“ทุกสิ่งที่เราทำเกิดจากความเชื่อ เราทำเพราะต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง เราทำเพราะเรามีความหวังว่าเรื่องของสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นด้วยสองมือนี้ของเรา”
พฤกษ์ เจริญวิริยะภาพ ผู้ประสานงาน Law Long Beach Amnesty Club ในวัย 23 ปี จากเมืองสงขลา ให้คำมั่นถึงสิ่งที่เขาเชื่อมาโดยตลอด ความเชื่อของเขาเริ่มตกตะกอนตั้งแต่วัยเยาว์ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการใช้ชีวิตที่ภาคใต้ ที่มักจะหยิบยกเอาเรื่องการเมือง มาพูดคุยกันจนเป็นเรื่องปกติ และนั่นทำให้เขารู้สึกสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ แต่กลายเป็นว่ายิ่งทำความเข้าใจ ยิ่งศึกษาลงลึกมากเท่าไหร่ ก็มีแต่ความน่าฉงนผุดพรายขึ้นมาเป็นระยะ โดยเฉพาะสถานการณ์บ้านเมืองในช่วงปี 2557 หลังเหตุการณ์รัฐประหารที่เขาไม่เคยเข้าใจเลยสักครั้งว่าทำไมสิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้นในเมืองอารยะ

นับจากวันนั้นเขาจึงวางหมุดหมายในชีวิต ตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องสอบเข้าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อทำความเข้าใจตัวบทกฎหมายของประเทศไทยให้กระจ่างชัด และทำตามสิ่งที่เขาเชื่อมาโดยตลอด พฤกษ์เชื่อว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน เชื่อว่าทุกคนควรได้รับความเสมอภาค โดยไม่มีข้อยกเว้นทางกฎหมาย และยังเชื่ออีกว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ตราบใดที่ยังอยู่ในบ้านเมืองเดียวกัน
“เราเข้ามหาวิทยาลัยตอนปี 2563 พอดี สงสัยมาโดยตลอดว่าทำไมสถานการ์บ้านเมืองถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ แล้วยิ่งเราเรียนนิติศาสตร์ โชคดีที่คณะของเราเปิดกว้างเรื่องนี้มาก ๆ อาจารย์ให้คำแนะนำเรื่องของข้อกฎหมายมาตลอด ไม่ว่าเราอยากทำอะไรอาจารย์ก็จะสนับสนุน”
“แรกๆ เราแค่ไปฟังเขาปราศรัยกัน อยากรู้ว่าสิ่งที่เขาอยากเรียกร้องมันคืออะไร แล้วตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นบ้างในประเทศไทย พอได้ฟังก็ทำให้เรามาตั้งคำถามกับตัวเองว่ามนุษย์หนึ่งคนที่ถือกำเนิดขึ้นมา แต่ละคนมีสิทธิ์อะไรติดตัวมาบ้าง”
“ก็ได้รับคำตอบ หลังจากได้เจอกับเจ้าหน้าที่ จากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ได้พูดคุยกับเขา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน จนเราเข้าใจถึงความสำคัญของคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องร้องขอ แต่เป็นสิทธิ์ที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด”
แม้จะเรียนรู้เรื่องของสิทธิมนุษยชนมาได้ระดับหนึ่ง แต่เขาก็ยังอยากจะคลายปมความสงสัยในใจให้ชัดมากขึ้น และสิ่งเดียวที่ช่วยให้เขาหลุดพ้นจากความสงสัยได้ คงหนีไม่พ้นการลงมือทำ เพื่อให้ทุกคนเห็นและเข้าใจตรงกันว่า บ้านเมืองเรามีขื่อมีแป การใช้อำนาจในทางมิชอบเป็นสิ่งที่ควรถูกครหา ไม่ควรเพิกเฉยหรือให้ข้อยกเว้นกับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ
