวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2566
“ชาวบ้านเราทุบแท่นด้วยมือเปล่าในวันนั้น เราทั้งสั่น และสู้ แต่ทำไมเราถึงต้องทำ” เธอเว้นคำพูดในช่วงหนึ่ง ดวงตายังคงมุ่งมั่นยามกล่าวประโยคถัดไป
“เพราะที่นี่คือบ้าน ที่นี่คือชีวิต เพราะที่นี่คือพื้นที่จิตวิญญาณ เราจำเป็นต้องรักษาไว้ น้ำคือชีวิต แผ่นดินคือจิตใจ เหมือนที่บิดา มารดา ปู่ย่าตายายเราเคยถางไว้ แล้วส่งต่อมาให้ลูกหลาน”
เสียงจากบ้านหนองไทร: เมื่อบ้านเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิม


พิริยกร ดีขุนทด และ ธนวรรณ ไกรนอก คือสองสมาชิกกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ที่ได้จับไมค์เล่าภาพรวมของสิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่บ้านหนองไทร ให้เยาวชนได้รับฟังก่อนที่จะพาพวกเขาลงพื้นที่
ธนวรรณไม่ใช่คนเดียวที่หลั่งน้ำตาเมื่อพูดถึงบ้านของเธอ
“สมัยเด็กพี่เองชอบเล่นน้ำ บางวันเราก็หาจับปลา ตกปลาในคลองสาธารณะ แถววัดหนองไทรจะเป็นแหล่งหาผักกิน ไม่ว่าจะเป็นผักป่า หน่อไม้ ผักหวาน ดอกกระเจียว หรือกุ้งหอยปูปลา ที่ดินของพี่เองจะอยู่ติดเหมืองในตอนนี้เลย”
พิริยกรเสริมว่า “เมื่อก่อนเราสามารถมีบ่อปลาที่เลี้ยงได้หมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นปลาตะเพียน ปลาดุก หรือปลาอะไรก็ตาม แต่ในตอนนี้พอเหมืองมาอยู่ได้แค่ปลานิลแกลบ เพราะพอถึงหน้าร้อนน้ำมันเค็มจัดจนปลาลอยตาย
“ก่อนมีเหมืองปลาอะไรก็ยังอยู่ได้ หอยขมยังอยู่ได้ แต่พอเหมืองมาแล้วมันกลับตาย ถ้าไม่ใช่เหมืองสร้างผลกระทบ แล้วอะไรจะสร้างผลกระทบ”
ธนวรรณเปิดภาพผืนดินสีแดงในโทรศัพท์ของเธอให้เราดู “เราอยู่ในพื้นที่ เรารู้ดีว่ามันมีอะไรผิดปกติ แต่เดิมเราเคยทำกินได้ แล้วไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ที่ดินเป็นคราบเหลือง คราบแดง สนิมดำ และปลูกอะไรก็ตาย
“เราเคยย้อนถามหน่วยงานราชการนะว่าถามหน่อยเถอะ พื้นที่ที่เราเคยทำกินมาก่อน แล้วตอนนี้เราทำกินไม่ได้ ถ้ามันไม่เกิดจากเหมืองแล้วมันจะเกิดจากอะไร แต่เขากลับไม่ตอบ”

จากพื้นที่ที่เคยมีความมั่นคงทางอาหาร เพาะปลูกและทำปศุสัตว์ได้ พวกเขาต้องซื้อจากข้างนอกแทน
“ต้นไหลที่เคยทอเสื่อปูนอนก็ตายหมดเลย ทั้งที่เมื่อก่อนเราขายได้กิโลละสองบาท ตอนนี้มันตายหมดเลย” พิริยกรกล่าว
“ในตอนนี้ที่ดินในอำเภอด่านขุนทดไม่มีราคา ทั้งที่เมื่อก่อนราคาดีมาก แต่พอเกิดเรื่องเหมืองเขากลับไม่ค่อยอยากมาซื้อแล้ว เพราะกลัวได้รับผลกระทบ
“ที่ดินที่ขายไปมีแต่จะเสียหาย เหมือนขยายความเสียหายเป็นวงกว้างมากขึ้น แต่บางครั้งก็โดนบีบ (ให้ขาย) แล้วพี่น้องต้องหาซื้อที่ใหม่เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ในความรู้สึกของพี่ พี่เองไม่อยากขายที่ด้วยซ้ำ พี่อยากให้ตัวพื้นที่ที่เสียหายเป็นแหล่งเรียนรู้ เป็นอนุสรณ์ให้คนได้รู้ว่าเหมืองสร้างที่ไหน มันมีแต่ความเดือดร้อน ความเสียหายไม่มีที่สิ้นสุด แต่เรายั้งมันไม่ได้”


