จีน: ศาลจีนสั่งจำคุกเพิ่ม 4 ปี ‘จาง จ่าน’ นักข่าวชาวจีน ด้วยข้อหาไร้มูลความจริง แอมเนสตี้ ชี้ เป็นข้อหาที่คลุมเครือ ไร้หลักฐานการเพิ่มโทษเอาผิดทางคดี

สืบเนื่องจากรายงานข่าวกรณี จาง จ่าน นักข่าวอิสระชาวจีน ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดฐาน “ก่อการทะเลาะวิวาทและยั่วยุก่อความวุ่นวาย” จากการรายงานสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในเมืองอู่ฮั่น โดยนำเสนอว่ามีความรุนแรงกว่าที่รัฐบาลสื่อสารออกไป ล่าสุด ศาลมีคำสั่งลงโทษจำคุกเพิ่มอีก 4 ปี

ซาราห์ บรูคส์ ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประจำประเทศจีน กล่าวว่า การที่ศาลตัดสินลงโทษ จาง จ่าน อีกครั้ง ถือเป็นการทรยศต่อคำประกาศของรัฐบาลจีนที่เคยยืนยันว่าจะให้ความสำคัญต่อการคุ้มครองหลักนิติธรรม เธอระบุว่า กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางเดียวกันกับที่เกิดขึ้นกับทนายความ ยูเวินเฉียง และบุคคลอื่นๆ

ที่ผ่านมา จาง จ่าน มีความมุ่งมั่นในการปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะเลือกนิ่งเฉย แม้ต้องเผชิญโทษจำคุก ซึ่งการมีจุดยืนนี้ทำให้เธอต้องตกอยู่ในความเสี่ยงต่อสุขภาพและชีวิต อีกทั้งยังตกเป็นเป้าหมายจากการกระทำดังกล่าว

“ถ้ารัฐบาลจีนยังไม่ถูกกดดันให้แก้ไขกฎหมายที่มีถ้อยคำคลุมเครือและกว้างเกินไป และยังไม่ถูกตรวจสอบให้ต้องรับผิดชอบต่อการควบคุมตัวนักปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบ อนาคตของสิทธิมนุษยชนในประเทศนี้ก็จะยังคงมืดมนต่อไป

“เราขอย้ำว่า ควรมีการยกเลิกคำตัดสินที่ตัดสินให้ จาง จ่าน มีความผิดโดยปราศจากมูลความจริงใดๆ และเธอควรได้รับการปล่อยตัวโดยทันที ถ้าหากยังไม่ได้รับการปล่อยตัว ต้องทำให้เธอสามารถเข้าถึงทนายความ ครอบครัว และการรักษาพยาบาลที่เหมาะสมได้”

ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประจำประเทศจีน ย้ำว่า รัฐบาลจีนต้องยุติการใช้กฎหมายอาญาอย่างมิชอบที่ดำเนินต่อเนื่องมายาวนานหลายทศวรรษ รวมทั้งการใช้ข้อหาที่คลุมเครืออย่าง “ก่อการทะเลาะวิวาทและยั่วยุก่อความวุ่นวาย” ขณะที่ประชาคมระหว่างประเทศรวมถึงพันธมิตรทวิภาคีของจีน ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ที่ไม่เพียงแต่เรียกร้องให้ปล่อยตัว จาง จ่าน และผู้ที่ถูกควบคุมตัวโดยไม่เป็นธรรมเท่านั้น แต่ยังต้องใช้อิทธิพลของตัวเองอย่างเต็มที่ เพื่อรับประกันให้พวกเขาได้รับการปล่อยตัวแบบจริงๆ ในเร็ววัน

ข้อมูลพื้นฐาน 

  • มีรายงานว่า จาง จ่าน ซึ่งเป็นนักข่าวและนักกิจกรรมชาวจีนถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดฐาน “ก่อการทะเลาะวิวาทและยั่วยุก่อความวุ่นวาย” และถูกศาลสั่งจำคุกเพิ่มเป็นเวลา 4 ปี หลังการไต่สวนเมื่อวันศุกร์ที่ 19 กันยายน 2568 ที่สำนักงานอัยการสูงสุดใหม่เขตผู่ตง  
  • รายงานก่อนหน้านี้ระบุว่า จาง จ่าน ได้อดอาหารประท้วงระหว่างถูกควบคุมตัว และมีร่องรอยที่แสดงให้เห็นว่าได้ถูกบังคับให้กินอาหาร ครอบครัวและทนายความของเธอยังตกเป็นเป้าหมายของการคุกคามและการข่มขู่โดยทางการ และไม่สามารถบอกเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ล่าสุดของเธอ ส่งผลให้เราแทบไม่ทราบข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับสุขภาพของเธอในปัจจุบัน และข้อมูลเกี่ยวกับคดีอื่นๆ  
  • ก่อนหน้านี้ จาง จ่าน ถูกคุมขังในข้อหาเดียวกัน โดยเป็นผลมาจากการรายงานข่าวในช่วงไม่กี่วันแรกๆ ที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในเมืองอู่ฮั่น ในฐานะอดีตทนายความ
  • เธอเดินทางไปที่เมืองอู่ฮั่นในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 เพื่อรายงานข้อมูลจากสถานที่เกิดเหตุเกี่ยวกับเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นที่นั่น เธอโพสต์ข้อความลงบนโซเชียลมีเดียระบุว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐได้ควบคุมตัวผู้สื่อข่าวอิสระ และคุกคามครอบครัวของผู้ป่วยโรคโควิด-19
  • จากนั้นเธอหายตัวไประหว่างอยู่ในเมืองอู่ฮั่นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2563 ต่อมามีรายงานว่า เธอได้ถูกทางการจีนจับตัวและควบคุมตัวไว้ในเมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งต่อมาเธอถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดฐาน “ก่อการทะเลาะวิวาทและยั่วยุก่อความวุ่นวาย”  หลังการไต่สวนที่ไม่น่าเชื่อถือ ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2567 หลังใช้โทษครบ 4 ปี จาง จ่าน จึงได้รับการปล่อยตัว 
  • แต่พบว่าเธอยังคงถูกสอดแนมข้อมูลอย่างเคร่งครัด และตกเป็นเป้าหมายการคุกคามอย่างต่อเนื่องโดยทางการ แม้จะได้รับการปล่อยตัวออกมาแล้ว และไม่ถึง 4 เดือนต่อมา เธอถูกควบคุมตัวอีกครั้ง โดยเธอถูกควบคุมตัวไม่นานหลังจากเดินทางไปที่มณฑลกานซู่ เพื่อให้กำลังใจนักปกป้องสิทธิมนุษยชนคนอื่นๆ
  • และระหว่างการคุมขังก่อนหน้านี้ เธอได้อดอาหารประท้วง ส่งผลให้ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหลายครั้ง ทำให้น้ำหนักตัวของเธอลดลงเหลือเพียง 37 กิโลกรัม ซึ่งเป็นน้ำหนักตัวเพียงครึ่งหนึ่งก่อนที่เธอจะถูกควบคุมตัว 

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ: [email protected]

ปกป้องเสรีภาพการแสดงออก

สิทธิของบุคคลทุกคนที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และการแสดงความคิดเห็น เป็นสิทธิในระดับสากลที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายระหว่างประเทศ

สนับสนุนความเท่าเทียม

เราทุกคนต้องได้รับการปกป้องจากการถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งการแสดงออกตามอัตลักษณ์ทางเพศ รสนิยมทางเพศและเพศวิธี ภายใต้หลักการด้านสิทธิมนุษยชน