“เราเริ่มติดตามสถานการณ์ที่กรุงเทพฯ มากขึ้น แล้วก็ขยายความสนใจมายังสงขลา ตอนนั้นเราเห็นว่าที่กรุงเทพฯ มีการสลายการชุมชน เราก็รู้สึกว่าทำไมทำกับประชาชนได้ถึงชนาดนี้ เลยเป็นที่มาว่าเราเองในฐานะพลเมืองคนหนึ่ง ก็ควรแสดงออกอะไรบางอย่าง เพื่อให้เขารู้ว่าสิ่งที่เขาทำมันไม่ถูกต้อง”
พฤกษ์เข้าร่วมกิจกรรมยืนหยุดขัง หน้าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม 2563 หลังจากรัฐบาลในยุคของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎร 2563 บริเวณแยกปทุมวันถึงแยกราชเทวี โดยมีการใช้รถจีโน่หรือรถฉีดน้ำแรงดันสูงผสมสารเคมีและแก๊สน้ำตาเป็นครั้งแรกในการควบคุมฝูงชน นับตั้งแต่เริ่มต้นการชุมนุมในปีนั้น
“เหตุการณ์นั้นเลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้ามาทำกิจกรรมทางการเมือง จำได้เลยว่าสิทธิมนุษยชน สิทธิแรกๆ เลยที่เราสนใจคือ สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิด มันเริ่มต้นจากตรงนั้น และกลายเป็นจุดเชื่อมเราไปยังจุดต่างๆ ของการทำกิจกรรม เพราะแค่รู้สึกว่า สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน แล้วทำไมเขายังพรากไปจากเราได้”
Law Long Beach พื้นที่ที่ ‘ความเชื่อ’ บรรจบกับ ‘ความเป็นจริง’
ระหว่างเป็นนักศึกษา พฤกษ์พยายามหาสถานที่ที่ความคาดหวังและความเชื่อสามารถรวมเป็นสิ่งเดียวกันได้ เขาวาดหวังว่าจะเป็นนักศึกษาที่ทำกิจกรรมอย่างเต็มที่ ไม่ได้เรียนรู้แค่ในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว และเขาก็พกความเชื่อมาอีกว่า จะใช้สองมือของตัวเองสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคม ชุมชน อย่างน้อยขอแค่เพื่อนในคณะไม่ถูกริดลอนสิทธิเขาก็พอใจแล้ว และเมื่อทุกอย่างผสมรวมกัน เขาก็เจอเข้ากับคลับ Law Long Beach : LLB สถานที่ที่ตรงกับสิ่งที่เขาวาดฝันไว้อย่างพอดิบพอดี
“เราอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์ ถ้าไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง อย่างน้อยก็เป็นประโยชน์ต่อสังคมก็ยังดี ก็ไปเจอกับ Law Long Beach ชื่อเขาค่อนข้างสะดุดตา เลยเข้าไปดูว่าเขาทำอะไรกันบ้าง”
“ก็เห็นว่าเป็นคลับที่เพิ่งตั้งตอนปี 2558 (พฤกษ์เป็นสมาชิกของคลับในปี 2564) แยกตัวออกอย่างอิสระ ไม่ได้ขึ้นตรงต่อองค์กรหรือหน่วยงานไหนในคณะ ไม่ได้รับทุนจากใครด้วย สิ่งที่พวกเขาทำคือการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน สนับสนุนประชาธิปไตย โดยที่นี่มีความเชื่อว่าสังคมจะดีขึ้นได้ ผ่านการลงมือสร้างความเปลี่ยนแปลงของแต่ละคน”
ตลอดสี่ปี่ในรั้วมหาวิทยาลัย พฤกษ์ใช้เวลาส่วนใหญ่กับคลับแห่งนี้อย่างจริงจัง เขาทุ่มความตั้งใจลงไปทุกอย่าง อุทิศเวลาและชีวิตเพื่อ Law Long Beach อย่างไม่ลดละ เพราะเขาเชื่อว่าการคงอยู่ของคลับแห่งนี้จะช่วยเปลี่ยนบรรยากาศของประเทศที่น่าหดหู่ ไปสู่ทางแห่งความหวังได้สักวันหนึ่ง