สิ่งเหล่านี้เรียกว่าเป็นการบังคับไล่รื้อทางอ้อม
แม้จะไม่มีการไล่รื้อด้วยมาตรการทางกฎหมาย แต่เมื่อคนในพื้นที่ไม่สามารถทำกินได้ พวกเขาจึงจำเป็นต้องขายที่หรือย้ายออกจากที่อยู่อาศัยเดิมโดยไม่สมัครใจ
“ที่ดินบางที่ก็กลายเป็นที่ตาบอด ที่พื้นที่โดยรอบถูกขายไปหมดจนไม่สามารถเข้าออกได้” ธนวรรณเล่า
“อย่างกรณีของยายคำ แกรักพื้นที่ของแกมาก แม่ของแกเคยสั่งเสียเอาไว้ ให้ฝังเถ้ากระดูกไว้ใต้ต้นมะม่วงที่ไร่ของแก แม้ยายคำบอกว่าแกจะไม่ขายที่ แต่ทางเหมืองซื้อที่อ้อมไว้หมดแล้ว แกเข้าไปทำอะไรไม่ได้ จึงจำเป็นต้องขายในที่สุด ทุกวันนี้ต้นมะม่วงต้นนั้นก็ยังอยู่ในเหมือง” พิรยกรกล่าวเสริม


กระบวนการต่อสู้ของภาคประชาชน

จุฑามาศ ศรีหัตถผดุงกิจ จากโครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ (PPM) ยังกล่าวว่า “ตอนแรกที่มาในพื้นที่กับตอนนี้ต่างกันมาก ตอนแรกที่เราเข้ามา เรายังพอเห็นต้นไม้อยู่บ้างในวัด แต่ตอนนี้มันดูสลดหดหู่ลงไปเรื่อย ๆ แทบจะไม่เหลืออะไรเลยในพื้นที่
“มันเหมือนจะดีขึ้นตอนที่เหมืองปิดไป หลังอุโมงค์แนวเอียงมีปัญหา แล้วเขาก็บอกว่าเขาไมไ่ด้ทำแล้ว ธรรมชาติเหมือนจะฟื้นฟูตัวเองหน่อยหนึ่ง แต่ปีนี้พอมีการขุดอุโมงค์ใหม่ เราก็เห็นปรากฏการณ์เก่า ๆ กลับมา ไม่ว่าจะเป็นตาน้ำผุด เรื่องของความเค็ม และคราบเกลือที่ปรากฏเยอะขึ้น ก็เป็นเรื่องน่ากังวล”


ปัญหาน้ำเค็มทะลักไม่ได้สร้างความเสียหายแค่เพียงกับการเพาะปลูก การทำปศุสัตว์ หรือน้ำกินน้ำใช้ของชาวบ้านในตำบาลหนองไทรเท่านั้น
มันไม่ได้ส่งผลกระทบแค่กับเมรุเผาศพที่วัดหนองไทร ที่ในปัจจุบันโครงสร้างกำลังได้รับผลกระทบ จนต้องเผาศพที่ใต้เมรุ

แต่มันยังทะลักท่วมบ้านเรือนของประชาชน อย่างบ้านของนางไปล่ ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายที่เยาวชนได้ร่วมลงพื้นที่เก็บข้อมูลในวันนั้น

ข้าวของภายในบ้านเสียหาย – ผืนดินรอบบ้านชื้น ห้องน้ำภายในบ้านพัง บ้านของ “แม่ไปล่” มีน้ำท่วมตลอดเวลา หลังจากเหตุการณ์น้ำทะลักท่วมอุโมงค์