ระหว่างนั้นเอง พฤกษ์ก็ได้วนมาเจอกับเจ้าหน้าที่จาก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย อีกครั้ง ครั้งนี้ เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มที่มีแต่ความสงสัยคนเดิมอีกแล้ว เพราะเขาได้เข้ามาร่วมขับเคลื่อนสังคมอย่างจริงจัง
“ตอนที่เราเข้าร่วม Law Long Beach ก็คุยกับคนในคลับว่า งั้นเรามาจับมือกับแอมเนสตี้ดีไหม ตั้งเป็นคลับของแอมเนสตี้ขึ้นมาเองเลย เพราะว่านอกจากเครือข่ายที่จะมีมากขึ้นแล้ว เราก็จะได้เรียนรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนเพิ่มขึ้นด้วย และที่สำคัญคือได้ทำงานสิทธิมนุษยชนกับองค์กรที่ทำงานเรื่องสิทธิจริงๆ”
“ส่วนกิจกรรมที่ทำให้เห็นว่า Law Long Beach มีบทบาทอย่างชัดเจนในมหาลัย ก็คงจะเป็นเรื่องการทำงานเดือนสิทธิมนุษยชนกับคณะนิติศาสตร์ นั่นคือวันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งจะตรงกับวันรัฐธรรมนูญ แต่ในความเป็นจริงวันนี้ก็ตรงกับวันสิทธิมนุษยชนอีกด้วย”
“เราก็เลยถือว่าเราควรจะช่วงชิงความหมายหรือว่าการสื่อสารอะไรบางอย่างไหม ก็คุยกับคณะนิติศาสตร์ จึงสรุปออกมาเป็นงานสิทธิมนุษยชน จัดงานอย่างยิ่งใหญ่ มีทั้งห้องเรียน การฉายหนัง มีกิจกรรมต่าง ๆ แล้วเราก็เชิญองค์กรมาร่วมพูดคุย เราทำให้คนอื่นๆ เห็นว่า Law Long Beach ทำอะไร แล้วก็ทำให้เห็นมากขึ้นด้วยว่าสิทธิมนุษยชนมันใกล้ตัวยังไง หลังจากนั้นเราก็จัดมาทุกปี เพราะเราเองก็รู้สึกว่ามันเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดีมาก ๆ ในการส่งเสริมให้คนเข้าใจสิทธิมนุษยชน ให้เห็นว่าเดือนนี้ เวลานี้ จะเป็นหมุดหมายของวันสิทธิมนุษยชน”
นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่เปลี่ยนประกายไฟแห่งความหวังให้กลายเป็นจริง เมื่อได้มาทำงานร่วมกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันนอล ประเทศไทย พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อเป็น Law Long Beach Amnesty Club แสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนว่าคลับแห่งนี้พร้อมที่จะอยู่เคียงข้าง และสนับสนุน ปกป้อง สิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง
พันธมิตรที่พร้อม ‘จับมือ’ และ ‘ส่งเสียง’ สิทธิมนุษยชนให้ดังก้อง
หลังจากเรียนจบในปี 2567 พฤกษ์สมัครเป็นสมาชิกแอมเนสตี้เต็มตัว เพราะมองว่านี่คือความคุ้มค่า ไม่ใช่แค่ในเชิงสิทธิประโยชน์ แต่เป็นการต่อยอดความเชื่อและอุดมการณ์ที่สั่งสมมาตลอด และนั่นทำให้เขายังคงทำงานร่วมกับองค์กรแห่งนี้ไม่ว่างเว้น ขณะเดียวกันในหัวใจของเขา ไม่เคยลืมคลับ Law Long Beach เลยแม้แต่วันเดียว
เมื่อมีโอกาสได้กลับไปยังมหาวิทยาลัยเดิมอีกครั้ง พฤกษ์จึงไม่รอช้าที่จะชวนเยาวชนและนักศึกษารุ่นใหม่จากคลับแห่งนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมภูมิภาคของแอมเนสตี้ ทำหน้าที่บอกเล่าแรงผลักดันเบื้องหลังการขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ภาคใต้

“เรากำลังมองหาพาร์ทเนอร์ในการทำงาน จนแอมเนสตี้เปิดรับพันธมิตรสิทธิมนุษยชน เราก็เข้าไปอ่าน TOR หรือข้อกำหนดของโครงการ แล้วรู้สึกว่าตอบโจทย์เรามากๆ ก็เลยสมัครเข้าไป เพราะเราเชื่อว่าการทำงานในระดับภูมิภาคร่วมกับหน่วยงานนี้คงเป็นอะไรที่สนุก ทั้งการแชร์ข้อมูลกัน การได้รู้จักเพื่อนจากภูมิภาคอื่น ๆ อีก 3 ภูมิภาค คงทำให้เราไม่รู้สึกโดดเดี่ยว แล้วอีกอย่าง เราเชื่อว่าการทำงานสิทธิมนุษยชนคนเดียวมันไม่สนุกหรอก ถ้าไม่มีเพื่อนด้วย”
เมื่อได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับแอมเนสตี้ ความเชื่อของพฤกษ์จึงถูกต่อยอดให้กลายเป็นการทำงานที่จริงจังและทรงพลังมากขึ้น เพื่อให้เสียงของผู้คนในพื้นที่ไม่ถูกกลืนหายไปกับกระแสโครงการพัฒนาขนาดใหญ่
“เราไม่อยากให้เสียงของคนในพื้นที่หายไปเฉยๆ”
“เรารู้ว่าเสียงของเรามันอาจไม่ดัง แต่ก็ไม่อยากให้มันหายไปเฉยๆ เราอยากให้คนได้ยินบ้าง ว่าที่นี่มีสถานการณ์อะไร”
ปี 2568 เป้าหมายหลักของเขาจึงเป็นการเฝ้าจับตา Southern Economic Corridor (SEC) หรือพื้นที่เศรษฐกิจแลนด์บริดจ์ ซึ่งกำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อชุมชนท้องถิ่นในภาคใต้ ในตอนนี้
“เราเชื่อว่ามีคนที่อยากพูด และอยากมีส่วนร่วม แต่เสียงของพวกเขากลับเบาเหลือเกิน… ในสถานการณ์ที่เร่งรีบและเปราะบางแบบนี้ มันไม่ควรมีเสียงของใครสักคนที่ถูกลืม”
กิจกรรม Human Rights Geek จึงเกิดขึ้นในจังหวัดระนอง เพื่อเปิดพื้นที่ให้เยาวชนได้เรียนรู้เรื่องสิทธิมนุษยชน และพูดในสิ่งที่พวกเขาอยากพูดเกี่ยวกับ SEC
“ตอนเปิดรับสมัคร เราคิดว่าจะมีคนมาสัก 30–40 คน แต่ปรากฏว่ามีหลักร้อย มันทำให้เรารู้เลยว่า คนไม่ได้ไม่สนใจเรื่องสิทธิ แค่ไม่มีพื้นที่ให้เขาพูดเท่านั้นเอง”
และนี่คือครั้งแรกที่ทีมภูมิภาคได้เห็นอย่างชัดเจนว่า เวทีเล็กๆ ที่พวกเขาสร้างขึ้น สามารถขยายเสียงของคนรุ่นใหม่ให้ดังขึ้นจริง
“เราว่าการพัฒนามันต้องมีคนอยู่ในนั้น หมายความว่าคุณต้องฟังเสียงเขาจริงๆ”
“มันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่เขาจะได้รับรู้ข่าวสาร และเมื่อเขาเข้าใจหรือไม่เข้าใจยังไงก็ตาม เขาก็มีเสรีภาพที่จะแสดงออกกับเรื่องนี้”
เขาเชื่อว่า โครงการพัฒนาไม่ควรเกิดขึ้นโดยการ ‘ข้าม’ ผู้คนในพื้นที่ เพราะนั่นไม่ใช่แค่การละเมิดสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่เป็นการทำลายชีวิต วิถี และรากเหง้าของชุมชนที่อยู่มาก่อนโครงการเกิด

แต่ใช่ว่าพฤกษ์จะคัดค้านไปเสียทุกอย่าง เขาเชื่อเสมอว่าโลกต้องเดินไปข้างหน้า การจะหยุดกระแสธารแห่งเวลาคงเป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้ แต่อย่างน้อย สิ่งที่เขาและคนในพื้นที่ร้องขอเพียงแค่มองพวกเขาเป็นคนคนหนึ่ง หาใช่ตัวเลขที่ปรากฎอยู่ในแผ่นเอกสาร