หลังกลับจากกิจกรรม เราได้ชวนแช่มช้อย บุกขุนทด คืออีกหนึ่งเจ้าของไร่ในพื้นที่ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับไร่ที่มีการขุดเจาะสำรวจพูดคุยต่อ เธอเล่าว่าเห็นความเปลี่ยนแปลงในชุมชนตั้งแต่ปี 2554 เริ่มจากเสียงรถบรรทุกวิ่งตลอดเวลา
“หลังจากนั้นมา ในช่วงก่อนที่เขาจะเทแท่นที่ฝายบ้านเรา (ปี 2566) เขาโทรมาถามว่าจะขอเจาะน้ำบาดาลประมาณหนึ่งเดือน แล้วจะให้เงินหมื่นหนึ่ง ในตอนนั้นเรารู้แล้วว่าบ้านหนองไทรได้รับผลกระทบอย่างไร เลยถามเขาว่าทำไมไม่พูดออกมาตรง ๆ ว่าจะสำรวจเอาไปทำอะไร เขาก็ไม่ยอมบอกนะว่าจะเจาะลึกลงไปแค่ไหน หรือเค็มขนาดไหน”

เสถียร มิมขุนทด ผู้ร่วมต่อสู้กับภาคประชาชนตั้งแต่วันที่มีการสร้างแท่นขุดเจาะในปี 2566 เล่าว่า
“ช่วงเช้าของวันที่ 14 เราทำประชามติหมู่บ้านเลย ว่าไม่ให้ใช้พื้นที่ เราแยกกันทำงานเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งไปเทศบาลเพื่อยื่นหนังสือคัดค้านกับนายกเทศบาล อีกชุดหนึ่งไปหาเจ้าของที่ ซึ่งอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง เราคุยอยู่นาน จนเจ้าของพื้นที่ยุติไม่ให้เหมืองใช้พื้นที่
“เช้าวันที่ 15 พวกเราก็ยื่นคำขาดเลยว่า เราให้เวลาถึงวันที่ 16 ถ้าถึงวันที่ 16 บริษัทไทยคาลิไม่เอาแท่นขุดเจาะออก พวกเราจะเอาออกเอง เราจะทุบเอง”
ในวันนั้นนักข่าวในพื้นที่จำนวนมากต่างพากันมาทำข่าว เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ “วันนั้นเป็นจุดกำเนิดที่ว่า หมู่บ้านทั้งสองหมู่ ทั้งหมู่หกและหมู่สิบสาม ได้รวมตัวกันอย่างเข้มแข็งว่าจะไม่ให้มีพื้นที่เสียหายแบบหนองไทรอีกแล้ว
เดือนมิถุนายน 2566 ไม่ใช่การเคลื่อนไหวเพียงวันเดียวของเครือข่ายกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด
จากรายงานสังเกตการณ์การชุมนุมของแอมเนสตี้ ประจำไตรมาสที่หนึ่งของปี 2568 ระบุว่า ระหว่างวันที่ 27-31 มกราคม 2568 กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดได้ปักหลักค้างคืนที่กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นการชุมนุมประท้วงโดยสงบภายใต้ชื่อว่า หยุดเหมืองโปแตชบางจากกระชากหน้ากากนักบุญสีเขียว เพื่อเรียกร้อง กรณี กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม (กพร.) ได้ออกใบอนุญาตใหม่ ให้กับ บริษัท ไทยคาลิ จำกัด ซึ่งมีบริษัทบางจาก เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เข้ามาขุดเจาะอุโมงค์เหมืองโปแตช หลังมีการเตรียมการที่จะใช้ระเบิดเปิดอุโมงค์เหมืองบริเวณใจ
กลางชุมชนซึ่งสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคนในพื้นที อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา โดยเป็นการซ้ำเติมผลกระทบเดิมที่ยังมิได้แก้ไขเยียวยาให้มีความรุนแรงขึ้น ทั้งต่อสิ่งแวดล้อม สังคม วิถีชีวิตและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ รวมถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือในการปิดปากนักปกป้องสิทธิฯ (SLAPP)
สิทธิมนุษยชนศึกษา: กระบวนการเรียนรู้ที่มีส่วนร่วม