“เพราะคุณไม่ได้ละเมิดสิทธิของเขา(ประชาชน)แค่อย่างเดียว แต่คุณกำลังจะทำให้มันกระทบเป็นเรื่องอื่นด้วย ถ้าสมมุติเกิด SEC ขึ้น คนเหล่านั้นในพื้นที่นั้นเขาจะอยู่ไหน เขาไม่ถูกรับฟัง เขาไม่มีสัญชาติเหรอ ทั้งชนเผ่าพื้นเมือง ชาวมอแกนก็ดี หรือเป็นคนตกสำรวจก็ดี แต่เขาเหล่านั้นก็เป็นคนในพื้นที่ของคุณ”
“บางทีที่คุยกัน กลายเป็นว่าเขาเห็นคนเป็นตัวเลขไปแล้ว แต่เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่”
“ถ้า SEC เกิดขึ้นจริงๆ จะไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ว่าเขาไม่มีอะไรกิน แต่จะนำไปสู่การทำลายบัานของเขา เขาจะอยู่ที่ไหนต่อ วิถีชีวิตเดิมของเขาจะเป็นยังไง แล้วเสียงของเขามันไม่สำคัญพอที่จะอยู่ในการรับฟังเหรอ แต่รัฐบอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิทธิพื้นฐานที่รัฐต้องรับฟังมันเลยขัดกันเอง เราเลยมองว่าโครงการ SEC มันยังมีหลายจุดที่บกพร่อง แล้วก็มันมีอีกหลายจุดที่รัฐจะต้องปรับปรุงแล้วก็แก้ไขกับมันใหม่”
พฤกษ์เชื่อว่า เมื่อเสียงของคนตัวเล็กๆ รวมตัวกัน แม้ว่าอาจไม่ดังพอจะเปลี่ยนโลกได้ในทันที แต่อย่างน้อย ถ้าพันธมิตรทุกคนจับมือกันแน่นพอ เสียงเหล่านี้ก็จะก้องกังวานจนไม่มีใครสามารถทำเป็นไม่ได้ยินได้อีกต่อไป
การขับเคลื่อนที่ปราศจากความกลัว
สำหรับพฤกษ์ การที่ชื่อของ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กลายเป็น Value Target (เป้าหมายที่ถูกจับตา) ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคใต้ เป็นสิ่งที่เขารับรู้และเข้าใจดี หลายครั้งการทำกิจกรรมที่ทำในนามแอมเนสตี้ อาจตามมาด้วยสายตาจับจ้องของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่แทนที่ความกลัวจะเข้ามาครอบงำ เขากลับเลือกจะมองสิ่งเหล่านี้ด้วยความเรียบเฉย
“หลายๆ พื้นที่ รวมถึงในภาคใต้ ต้องยอมรับว่าพอพูดชื่อแอมเนสตี้ขึ้นมา ก็มักจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตามมาบ้าง หรือมีแรงกดดันบางอย่างเข้ามา แต่ในมุมของเรา เรากลับรู้สึกว่ากังวลเรื่องนี้น้อยมาก เพราะเราทำงานอยู่บนหลักการ เราคุยกันด้วยหลักการของสิทธิมนุษยชน และเรารู้ว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด”
การยืนหยัดบนหลักสิทธิมนุษยชน คือสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกมั่นใจมากกว่าหวาดกลัว เพราะสิ่งที่เขาและทีมในแอมเนสตี้ คลับ ทำ ไม่ใช่การท้าทายอำนาจรัฐด้วยความรุนแรง แต่เป็นการเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนควรได้รับอย่างเท่าเทียม
“ทุกครั้งที่เราออกไปทำงาน ใส่เสื้อทีม หรือบอกว่าเรามาจากแอมเนสตี้ มันคือการแสดงจุดยืนว่าเราทำงานกับใคร เราทำงานเพื่ออะไร และเรามีใครยืนอยู่ข้างเรา เรารู้สึกว่าตรงนี้แหละสำคัญมาก มันคือการบอกว่าเราคือทีมพันธมิตรสิทธิมนุษยชน”