เพราะสิทธิมนุษยชนศึกษา (Human Rights Education: HRE) คือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องระยะยาวในการสร้างพื้นฐานสิทธิมนุษยชนในสังคม การศึกษาด้านสิทธิมนุษยชนมีเป้าหมายเพื่อสร้างวัฒนธรรมในการเคารพสิทธิมนุษยชน และการลงมือปกป้องรวมถึงส่งเสริมสิทธิมนุษยชนของตัวเองและผู้อื่น
การศึกษาด้านสิทธิมนุษยชน คือ การศึกษาเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน ผ่านสิทธิมนุษยชน เพื่อสิทธิมนุษยชน (about, through and for human rights) โดยการเรียนรู้ ‘เกี่ยวกับ’ สิทธิมนุษยชน ได้แก่ กฎหมาย ประเด็น แนวคิดด้านสิทธิมนุษยชน ช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงความเชื่อมโยงของกรอบสิทธิมนุษยชนกับชีวิตประจำวันของพวกผู้เรียน ‘ผ่าน’กระบวนการเรียนรู้ในลักษณะที่เคารพต่อสิทธิ และผ่านการลงมือปฏิบัติจริง ‘เพื่อ’ เสริมพลังและสร้างการเปลี่ยนแปลงทางด้านสิทธิมนุษยชน
แนวทางสิทธิมนุษยชนศึกษาจะทำให้ทุกคนในสังคม ทั้งเด็กและผู้ใหญ่มั่นใจได้ว่าสิทธิมนุษยชนของพวกเขาได้รับการยอมรับตามหลักสากล และกลายเป็นส่วนหนึ่งและความคุ้นชินของผู้ที่ผ่านกระบวนการ
โดยสิทธิมนุษยชนศึกษา เป็นการศึกษาเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นนิยาม ความหมาย และการค้นหาคำตอบว่าเรียนรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนจะเปลี่ยนชีวิตของผู้คนได้อย่างไร ผ่านการฝึกฝนลงมือที่จะนับรวมทุกคนและสร้างการมีส่วนร่วม เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านสิทธิมนุษยชน

การศึกษาสิทธิมนุษยชนครอบคลุมเรื่อง
ความรู้และทักษะ เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและกลไกของสิทธิมนุษยชน ค่านิยม ทัศนคติ และพฤติกรรมในการนำเอาไปใช้ในชีวิตจริง
ค่านิยม ทัศนคติ และพฤติกรรม เพื่อพัฒนาค่านิยม เสริมสร้างทัศนคติและพฤติกรรมที่สนับสนุนสิทธิมนุษยชน
การปฏิบัติจริง
การได้มาซึ่งทักษะการใช้สิทธิมนุษยชนในทางปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และการลงมือทำเพื่อปกป้องและสนับสนุนสิทธิมนุษยชน

ทอมมี่ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ผู้เข้าร่วมค่าย Human Rights Geek กับแอมเนสตี้เป็นค่ายแรก ได้กล่าวถึงความรู้สึกในการเข้าร่วมค่ายว่า
“รู้สึกได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชนที่เป็นสากลลอย่างแท้จริง และพยายามให้มันเกิดขึ้นในสังคมเราให้ได้ แม้ว่ามันจะมีหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างรัฐหรืออำนาจต่าง ๆ แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ ถ้ามีองค์กรต่าง ๆ บนโลกนี้ช่วยกันทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นมา
“ถ้าปัญหาเชิงโครงสร้างรัฐ และการละเมิดสิทธิมนุษยชน ถูกพยายามทำให้เป็นเรื่องปกติไปเรื่อย ๆ (ผู้คน) จะถูกกดทับไปเรื่อย ๆ จึงอยากชวนทุกคนมาร่วมกันขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชนไปด้วยกัน”

ขณะที่บ้านเกิดของซาด๊ะห์อยู่ในจังหวัดสงขลา แต่เธอเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เธอกล่าวว่า “ได้เห็นปัญหาของพื้นที่อีสานมากขึ้น ได้ลงพื้นที่ด่านขุนทด และเรียนรู้ปัญหามากมายว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ชาวบ้านได้ต่อสู้กันนานมาก ๆ มันสะเทือนใจ เพราะเราเห็นพื้นที่ต่าง ๆ ที่เคยสมบูรณ์มาก แต่ตอนนี้กลายเป็นหน้ามือเป็นหลังมือ ถ้ากลับมาที่ด่านขุนทดรอบหน้า เราก็อยากเห็นหมู่บ้านและชาวบ้านต่อสู้กับเหมืองแร่โปแตชจนสำเร็จค่ะ”

อั้ม เป็นนักศึกษาที่บ้านเกิดอยู่ในจังหวัดอ่างทอง ก่อนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยมหาสารคามเช่นเดียวกัน ได้เข้าร่วมค่ายกับแอมเนสตี้เป็นครั้งแรก “เป็นค่ายที่ทำได้เห็นถึงวิถีชีวิต ทุนทางสังคมของชุมชน และความสามัคคีของคนในชุมชน ที่ได้จุดประกายให้เราต้องรักษาผืนดินตรงนี้ไว้ เพราะเป็นแหล่งทรัพยากรที่มีคุณค่ามากที่สุดของชุมชน รู้สึกดีใจที่ได้มา และพร้อมที่จะขับเคลื่อนไปกับกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด”

เทียนหอม อีกหนึ่งนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม สะท้อนว่า “ดีใจที่ได้เข้าร่วมค่ายกับแอมเนสตี้ รู้สึกตื้นตันใจมาก และมีความหวังตลอดเวลา กับขบวนการต่อสู้ของแม่ ๆ ที่ไม่มีวันสิ้นสุด อยากเป็นกำลังใจและเป็นกระบอกเสียงต่อไป ที่จะส่งต่อไปให้คนที่ไม่ได้รับรู้ปัญหาเรื่องนี้ได้รับรู้ปัญหาต่อไป”
ค่ายนี้ยังทำให้เธอมองเห็นผลกระทบของสิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดใกล้เคียงกับบ้านเกิด ซึ่งอยู่ในจังหวัดกาฬสินธุ์
“เราได้เห็นถึงผลกระทบที่อยู่ในพื้นที่ภาคอีสานเหมือนกับเรา และมีโอกาสด้วยซ้ำที่ผลกระทบจะเกิดกับจังหวัดบ้านเกิดของตัวเอง และต้องร่วมกันผลักดันให้คนได้เห็นผลกระทบไปด้วยกัน”
สตางค์และโรส สมาชิกกลุ่ม Law Long Beach หรือ กลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชนภาคใต้ และเป็นสมาชิกแอมเนสตี้คลับ ซึ่งดำเนินงานขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ภาคใต้ สะท้อนถึงความประทับใจที่ได้เข้าร่วมค่าย Human Rights Geek ในครั้งนี้ว่า เป็นค่ายที่ทำให้ทั้งสองคนมีความรู้สึกผูกพันกับชุมชน

สตางค์กล่าวว่า “เราอยากลองมาในพื้นที่ เพราะได้ข่าวว่าชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรม
ได้รับผลกระทบจากเหมือง จนไม่สามารถทำมาหากินได้ปกติ จึงอยากมาดูพื้นที่จริงว่าเกิดอะไรขึ้น
“ค่ายนี้แตกต่างจากค่ายอื่นที่เคยเข้าร่วม เพราะได้สัมผัสกับวิถีชุมชนโดยแท้จริง ได้นอนกับชาวบ้านในพื้นที่ ทำให้ผูกพันกับชุมชนและพื้นที่ที่นี่ รวมถึงทำให้รู้ว่าเราไม่อยากสูญเสียพื้นที่ตรงนี้ไป และมีความรู้สึกร่วมกับชาวบ้าน
“ในปีที่ผ่านมา เราได้มีการทำงานเกี่ยวกับสิทธิชุมชน และการมีส่วนร่วม เมื่อมาค่ายนี้เราได้เห็นว่าการดำเนินงานของรัฐ ไม่ได้ทำให้ชุมชนมีส่วนร่วมโดยแท้จริง จึงรู้สึกว่าอยากเรียกร้องให้รัฐ หรือกลุ่มทุนที่เข้ามาในพื้นที่รับฟังชาวบ้านบ้างว่า พวกเขาอยากพัฒนาบ้านของตัวเองในแบบไหน”

ขณะที่โรสกล่าวว่า “เราอยากเห็นสภาพแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบว่าจะสามารถนำไปผนวกกับกิจกรรมที่เราทำในอนาคตได้ไหม เพราะในพื้นที่ภาคใต้เองก็กำลังมีโครงการที่จะเกิดขึ้น จากพ.ร.บ. ที่ละเมิดสิทธิจากรัฐเหมือนกัน
“เราประทับใจการมีส่วนร่วมของชาวบ้านที่ต่อสู้ และได้เห็นเขามีพลังกาย พลังใจที่มากขึ้น รู้สึกว่าเป็นกระบอกเสียงสำคัญ เพื่อนำไปต่อสู้ในวงกว้างมากขึ้น”