แม้ในช่วงหนึ่งเขาจะสมัครเป็นกรรมการเยาวชนของแอมเนสตี้ แต่สุดท้ายต้องพลาดโอกาสเพราะช่วงเวลานั้นกำลังฝึกงานกับองค์กรเดียวกันอยู่ ทว่าพฤกษ์ไม่เคยลดความสำคัญของการทำงานร่วมกับเยาวชนลงเลยในการขับเคลื่อนเรื่องสิทธิมนุษยชน
“อีกอย่างหนึ่งที่เราเชื่อมาตลอดคือ เราทำงานกับเยาวชนเป็นหลัก เราเชื่อว่าเสียงของเขาเท่ากับเสียงของคนอื่น และควรได้รับการรับฟังในทุกมิติ โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนา เพราะในอนาคตพวกเขาคือคนที่จะต้องใช้ชีวิตกับผลลัพธ์นั้น”
สำหรับพฤกษ์ การทำงานด้านสิทธิมนุษยชนที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากเสียงของเยาวชนยังถูกลดทอนให้เป็นเพียง ‘เสียงประกอบ’
“ความเป็นจริงคือเยาวชนเขาต้องการอะไรเขาพูดเองได้ อายุ 18 ปี คุณเลือกตั้งได้ เสียงของคุณก็มีค่าเท่ากับคนอื่น 1 เสียง ทุกคนมีเสียงที่มีค่าเท่ากัน”
“เราเลยทำงานกับเยาวชนหนักมาก เพราะเราอยากให้เขาเป็น ‘เสียงหลัก’ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเขา ไม่ใช่ถูกผลักให้เป็นเพียงผู้ฟังหรือผู้ร่วมวงสนทนา”
ก่อนจะทิ้งท้ายว่าเขายังคงมีความหวังในใจอยู่เสมอ เพราะหากนับตั้งแต่ขวบปีแรกที่เป็นนักศึกษา มาจนถึงวันที่ทำงานขับเคลื่อนด้านสิทธิมนุษยชนอย่างเต็มตัว ไม่เคยมีช่วงเวลาไหนที่ทำให้เขารู้สึกถอดใจจากสิ่งที่เขารัก

“เรามีความหวังกับสิทธิมนุษยชนมากขึ้นทุกวัน มันเป็นสิ่งที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด ไม่มีใครพรากเราไปได้แม้แต่สิทธิเดียว”
“และเราคาดหวังกับรัฐมากๆ ว่าคนที่มีหน้าที่เคารพ ส่งเสริม ปกป้อง เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกิจของรัฐต่อสิทธิมนุษยชนของประชาชน จะทำงานหนักขึ้น จะไม่รอให้เรื่องมันเกิดก่อน แต่จะเดินหน้าเชิงรุก เพื่อให้สิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นจริงในชีวิตของผู้คน เราอยากเห็นสังคมที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็เห็นการเคารพกันและกัน ไม่ต้องมานั่งถามว่า ‘สิทธิของฉันอยู่ตรงไหน’ เพราะมันจะถูกมองเห็นและได้รับการปกป้องตั้งแต่ต้น”
พฤกษ์ยังบอกอีกว่าเขาไม่อยากให้ใครต้องมาสนใจเรื่องสิทธิก็ต่อเมื่อมันถูกพรากไปแล้วจากชีวิตประจำวัน เพราะวันนั้น…อาจสายเกินไปสำหรับบางคน
“เราจึงอยากชวนให้ทุกคนมาเป็น ‘หนึ่งเสียง’ ที่จะยืนหยัดเพื่อสิทธิมนุษยชน มันไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ ไม่ต้องมีตำแหน่งหรืออำนาจอะไร คนธรรมดาก็เปลี่ยนโลกได้จากสิ่งเล็ก ๆ ที่ทำ เช่น เขียนจดหมายในแคมเปญ Write for Rights กดไลก์ แชร์ พูด บริจาค หรือสนับสนุนองค์กรที่ทำงานเรื่องสิทธิ ทุกอย่างมีความหมายทั้งนั้น”
“สิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องของคนทุกคน อย่ารอให้สิทธิถูกละเมิดก่อนแล้วถึงจะเริ่มสนใจ”
และตราบใดที่ยังมีคนเชื่อในความเป็นมนุษย์ ยังมีคนที่ไม่ยอมให้ความกลัวนิยาม ‘ตัวตน’ หรือลดทอนเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โลกใบนี้ยังคงมีความหวังเสมอ