เจมิล คือสมาชิกแอมเนสตี้คลับแม่ฟ้าหลวง หรือชมรมนักศึกษาเพื่อสิทธิมนุษยชน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้เข้าร่วมค่ายกับแอมเนสตี้เป็นค่ายที่ 3 เขากล่าวว่าตนได้มองเห็นจุดร่วมกันระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ด่านขุนทด และจังหวัดเชียงราย
“เราเป็นคลับของแอมเนสตี้ ที่ผ่านมาพี่ ๆ ได้สอนเรื่องกระบวนการการเรียนรู้สิทธิมนุษยชน เมื่อเรียนรู้ทฤษฎีและได้ลงพื้นที่จริง เราได้สัมผัสกับความใจดีของชาวบ้านที่นี่ และได้กระบวนการต่อสู้อย่างเป็นปึกแผ่นของเขา อีกทั้งได้เรียนรู้ว่าชาวบ้านถูกละเมิดสิทธิแทบทุกด้าน ที่พี่ ๆ เคยสอนเรามา
“จากที่ลงพื้นที่ เราได้เห็นแหล่งน้ำหลักของชุมชนซึ่งชาวบ้านเดินมากระซิบกับพวกผมว่า ถ้าความเค็มไปถึงแหล่งน้ำหลักนั้น พวกเขาจะทำได้แค่รอความตาย ซึ่งในจังหวัดเชียงรายก็มีจุดร่วมเหมือนกันอย่างหนึ่ง คือแม่น้ำกกซึ่งเป็นแม่น้ำหลักของเชียงราย ที่กำลังโดนสารหนู
“ผมประทับใจความเป็นมนุษย์ของที่นี่ ทั้งความใจดี ความอ่อนโยน ของชาวบ้าน ของพี่ ๆ สตาฟ และของเพื่อนร่วมค่ายครับ”

นาย จากมหาวิทยาลัยนเรศวร ผู้เข้าร่วมค่าย Human Rights Geek ครั้งแรกที่จังหวัดระนอง ก่อนตัดสินใจเข้าร่วมค่าย Human Rights Geek ที่ด่านขุนทดเป็นค่ายที่สอง กล่าวว่า
“ประทับใจทีไ่ด้ปฏิสัมพันธ์กับคนในชุมชน เพราะพักที่บ้านพ่อ ๆ แม่ ๆ และมีโอกาสได้พูดคุยเรื่องปัญหาและวิถีชีวิตของพ่อ ๆ แม่ ๆ โดยรวมแล้วเราว่าแต่ละค่ายเองก็มีสเน่ห์ต่างกันไป
“ได้เรียนรู้การมีส่วนร่วมของชาวบ้าน ถ้าภาคประชาสังคมมีความเข้มแข็ง ก็จะสามารถรวมตัว รวมกลุ่ม และสู้ไปด้วยกัน
“แถวบ้านของหนูในจังหวัดพิษณุโลก มีเพื่อนบ้านเป็นจังหวัดพิจิตร ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาเหมืองทองอัครา เลยรู้สึกว่าอยากลงพื้นที่ที่เหมืองทองอัคราเหมือนกัน ว่ามีความแตกต่างเรื่องคนในพื้นที่มากน้อยแค่ไหน เพราะส่วนใหญ่ตามได้แค่ในข่าว”

ยัง สมาชิกชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ได้เข้าร่วมค่าย Human Rights Geek เป็นครั้งที่สาม กล่าวว่า
“มาจากปัตตานี ค่ายนี้มาถึงโคราชเลย ค่ายนี้มาไกลกว่าเดิมค่ะ ที่ผ่านมาเราไปพื้นที่ระนองกับระยอง แต่ค่ายนี้มาถึงอีสานเลย วัฒนธรรมก็แตกต่างกัน ได้มาเรียนรู้หลายอย่างเลย ไม่ใช่แค่เรื่องเหมืองแร่ แต่ได้เรียนรู้วัฒนธรรมด้วย
“พวกหนูเป็นหนึ่งในพาร์ทเนอร์ที่ทำค่ายเรื่อง SEC ที่ผ่านมาเลย แม้ค่ายนี้จะเป็นประเด็นใหม่ แต่ทุกประเด็นต้องมีคนขับเคลื่อนและสู้ไปด้วยกัน การมาค่ายนี้ไม่ใช่แค่มาเยี่ยมเขา แต่เรายังได้เป็นกำลังใจให้เขาด้วย และเรียนรู้เครือข่ายอื่น ๆ ด้วยค่ะ”


